mii8m_

มม.♡ · @mii8m_

26th Nov 2019 from TwitLonger

(os) Stay with me ♡ pcy’s day | Chanbaek ─ #ficAlwaysCb





❀ 𝐒𝐭𝐚𝐲 𝐰𝐢𝐭𝐡 𝐦𝐞
#𝐇𝐀𝐏𝐏𝐘𝐂𝐇𝐀𝐍𝐘𝐄𝐎𝐋𝐃𝐀𝐘
27.11.2019





𝑮𝒊𝒗𝒆 𝒎𝒆 𝒂𝒍𝒍 𝒐𝒇 𝒚𝒐𝒖...




(อยู่ไหนแล้ว)

“ใกล้จะถึงแล้วครับ อีกสักสิบนาทีคุณชานยอลลงมารับได้เลย”

(พี่ลงมารอแล้ว ลงจากรถมาเจอเลย)

ใบหน้าหวานเผยยิ้มออกมาเมื่อรู้สึกถึงความใส่ใจของอีกฝ่ายผ่านการกระทำเล็กๆน้อยๆ “งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ ผมจะถึงแล้ว”

(โอเคครับ)

วันนี้คุณชานยอลเรียบร้อยต่างจากปกติอยู่มาก

แบคฮยอนคิดว่าคงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ ตั้งแต่ตอนเช้าเขาปลุกชานยอลเพื่อพาไปไหว้ขอพรวันเกิดตามที่ตั้งใจไว้ แต่แพลนที่จะพาไปเที่ยวต่อหลังจากกลับจากศาลเจ้าก็ต้องล่มไปซะก่อนเมื่อชานยอลถูกเพื่อนเรียกตัวด่วนด้วยเรื่องของธุรกิจ

ตอนแรกชานยอลตั้งท่าจะไม่ไปอย่างเดียวเพราะอยากจะใช้เวลาทั้งวันอยู่กับแบคฮยอน ทำตัวน่ารักผิดปกติ สงสัยจะเพราะอยากอ้อนเขาในวันเกิดนั่นแหละ แน่นอนว่าแบคฮยอนไม่โกรธที่ชานยอลติดธุระ และบอกให้ไปทำธุระก่อนค่อยไปเที่ยวกันก็ได้ คุยเสร็จเมื่อไหร่ให้โทรมา เขาจะไปหาที่บริษัทเอง

คุณปาร์คทำตามอย่างว่าง่าย เรียกได้ว่าแบคฮยอนพูดอะไรชานยอลก็เออออคล้อยตามไปหมด

วันนี้เป็นวันที่ดี ชานยอลคงอยากให้มันออกมาดีเหมือนกัน เพราะเราเพิ่งทะเลาะกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ต่างคนก็ต่างไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้นอีก

Rrrr~

ดวงตาเรียวรีมองหน้าจอไอโฟนที่ปรากฎชื่อของรุ่นน้องที่ทำงาน พลางเอียงคอมองอย่างสงสัยเล็กน้อย เพราะปกติอีกฝ่ายไม่ค่อยจะโทรหาเขาสักเท่าไหร่ถ้าไม่มีเรื่องงาน

“ฮัลโหล”

(พี่แบคฮยอน ว่างอยู่มั้ย)

“ว่างๆ ลูคัสมีอะไรรึเปล่า”

(คือ...ผมมีเรื่องจะบอก แต่...เอ่อ...นี่พี่อยู่กับแฟนรึเปล่า)

“ตอนนี้ไม่ได้อยู่นะ แต่กำลังจะไปหาน่ะ”

(มันก็...อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย แต่ผมคิดว่าควรจะบอกพี่ไว้ก่อนดีกว่า เผื่อว่ากลับมาแล้วไม่เจอกันพี่จะไม่...)

“กลับมาแล้วไม่เจอกัน?” แบคฮยอนทวนคำแทรกคำพูดของลูคัสก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ “หมายความว่ายังไง ทำไมกลับไปจะไม่เจอกัน เราอยู่ทีมเดียวกันนะ”

(คือผม...ต้องย้ายทีมน่ะ)

“ห้ะ?”

ใบหน้าหวานฉายความตกใจ งงไปหมดว่าทำไมอยู่ๆรุ่นน้องในทีมถึงมาบอกว่าต้องย้ายทีม ทั้งที่เราก็ทำงานร่วมกันมาด้วยดีตลอด

“เกิดอะไรขึ้น...”

(จริงๆผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม วันนี้พี่จีซูโทรมาหาผมบอกว่ามีเรื่องด่วน คุยไปคุยมาเค้าก็บอกว่าผมต้องย้ายทีม ไม่ได้ให้เหตุผลอะไรที่สมเหตุสมผลเท่าไหร่)

“…”

(แต่ผมก็ไม่ได้ไม่โอเคอะไรหรอก ได้ไปรูทบินโซนยุโรปก็ดีเหมือนกัน จริงๆผมเองก็ถนัดภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาญี่ปุ่น ถือว่าไปลองประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ผมโทรมาหาพี่เพราะอยากเป็นคนบอกพี่เอง เผื่อว่ากลับมาแล้วอาจจะไม่ได้เจอกัน พี่ก็รู้ใช่มั้ยว่ารูทบินโซนยุโรปมันต่างจากโซนเอเชีย อย่างโหด...)

แบคฮยอนฟังรุ่นน้องพูดต่อไปเรื่อยๆ และเพราะลูคัสโดนย้ายแบบกะทันหันจนเกินไป เขาถึงเริ่มจะรู้แล้วว่าสาเหตุมาจากอะไร

ไม่สิ...มาจาก ‘ใคร’ มากกว่า

วันที่ชานยอลพาเขาไปที่โรงพยาบาล เราใช้เวลาคุยกันอยู่นาน ไข้ของแบคฮยอนดีขึ้นเมื่อได้นอนพักบวกกับกินยา ที่ไม่หายสักทีมันเป็นเพราะเขาไม่ได้กินยานั่นแหละ โดนชานยอลดุชุดใหญ่เข้าให้ วันต่อมาแบคฮยอนก็อาการดีขึ้นมากพอที่ชานยอลจะไม่โยนตั๋วเครื่องบินทิ้งไป

วันนั้นเราคุยกันเยอะมาก ต่างฝ่ายต่างพูดสิ่งที่อยู่ในใจ หนึ่งในเรื่องราวพวกนั้นมีเรื่องของแบคฮยอนกับคนในทีม แบคฮยอนบอกชานยอลแล้วว่าลูคัสรู้แล้วว่าเขามีแฟน ตอนนี้ทุกคนก็คงรู้แล้ว แต่ถึงจะไม่รู้ก็ไม่มีใครมายุ่งกับแบคฮยอนได้หรอก เพราะตัวเขาเองก็ขีดเส้นไว้ให้ทุกคนแล้ว เพียงแค่ชานยอลเชื่อใจและไว้ใจเขา เขาก็พร้อมจะแสดงความจริงใจเพื่อให้ชานยอลสบายใจ

พอชานยอลรู้ว่าคนอื่นรู้แล้วก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ซึ่งตอนนั้นแหละที่มีแว๊บนึงที่ชานยอลเผลอหลุดออกมาว่าได้ทำบางอย่างลงไป แก้ไขไม่ได้ซะแล้วด้วยสิ

แบคฮยอนถามย้ำแล้วย้ำอีกคนจอมกวนก็เอาแต่ยักไหล่ใส่ บอกว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก ไม่ต้องไปใส่ใจ

หรือบางทีจะเป็นเรื่องนี้กัน...

(ผมย้ายทีมไปแบบนี้ก็แอบรู้สึกโหวงๆเหมือนกันนะเนี่ย อยู่กับทีมนี้มาตั้งเกือบครึ่งปี พี่ห้ามลืมผมเชียว)

“พูดอะไรแบบนั้น จะลืมได้ไง” แบคฮยอนหัวเราะ “เอาไว้เรานัดไปกินข้าวกันก็ได้ พี่จะชวนคนในทีมให้ ย้ายทีมแต่ไม่ได้ย้ายสายการบินนี่เนอะ”

(บอกทุกคนว่าต้องเลี้ยงข้าวปลอบใจผมด้วยนะ)

“ฮ่าๆ ได้อยู่แล้ว”

คุยกันอีกนิดหน่อยแบคฮยอนก็ขอวางสายก่อนเพราะถึงหน้าบริษัทของเพื่อนชานยอลแล้ว เขาเอ่ยขอโทษลูคัสไปด้วย แม้น้องจะหัวเราะแล้วถามเขาว่าพี่จะขอโทษผมทำไมเนี่ย ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แต่ลึกๆแล้วแบคฮยอนก็รู้ว่าเขาเป็นต้นเหตุให้น้องต้องย้ายทีม

แบคฮยอนไม่ได้โกรธชานยอลหรอก เพราะอย่างที่ลูคัสบอกว่าได้ย้ายไปในรูทการบินที่ดูจะเหมาะกับเจ้าตัวมากกว่า อย่างน้อยชานยอลก็ไม่ได้ใจร้ายกับลูคัสถึงขั้นแกล้งย้ายให้ไปในโซนที่ไม่ถนัดหรือลดตำแหน่งอะไรแบบนั้น

หลังจากลงแท็กซี่มาแบคฮยอนก็เจอกับชานยอลจริงๆ แต่คิ้วเรียวๆก็ต้องขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าร่างสูงที่คุ้นตานั้นกำลังยืนอยู่ข้างผู้ชายตัวเล็กเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลอมแดงที่เขาไม่รู้จัก

ใครกันนะ...

สองเท้าก้าวเดินเข้าไปใกล้คนสองคนที่ยืนอยู่เยื้องกับประตูทางเข้าบริษัท เหมือนกำลังคุยกันเรื่องอะไรบางอย่างที่ดูจะเป็นความลับไม่น้อย

ก็เล่นโน้มตัวลงไปให้อีกฝ่ายที่เตี้ยกว่ากระซิบข้างหูแบบนั้น...มันต้องเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพูดด้วยโทนเสียงธรรมดาได้รึเปล่า

“คุณชานยอล”

แบคฮยอนเป็นฝ่ายเอ่ยเรียกชื่อคนรักก่อน ซึ่งเจ้าของชื่อก็หันควับมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงเขา และเหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ ชานยอลผละตัวออกห่างจากคนๆนั้นแทบจะทันที

“แบคฮยอน นี่...”

“ไฮ แบคคุจัง~”

เสียงเอ่ยทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น โดยเรียกชื่อของแบคฮยอนแบบแปลกๆนั้นทำเอาใบหน้าหวานฉายความงุนงงนิดหน่อย แต่ก็เพียงแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น

ริมฝีปากสีสดเผยยิ้มออกมาบางเบาตามมารยาท พร้อมกับร่างเล็กของตัวเองที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างคนรัก

“สวัสดีครับ” แบคฮยอนทักทายอีกฝ่าย พร้อมกับหันไปถามชานยอล “ใครเหรอ”

“เราชื่อคิระ เป็นเพื่อนของชันโยรุน่ะ”

ยังไม่ทันที่ชานยอลจะอ้าปากตอบอะไรไป ผู้ชายที่ตัวสูงกว่าแบคฮยอนประมาณสามเซนติเมตรก็เอ่ยพูดขึ้นมาซะก่อน

แบคฮยอนฟังภาษาญี่ปุ่นรู้เรื่องและสื่อสารกับอีกฝ่ายได้อยู่แล้ว เพียงแต่เขารู้สึกแปลกๆกับการที่ชื่อญี่ปุ่นของชานยอลหลุดออกมาจากปากของคนๆนี้

เป็นเพื่อนกันตอนไหน ทำไมแบคฮยอนไม่เห็นจะรู้จักเลย

“คิระเป็นหุ้นส่วนอีกคนน่ะ รู้จักกันพร้อมกับชูอิจิ” ชานยอลที่ดูจะอ่านสีหน้าแฟนออกก็เริ่มอธิบาย “...เดี๋ยวคิระจะขอติดรถไปที่ชิบูย่าด้วย”

“ใช่ๆ ชูจังยังทำงานไม่เสร็จเราเลยจะไปเดินเล่นรอ ยังไงก็ขอรบกวนหน่อยนะ”

“ไม่ได้รบกวนหรอกครับ” แบคฮยอนส่งยิ้มตามมารยาทไปให้อีกฝ่าย “แล้วจะไปเดินเล่นคนเดียวเหรอ”

“ก็คงต้องอย่างนั้น...ชูจังบอกว่าจะไปรับเราได้ตอนเย็นๆแหนะ”

“ก็ไปเดินด้วยกันก่อนก็ได้ มันมารับแล้วค่อยแยกกันไง”

ชานยอลพูดขึ้นเมื่อเพื่อนตัวเล็กทำหน้าหงอยๆขึ้นมา แบคฮยอนที่เห็นอีกฝ่ายทำหน้าแบบนั้นก็ไม่ได้นึกขัดคำพูดของชานยอล เพราะตัวเขายังไงก็ได้อยู่แล้ว

แต่ก็แอบรู้สึกเฟลๆนิดหน่อย...ล่ะมั้ง

ก็วันนี้เขาคิดว่าเราสองคนจะได้ใช้เวลาร่วมกันนี่นา แบคฮยอนเองก็อยากเดินควงแขนชานยอลเที่ยวเล่นตามประสาคนเป็นแฟนกันทั่วไป และพวกเขาก็ไม่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้กันบ่อยๆด้วย ต่างคนก็ต่างทำงานกันทั้งปี

ไม่ได้ๆ ห้ามนะ

ห้ามน้อยใจเชียว...

วันนี้เป็นวันสำคัญ แบคฮยอนต้องห้ามงี่เง่าเด็ดขาด

“แต่…ทั้งสองคนจะไปเท่ียวกันนี่นา เรากลัวว่า...”

“ไปด้วยกันเถอะครับ” แบคฮยอนเอ่ยชวน “คุณคิระคงรู้จักร้านอาหารอร่อยๆแถวนั้นมากกว่านักท่องเที่ยวอย่างพวกผม ถือว่าเป็นไกด์ให้เราฆ่าเวลาระหว่างรอคุณชูอิจิ คุณคิระจะได้ไม่เหงาด้วย”

ด้วยความที่เป็นคนอัธยาศัยดีอยู่แล้วแบคฮยอนก็เลยค่อนข้างจะปรับตัวง่าย แม้จะรู้สึกแปลกๆอยู่นิดหน่อย แต่แบคฮยอนก็อยากทำความรู้จักกับเพื่อนชานยอลให้มากกว่านี้

“ได้สิๆ เรารู้จักร้านขนมเยอะมาก เดี๋ยวจะพาแบคคุจังไปกินเครปร้านโปรดของเรานะ”

คิระส่งยิ้มหวานให้แบคฮยอนที่พยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มจางๆมาให้เหมือนตอนแรก

ใบหน้าซุกซนฉายความเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแขนข้างหนึ่งของเพื่อนตัวสูงมากอดไว้

“งั้นก็ไปกันเถอะ~ เราอยากกินขนมจะแย่แล้ว”

“คิระ”

“อะไรเล่า ชันโยรุเรียกเราทำไม”

ชานยอลตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเหลือบไปมองแบคฮยอนที่ส่งยิ้มมองพวกเขาเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร มันก็ทำให้คนตัวสูงหุบปากฉับ

เลือกจะทำตามแผนที่วางไว้กับเพื่อนต่อไปโดยการยอมปล่อยให้คิระกอดแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง แล้วออกตัวเดินนำเข้าไปในบริษัทเพื่อลงลิฟต์ไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน...

ดวงตาเรียวรีมองตามร่างสูงที่เดินเคียงคู่ไปกับหนุ่มญี่ปุ่นตัวเล็กคนนั้น รอยยิ้มที่เคยปรากฎอยู่บนใบหน้าหวานเมื่อครู่ค่อยๆจางลง แปรเปลี่ยนเป็นการเม้มปากจนเป็นเส้นตรง

แบคฮยอนไม่อยากจะงี่เง่า ไม่อยากจะพูดกับชานยอลว่าเขาไม่ชอบใจเลยที่คิระควงแขนชานยอลแบบนั้น

ไม่ชอบที่คนอื่นมาสัมผัส ไม่ชอบที่ใกล้ชิดกันจนเกินไป

บางที...แบคฮยอนอาจจะไม่เคยเข้าใจชานยอลมาก่อน จนกระทั่งได้มาเจอด้วยตัวเอง เขาถึงได้รู้ว่าความรู้สึกหึงหวงนี่มันโคตรจะปวดหน่วงในหัวใจเลย

ยอมรับนะว่าหวง หวงมากๆเลยด้วย

แต่จะให้เดินไปกระชากแขนออก ด่ากราด โวยวายไปว่าห้ามมาแตะต้องชานยอลของเขา มันก็ดูจะงี่เง่ามากเกินไปหน่อย

แบคฮยอนทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ ทำได้เพียงส่งยิ้มโง่ๆไปให้

ทั้งที่ในใจตอนนี้น่ะ...แบคฮยอนหวงชานยอลจนจะบ้าตายอยู่แล้ว
















“ชันโยรุ อันนั้นน่ารักมั้ยอ่ะ”

อะไรนักหนานะ

“นี่ๆ ชันโยรุเลือกเสื้อให้หน่อยสิ ตัวไหนสวยกว่ากัน”

น่ารำคาญชะมัดเลย

“อยากกินขนมร้านนั้นจัง ชันโยรุไปซื้อให้หน่อยสิ”

เอาเข้าไป...เฮ้อ

แบคฮยอนถอนหายใจออกมาเบาๆ ความคิดร้ายๆผุดอยู่ในหัวหลายต่อหลายครั้ง เขาแอบนิสัยไม่ดี หมั่นไส้คุณคิระคนนั้นในใจ

อะไรๆก็ชันโยรุอยู่นั่น ตั้งแต่เดินด้วยกันมาเนี่ยแบคฮยอนเหมือนเป็นส่วนเกินไปแล้วมั้ง ถึงจะเดินจับมือกับชานยอลเอาไว้อยู่ แต่ฝั่งขวาของชานยอลก็มีคิระควงแขนเอาไว้ อย่างกับพวกรักสามเศร้ายังไงอย่างงั้น

อยากจะขำอยู่หรอก แต่ก็ขำไม่ออก

มันเริ่มไม่สนุกแล้วสิ

“กินไรเยอะ เมื่อกี้ก็เพิ่งกินเครปไป”

“ก็อยากกินอีกนี่ ไปซื้อให้หน่อยหน่า”

“ไม่อ่ะ ขี้เกี...”

“ชัน!”

อยู่ๆคิระก็เรียกเสียงดัง ทำเอาทั้งชานยอลและแบคฮยอนชะงักไป

“เราจะกินขนมร้านนั้น”

คิระเอ่ยย้ำ มองลึกเข้าไปในดวงตาของชานยอล

สำหรับชานยอลที่ชะงักไปเมื่อกี้ มันเป็นเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายจะสื่อสารเป็นเชิงว่าให้เขาไปซื้อขนมเพราะจะทำตามแผน แต่ชานยอลดันเผลอทำตัวปกติจนลืมไปว่าวันนี้เขาพาคิระมาเพื่ออะไร...

สำหรับชานยอลเป็นแบบนั้น แต่สำหรับแบคฮยอนมันไม่ใช่

ดวงหน้าหวานเรียบเฉย ริมฝีปากสีสดเริ่มคว่ำลง ที่แบคฮยอนชะงักไปนั้นเป็นเพราะเขาไม่ชอบที่คิระเรียกชื่อชานยอลแบบนั้น แบบที่เหมือนจะสนิทกันเกินไป ไม่พอยังออกคำสั่งใส่เหมือนตัวเองอยู่เหนือชานยอล

สำหรับคนที่บอกว่าเป็นเพื่อน แบคฮยอนคิดว่าการกระทำแบบนี้มันดูจะเกินไปหน่อย

“เออๆ” ร่างสูงเอ่ยรับคำ โดยไม่ลืมหันมาถามคนตัวเล็กที่กุมมือกันไว้อยู่ “แบคฮยอน...อยากกินขนมอะไรมั้ย”

เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้าไปมา และคลายมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย

วูบหนึ่งที่ชานยอลเผลอมองคนตัวเล็กด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น คาดหวังว่าใบหน้าหวานนั้นจะแสดงอาการอะไรออกมา อาจจะมีตวัดสายตามามองเขาแรงๆ ไม่ก็ทำท่าฟึดฟัดอะไรแบบนั้น

ใช่แล้ว...ชานยอลอยากให้แบคฮยอนหึงเขา

อยากให้แสดงท่าทางอะไรออกมาบ้าง...

แผนการในครั้งนี้เกิดขึ้นแบบฉุกละหุกสุดๆ มันเกิดจากตอนที่คิระมาปรึกษาว่าอยากจะให้ชูอิจิสนใจตัวเองให้มากขึ้น จะให้ชานยอลช่วยแกล้งหยอกล้อกันหน่อยตอนที่ชูอิจิมารับ ซึ่งชานยอลก็ปฏิเสธไปแล้วเพราะกลัวแบคฮยอนจะคิดมาก แต่ไปๆมาๆพอโดนคิระถามว่า ‘อะไรกัน แบคคุจังขี้หึงเหรอ’ ชานยอลก็ดันใบ้กินไปชั่วขณะ

จะว่าขี้หึงมั้ย...ชานยอลก็ไม่เคยเห็นว่าแบคฮยอนจะหึงเขาเลย อาจจะมีตึงๆใส่บ้างเวลาเป็นข่าวกับลูกค้าที่ไปคุยงาน แต่ก็เป็นการเงียบใส่ซะส่วนใหญ่ ตอนที่ไม่กลับบ้านเพราะคิดว่ามีกิ๊กก็เอาแต่เงียบใส่เหมือนกัน

ไม่เหมือนเขาที่พูดออกมาตลอดเวลาที่คนอื่นเข้าใกล้แบคฮยอนมากเกินไป เขาทั้งแสดงออกทั้งการกระทำ สีหน้า แววตา คำพูดมากมาย พูดออกไปตรงๆเลยด้วยซ้ำว่าเขาหึงมาก หวงมาก

แต่กับคำถามของคิระ มันดันทำให้ชานยอลคิดขึ้นมาได้...ว่าแบคฮยอนไม่เคยแสดงท่าทีหึงหวงเขาเลย

คิระจับจุดได้ถึงปัญหาที่คล้ายคลึงกัน สำหรับคิระนั้นชูอิจิไม่ใช่แฟน แต่สำหรับชานยอลแล้วน่าเป็นห่วงกว่าเพราะอยู่ในฐานะคนรักกัน (คิระได้ยินชานยอลพูดถึงแบคฮยอนบ่อย และคิดว่าชื่อแบคฮยอนนั้นเรียกยาก เลยเรียกสั้นๆว่าแบคคุจังแทน) คิระเข้าใจความรู้สึกของชานยอลที่อยากถูกคนรักแสดงอาการหึงหวงให้ชื่นใจบ้างว่าเรายังสำคัญกับอีกฝ่ายอยู่จริงๆ

บางทีของขวัญวันเกิดที่ชานยอลต้องการ มันก็ไม่มีอะไรมากจริงๆแหละ

วันนี้เขาก็ต้องการแค่อยากเห็นว่าแบคฮยอนของเขานั้นยังรักเขาเหมือนเดิม

“คุณชานยอลไปซื้อให้คุณคิระเถอะ หรือจะไปด้วยกันก็ได้นะ ผมรอตรงนี้ได้”

รอยยิ้มกับคำพูดที่ดูปกติราวกับคนไม่ได้คิดอะไรนั้น ทำให้ทุกความรู้สึกของชานยอลหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

บางทีชานยอลอาจจะคาดหวังมากเกินไปรึเปล่านะ

หรือบางที...แบคฮยอนอาจจะรักเขาน้อยลงรึเปล่า

ชานยอลเลือกที่จะไม่พูดอะไรตอบกลับแบคฮยอน ร่างสูงหันหลังเดินไปยังร้านขนมที่มีคนต่อคิวยาวที่คิระชี้ โดยที่แบคฮยอนมองตามแผ่นหลังกว้างของแฟนตัวเองอยู่สักพัก ก่อนจะเคลื่อนกลับมามองผู้ชายที่สูงพอๆกันตรงหน้า

คิระส่งยิ้มให้แบคฮยอนทันทีที่เราสบตากัน “นี่ แบคคุจัง คบกับชันโยรุมานานแล้วเหรอ”

“ครับ นานแล้ว” แบคฮยอนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่คนฟังยังรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังหงุดหงิดไม่น้อย “คุณคิระถามทำไมเหรอ”

“ก็อยากรู้น่ะสิ เราก็รู้จักชันโยรุมานาน ได้ฟังชันโยรุพูดถึงบ่อยๆ ก็เพิ่งจะเคยเห็นแบคคุจังตัวจริง...พอมาเจอกันก็แอบตกใจเลย แบคคุจังน่ารักจนเราคิดว่าตัวเองคงสู้ไม่ได้แน่ๆ...”

“สู้ไม่ได้?” แบคฮยอนทวนคำ

“นี่ ถ้าสมมตินะ” คิระมองใบหน้าหวานของคนตรงหน้าท่ีเริ่มจะบึ้งตึง “สมมติว่าถ้า...เราชอบชันโยรุ...”

“…”

“ชอบในแบบที่ไม่ใช่เพื่อน”

“…”

“แบคคุจังจะให้โอกาสเราสู้รึเปล่า”

ฉับพลันใบหน้าของคนตรงหน้านั้นแปรเปลี่ยนจนเห็นได้ชัดถึงความขุ่นเคืองในดวงตาคู่สวยของอีกฝ่าย ซึ่งมันเป็นปฏิกิริยาที่คิระต้องการจะเห็นถึงได้พูดแบบนั้นออกไป

เท่าที่ฟังชันโยรุเล่ามา คิระก็ไม่ได้คิดหรอกว่าแบคคุจังจะไม่ได้รักเพื่อนของเขา แต่ก็เข้าใจคนที่อยากจะได้รับความมั่นใจ ยิ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานเป็นสิบปี บวกกับคนมันเคยทำพลาดทำผิดมาแล้ว คิระเข้าใจดีที่ชันโยรุจะอยากให้แฟนตัวเองหึงบ้าง

เวลาโดนหึงแล้วมันรู้สึกดี รู้สึกเหมือนเราได้รับความรักจากอีกฝ่ายผ่านการกระทำ เพื่อนของเขาก็แค่ตาแก่ที่กลัวเมียเด็กจะรักตัวเองน้อยลง จนอยากจะเรียกร้องความสนใจเท่านั้นแหละ

และดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะได้ผลซะด้วยสิ

ดูจากใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด ถึงมุมปากของแบคฮยอนจะยังยกยิ้มจางๆอยู่ แต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่มองดูแล้วไม่เป็นมิตรสุดๆ

“เมื่อกี้เป็นเรื่องสมมติใช่มั้ยครับ” แบคฮยอนถาม น้ำเสียงไม่ได้แฝงความแดกดันอะไรทั้งสิ้น “...งั้นถ้าผมสมมติบ้าง ถึงเรื่องบางเรื่องที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองจะต้องแพ้ ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงแข่งด้วยซ้ำ”

“…”

“เรื่องบางเรื่องที่รู้ทั้งรู้แก่ใจอยู่แล้ว...ว่าเราไม่มีวันชนะ”

“…”

“คุณคิระยังอยากจะสู้รึเปล่าครับ”

ความมั่นใจในสิ่งที่พูดออกมานั้นบ่งบอกได้ถึงทั้งมั่นใจในรักที่มีให้อีกฝ่าย และมั่นใจในความซื่อสัตย์ที่คนรักมีให้ตัวเอง

มันเป็นความมั่นใจ จากความรู้สึกของแบคฮยอนที่จะไม่มีวันแพ้ใครในเรื่องของปาร์คชานยอล

และเขามั่นใจในความรักที่ชานยอลมีให้ ว่าแม้จะไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย...บนบัลลังค์ของผู้ชนะ แบคฮยอนจะนั่งอยู่บนนั้นโดยไม่มีวันตกลงมา

หากพูดกับคนที่ไม่ได้แกล้งถามอย่างคิระ มันก็ดูจะเป็นคำพูดที่ใจร้ายไปหน่อย หากคิระคิดอะไรกับชานยอลจริงๆคงรู้สึกเจ็บใจไม่น้อยเลยล่ะ

ไม่ใช่แค่ชานยอลที่ขี้หึง คนตรงหน้าก็ใช่ย่อย แม้จะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาต่อหน้าชานยอล แต่คิระก็รับรู้ได้ว่าแบคฮยอนนั้นหวงแหนชานยอลยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ได้น้อยไปกว่าที่ชานยอลหวงตัวเองเลยสักนิด

ใบหน้าซุกซนเผยยิ้มออกมา พร้อมกับเสียงหัวเราะที่กลั้นไว้ไม่อยู่ จนแบคฮยอนต้องเอียงคอมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย

“คุณหัวเราะอะไร”

“คิกๆ ก็หัวเราะแบคคุจังกับชันโยรุน่ะสิ”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่าพวกเขาตลกอะไรคิระถึงได้หัวเราะ ก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะส่งมา และเอ่ยพูดประโยคที่ทำให้ความขุ่นเคืองในใจของแบคฮยอนค่อยๆจางลง

“เมื่อกี้เราแค่ลองใจแบคคุจังเท่านั้นเอง” คิระยิ้มขำ “แบคคุจังเนี่ยขี้หึงเหมือนกันนะ น่ารักจัง”

“ผม...คุณคิระเล่นอะไรเนี่ย”

แก้มขาวๆเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ เมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองถูกแกล้งเอาซะแล้ว แถมเมื่อกี้แบคฮยอนยังชักสีหน้าใส่คนตรงหน้านี่ด้วย เพราะคิดว่าคิระตั้งใจจะกวนประสาทเขาจริงๆ

“ถ้าเราบอก แบคคุจังห้ามไปบอกชันโยรุนะ” คิระยิ้มเมื่อแบคฮยอนพยักหน้าตอบรับ “จริงๆชันโยรุแอบคิดมากน่ะ กลัวว่าแบคคุจังจะรักน้อยลง”

“คุณชานยอล...คิดมากเหรอครับ”

“อื้อ คิดมากแบบมากๆ”

แบคฮยอนเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวลใจ ในหัวมีแต่คิดไปว่าตัวเองนั้นทำอะไรแย่ๆอีกแล้วรึเปล่า เผลอไปทำให้ชานยอลรู้สึกแย่อีกแล้วใช่มั้ย

จริงๆแบคฮยอนเองก็มีเรื่องที่คิดมากอยู่เหมือนกัน ทุกวันนี้เขายังแอบร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึงวันที่ปฏิเสธคำขอแต่งงานของชานยอล

ใครจะว่าแบคฮยอนเห็นแก่งานจนไม่ใส่ใจไม่สนใจชานยอลเลย แบคฮยอนก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ แต่ก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องสู้กับความรู้สึกตัวเองมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะแต่งงานกับชานยอล แต่ด้วยการงานและภาระหน้าที่หลายอย่าง แบคฮยอนคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลาจริงๆ

ชานยอลอาจจะคิดมากเรื่องเดียวกับแบคฮยอนอยู่ก็ได้...พอคิดถึงเรื่องนั้นแล้วแบคฮยอนก็รู้สึกแย่ขึ้นมา

“จริงๆชันโยรุก็แค่อยากจะเรียกร้องความสนใจจากแบคคุจัง แต่ก็กลัวว่าจะดูงี่เง่า บวกกับอายุมากกว่าด้วยเลยไม่อยากงอแงเป็นเด็กๆ แต่เพื่อนเรารักแบคคุจังมากเลยนะ คิดมากไปต่างๆนานา กลัวสักวันแบคคุจังจะรักตัวเองน้อยลง เราก็เลยอาสาจะช่วย”

คิระเริ่มอธิบาย โดยไม่ลืมหยิบมือถือขึ้นมากดส่งข้อความไปหาชานยอลที่ต่อแถวรอซื้อขนมอยู่ว่าแผนการนี้ใช้ได้ผลนะ ให้คนแก่ดีใจเล่น

“เราก็แค่จะลองใจดูว่าแบคคุจังจะแสดงออกแบบไหนถ้าเราบอกว่าชอบชันโยรุ เราพอใจนะที่แบคคุจังแสดงออกมาแบบนั้น แต่ก็คงจะพอใจมากกว่านี้ถ้าแบคคุจังแสดงออกมาต่อหน้าชันโยรุ รายนั้นน่ะอยากเห็นตอนแบคคุจังหึงจะแย่”

แบคฮยอนรับฟังสิ่งที่คิระพูดโดยไม่ได้เอ่ยขัดอะไร เขาคิดตามทุกคำพูดของอีกฝ่าย

และคิดว่านั่นสิ...ทำไมต้องมาอดทนเพราะไม่อยากทะเลาะกันด้วยนะ

ทำไมต้องกลัวว่าถ้าจะงอแงงี่เง่าแล้วจะทำให้เราทะเลาะกัน

ในเมื่อต่อให้เราจะทะเลาะกันอีกสักกี่พันครั้ง จะมีเรื่องให้ไม่เข้าใจกันอีกกี่พันเรื่อง

สุดท้ายแล้ว...พวกเราก็ไม่คิดจะปล่อยมือไปจากกันอยู่ดี

“วันนี้เป็นวันเกิดของชันโยรุด้วย เราถามไปแล้วว่าอยากได้ของขวัญอะไรมั้ย เรากับชูอิจิจะไปซื้อให้ แพงแค่ไหนก็ได้เพราะจะหารกันซื้อแหละ” คิระหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงคำตอบของเพื่อน “...แต่ชันโยรุบอกว่าไม่เอา ไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ เพราะวันนี้มีของขวัญที่อยากได้ที่สุดอยู่ข้างตัวแล้ว”

“…”

“แค่มีบยอนแบคฮยอนในทุกๆปี ก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว”

แบคฮยอนรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นเมื่อได้ฟังสิ่งที่คิระพูด คำพูดของคนตรงหน้าไม่ได้เสริมแต่งอะไรใดๆ คิระต้องการจะสื่อผ่านทั้งคำพูดและใบหน้าที่จริงจัง เพื่อให้แบคฮยอนรับรู้ว่าชานยอลพูดแบบนั้นจริงๆ

แน่นอนว่าแบคฮยอนรับรู้...รู้ดีว่าชานยอลรักเขามากแค่ไหน

วันเกิดปีนี้ แบคฮยอนก็ไม่ได้มีสิ่งของจะมอบให้ชานยอล เพราะสิ่งที่เขาตั้งใจจะมอบให้อีกฝ่ายนั้นคือความรักทั้งหมดที่เขามี

“จริงสิ พูดถึงวันเกิด ปีนี้แบคคุจังจะให้อะไรเป็นของขวัญเหรอ เราถามได้มั้ย”

คำถามนั้นทำเอาใบหน้าหวานขึ้นสีจางๆเมื่อนึกถึงของขวัญที่ตัวเองจะมอบให้

มันก็ไม่ใช่สิ่งของอะไร แต่เป็นการแสดงความรักในหลายๆรูปแบบ

รวมไปถึงเรื่องที่เราไม่ได้แตะต้องกันตั้งแต่กลับมาคืนดีกันนั่นด้วย...

“ก็...ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ผมสั่งเค้กที่โรงแรมไว้ คิดว่าวันนี้จะใช้เวลาด้วยกัน หลังๆมานี้ผมเอาแต่ทำงานจนแทบไม่มีเวลาให้เขาเลย”

ของขวัญจากแบคฮยอนคงเป็นเวลาที่อยากจะมอบให้คนรัก

“งั้นขอเราแนะนำอะไรหน่อยได้มั้ย”

แบคฮยอนเอียงคอมองใบหน้าซุกซนที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ คิระกวักมือเรียกให้คนตัวเล็กตรงหน้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้มกระซิบบอกคำแนะนำที่ทำให้แบคฮยอนหน้าแดงแปร๊ด

ก็ของแบบนั้นมัน...

“เราจะให้คนไปซื้อให้ตอนนี้เลย แล้วเดี๋ยว...”

พรึ่บ!

“ทำอะไร”

เสียงทุ้มที่เอ่ยด้วยภาษาญี่ปุ่นในโทนเสียงดุๆนั้นดังขึ้นพร้อมกับร่างของคิระที่ถูกดังรั้งให้ออกห่างจากแบคฮยอน

ก่อนที่จะได้พูดอะไร ตัวของแบคฮยอนก็ถูกดึงรั้งไปเหมือนกัน

ชานยอลขมวดคิ้วมองคิระที่อยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนตัวเอง ใบหน้าคมดุของชูอิจิจ้องมองคิระด้วยสายตาตำหนิ ดูจะอารมณ์เสียไม่ต่างจากชานยอลที่ยื่นถุงขนมไปให้ชูอิจิแทนคิระ

“เอาของเมียมึงไป”

คิระถลึงตามองเพื่อนทันที “มะ เมียอะไร พูดจาไม่น่ารัก!”

“เมื่อกี้นายก็ไม่น่ารัก บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหวงมาก เข้าใกล้ขนาดนั้นได้ไง”

ชานยอลดุเพื่อน เขาไม่ใช้คำหยาบกับคิระเพราะอย่างที่เห็น แม้จะอายุเท่ากันแต่คิระดูเด็กพอๆกับแบคฮยอนเลยด้วยซ้ำ ทั้งนิสัยใจคอและหน้าตา ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนแบคฮยอนก็คงไม่มีใครสงสัย

“อะไร หึงแม้กระทั่งกับเราเลยเหรอ” คิระยิ้มทะเล้น “อุตส่าห์ช่วยนะเนี่ย”

“กับใครก็หึงหมดนั่นแหละ”

แบคฮยอนหน้าแดงขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกฝ่ามือหนาโอบรั้งเอวไว้แน่น สบตากับคิระเมื่อกี้อีกฝ่ายก็พูดแบบไม่ออกเสียงว่า ‘เดี๋ยวจัดการให้นะ’

พอคิดเกี่ยวกับเรื่องที่กระซิบกันเมื่อครู่ แบคฮยอนก็เขินจนไม่กล้าสบตาใคร ทำตัวมีพิรุธจนชูอิจิที่ยืนอยู่ข้างๆคิระมองมาอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา

“หนูเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าแดง” ชานยอลหันมาถามแฟนตัวเล็กที่ดูจะหน้าแดงผิดปกติ “ตัวร้อนอีกรึเปล่า”

แบคฮยอนส่ายหน้า “เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไรเลย”

“แล้วทำไมหน้าแด...”

“ไอ้ชัน มาคุยด้วยหน่อย”

เพราะชูอิจิเดินเข้ามาขัดจังหวะซะก่อน ชานยอลจึงไม่ได้คาดคั้นอะไรแบคฮยอนต่อ

“เดี๋ยวพี่มานะ ไปคุยกับเพื่อนแปปนึง”

“อื้อ”

แบคฮยอนพยักหน้า มองผู้ชายตัวสูงสองคนเดินไปคุยอะไรบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับงาน ไม่ได้เดินไปไกลมาก แต่ก็อยู่ในจุดที่เขาไม่ได้ยินว่าคุยเรื่องอะไรกัน

“นี่ๆ แบคคุจัง เราจัดการให้แล้วนะ”

“เอ่อ...คุณคิระ ผมว่า...”

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า ชันโยรุต้องชอบแน่ๆ” คิระพูดอย่างมั่นใจ “เนี่ยเราจะให้ชูจังอ้างว่าต้องแก้งาน แล้วถ่วงเวลาชันโยรุไปที่บริษัทก่อน แบคคุจังก็กลับไปเตรียมเค้กได้เลย ส่วนของที่ว่านั่นเราให้คนไปซื้ออยู่ กลับไปถึงก็น่าจะทันพอดี คนของเราจะเอาไปฝากไว้ที่ล็อบบี้ให้นะ”

แบคฮยอนถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อคิระจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว แอบเกรงใจอยู่เหมือนกันที่เป็นธุระให้ แต่ก็ถือว่าโล่งใจไปเปราะหนึ่งเพราะตอนแรกแบคฮยอนยังคิดไม่ตกอยู่เลยว่าจะเซอร์ไพรส์เป่าเค้กแบบไหนดี

“คุณคิระ” แบคฮยอนเรียกคนตรงหน้า พร้อมกับส่งยิ้มจริงใจไปให้ “ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับ”

“โหย ไม่เป็นไรเลยๆ เราเต็มใจช่วยมากๆ”

แบคฮยอนรู้สึกขอบคุณคิระจริงๆ และรู้สึกอบอุ่นแทนชานยอลที่มีเพื่อนดีๆแบบนี้ แม้แบคฮยอนจะไม่ได้รู้จักเพราะไม่เคยมาทำงานที่ญี่ปุ่นกับชานยอลเลย แต่ก็วางใจได้แล้วว่าไม่มีอะไรให้เป็นห่วง งานที่นี่จะต้องออกมาดีแน่ๆ

“แล้วก็เรื่องที่คุณชานยอลคิดมาก...คุณคิระไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

ใช่ ไม่มีอะไรให้เป็นห่วงแล้วล่ะ

คิระรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เพื่อนกำลังคิดมากนั้นเป็นการคิดไปเองจริงๆ เพราะคนตรงหน้าไม่ได้ดูเหมือนกำลังจะรักเพื่อนของเขาน้อยลงอย่างที่เพื่อนเขากลัวเลย

บางทีแม้เราจะไม่ได้แสดงออก แต่ก็ใช่ว่าความรู้สึกมันจะน้อยลงซะเมื่อไหร่

“หายห่วงแล้ว ตอนนี้เป็นห่วงแบคคุจังแทน”

คิระยิ้มกรุ้มกริ่ม แค่นึกไปว่าสิ่งที่เขากำลังให้ลูกน้องไปซื้อมานั้นจะมาอยู่บนตัวของคนตรงหน้า ก็แอบหัวเราะในใจไว้ก่อนเลย

ฮึๆ

ชันโยรุจะต้องคลั่งตายแน่!




















“อะไรของมึงเนี่ย ให้กูมาดูอะไรกันแน่”

ชานยอลขมวดคิ้วหันไปถามชูอิจิที่ส่งเอกสารแบบเดิมกับที่เขาอ่านไปเมื่อตอนบ่ายมาให้ เห็นว่างานมีปัญหาเลยต้องรีบวนกลับมาที่บริษัทอีกรอบ เขาถึงต้องให้แบคฮยอนกลับไปก่อน โดยที่คิระเป็นคนเรียกคนขับรถพาไปส่งที่โรงแรม

แต่นี่อะไร เขาอ่านวนไปวนมาสามรอบแล้ว เอกสารมันก็เดิมๆ ไม่ได้มีอะไรต้องแก้เพราะมันแก้ไปแล้วเมื่อตอนบ่าย

“มึงแกล้งกูเหรอไอ้ชู”

“เปล่านี่” ชูอิจิไหวไหล่ พลางก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ลูกศรชี้ไปที่เลขหก “มึงกลับไปได้แล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นชานยอลก็ร้อง “ห้ะ” ทันที

“เออ กลับไปได้แล้ว”

“อะไรวะ เสียเวลาอยู่กับเมียชิบหาย”

ชานยอลวางเอกสารลงบนโต๊ะด้วยท่าทางฟึดฟัด ปรายตามองเพื่อนที่ยืนทำหน้านิ่งกดโทรศัพท์อยู่ เห็นแบบนั้นก็อดจะถามไม่ได้

“คุยกับใคร”

ชูอิจิละสายตาจากหน้าจอมือถือ เงยหน้าไปมองเพื่อนเล็กน้อย “ยุ่ง กลับไปได้แล้วไป”

“คุยกับเด็กอีกล่ะสิ” ชานยอลถามเสียงกวน “ระวังมันจะหนีไปจริงๆเข้าสักวัน”

“ก็ให้หนีไปสิ”

ชูอิจิไหวไหล่อย่างไม่คิดมากกับคำพูดของเพื่อน ชานยอลกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ไม่อยากเอาตัวไปยุ่งกับความสัมพันธ์ของเพื่อนสักเท่าไหร่

ที่จริงลึกๆแล้วก็รู้แหละ ว่าที่ชูอิจิพูดไม่ได้หมายความแบบนั้นหรอก

ก็เหมือนเขาตอนที่ไล่แบคฮยอนไป แต่ก็ไม่ได้ไล่เพราะอยากจะปล่อยให้ไปจริงๆ

เพราะต่อให้แบคฮยอนจะหนีไปไกลแค่ไหน เขาก็จะตามหาจนพบ ให้พลิกแผ่นดินหาก็จะทำ

แค่คำพูดใครๆก็พูดได้ การกระทำน่ะสำคัญกว่าอยู่แล้ว

“ถามจริง ที่มึงให้กูกลับมาที่บริษัทเป็นเพื่อนนี่เพื่ออะไร จะปั่นกูเหรอ”

“กูจะทำแบบนั้นไปทำไม เสียเวลาเหมือนกัน”

“แล้วจะเรียกกูมาทำเหี้ยอะ...”

“คิระขอให้ทำ ก็เลยทำ” ชูอิจิพูดขัดขึ้นด้วยความรำคาญ “กลับไปหาเมียมึงได้แล้ว เบื่อหน้า”

ชานยอลจิ้ปาก เมื่อกี้เขากำลังจะเอ่ยแซวแต่ก็โดนไอ้เพื่อนปากหมาไล่ในประโยคถัดมาโดยที่ยังไม่ได้อ้าปากพูดคำใดเลยด้วยซ้ำ

เหมือนมองตัวเองในอดีตยังไงชอบกล...

“ไอ้ชัน”

ชานยอลหันไปมองเพื่อนนิดหน่อย เขาให้คิระกับชูอิจิเรียกสั้นๆได้เพราะชื่อญี่ปุ่นของตัวเองค่อนข้างยาว แต่ก็น้อยครั้งที่ทั้งสองคนจะเรียกแบบนั้น เพราะสำหรับคนญี่ปุ่น ชันโยรุก็เป็นชื่อที่เรียกได้ปกติ

“เบิ๊ดเดย์”

ก็นึกว่าเรียกทำไม

“เออ ขอบใจ”

“แล้วก็คิระฝากบอกมาเมื่อกี้”

“…”

“ว่าอย่ารุนแรงมากนะ”





















ใช้เวลาไม่นานชานยอลก็ขับรถที่ชูอิจิให้ยืมชั่วคราวมาถึงโรงแรม ร่างสูงขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสิบเก้าซึ่งเป็นห้องแบบฮันนีมูนสวีท มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกล ตอนแรกก็กะจะไปแช่ออนเซ็นแต่เพราะแบคฮยอนเพิ่งหายไข้ชานยอลเลยกลัวว่าถ้าไปแช่แล้วจะไข้ขึ้นอีก

สองเท้าก้าวเดินไปยังห้องพัก ในหัวคิดไปว่าวันนี้จะทำอะไรต่อดี ชานยอลแวะซื้อข้าวก่อนกลับ คิดไว้แล้วว่าวันนี้คงไม่ได้ออกไปไหน จะใช้เวลาอยู่กับแบคฮยอน หาหนังดูสักเรื่อง เป็นวันเกิดที่แสนเรียบง่ายเหมือนหลายๆปีที่ผ่านมา

ชานยอลไม่ได้ชอบความหวือหวา ไม่เคยคาดหวังของขวัญวันเกิดจากใคร เพราะตัวเขามีพร้อมทุกอย่างแล้ว ยิ่งกับแบคฮยอนชานยอลยิ่งไม่เคยหวัง เพราะอย่างที่บอกไปว่าสำหรับเขา การมีแบคฮยอนอยู่ข้างๆก็ถือว่าเป็นของขวัญแล้ว

แม้จะแอบคิดอกุศลอยากใช้วันพิเศษเป็นข้ออ้างในการจับน้องกินก็เถอะ แต่ชานยอลก็ไม่ได้คิดจริงจังถึงขั้นว่าจะจับกินให้ได้ อาจจะมีกอดจูบนิดๆหน่อยๆให้พอประทังชีวิตไปบ้าง

ที่เราไม่ได้แตะต้องเรื่องอย่างว่ากันเลยมันเป็นเพราะต่างคนก็ต่างทำงาน เมื่อก่อนจะเป็นแค่ชานยอลที่ทำงาน กลับมาเหนื่อยๆเจอหน้าเมียแล้วก็จับฟัดให้ชื่นใจอะไรแบบนั้น แต่ตอนนี้แบคฮยอนเองก็ทำงาน แถมยังเป็นงานที่บางทีไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์บ้างก็มี นั่นทำให้วันหยุดแต่ละทีเป็นการพักผ่อนแบบพักผ่อนจริงๆ ชานยอลไม่กล้าทำอะไรน้องเพราะกลัวว่าน้องจะเหนื่อย

ก็เซ็กส์ของเขามันเคยเบาซะที่ไหนล่ะ

แบคฮยอนเองก็ไม่เคยเรียกร้องเรื่องบนเตียงอยู่แล้ว เมื่อก่อนก็มีแต่ชานยอลนั่นแหละที่เอาแต่รังแกน้อง พอดีกันก็เลยอยากทำตัวดีๆหน่อย

อยากให้แบคฮยอนรู้ว่าเขาไม่ได้มองแค่เรื่องนั้น ไม่ได้หวังแค่เรื่องนั้นอย่างเดียว ที่บอกว่ารอก็รอได้จริง รอได้ทุกเรื่องนั่นแหละ

ติ๊ด...

มือหนายกคีย์การ์ดขึ้นมาแสกน พร้อมกับเปิดประตูห้องเข้าไป

“…!”

ชานยอลผงะไปเมื่อมีบางอย่างยื่นมาตรงหน้า ยังไม่ทันได้ก้มถอดรองเท้าด้วยซ้ำ แสงเทียนที่ส่องสว่างอยู่ตรงหน้าก็เรียกความสนใจจากเขาให้มองค้างไปที่เค้กก้อนเล็ก สลับกับคนตรงหน้า

แบคฮยอนส่งยิ้มให้ทันทีที่เราสบตากัน


“แซง งิล ชุก คา ฮัม นิ ดา
แซง งิล ชุก คา ฮัม นิ ดา...”

“…”

“ซา ราง ฮา นึน ชาน ยอล ลี่...”


ชานยอลมองร่างเล็กในชุดยูกาตะสีหวานที่ยืนร้องเพลงยื่นเค้กมาให้ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

และความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง


“แซง งิล ชุก คา ฮัม นิ ดา”


ขอบคุณ...ที่ยอมกลับมาหาเขา

“พี่ชานยอล มีความสุขมากๆนะครับ”

เจ้าของวันเกิดยิ้มกว้าง หยิบเอามือถือตัวเองขึ้นมาถือไว้

“เป่าเค้กเร็ว อธิษฐานด้วยนะ”

ชานยอลยกมือถือขึ้นในระดับใบหน้า กดเข้าไปที่กล้องถ่ายรูปที่ฉายภาพแบคฮยอนยืนถือเค้กเอาไว้ คนตัวเล็กทำหน้าเหวอไปเล็กน้อยที่อยู่ๆก็โดนเจ้าของวันเกิดถ่ายรูปแทนการเป่าเค้ก

“หนู ยิ้มหน่อย”

แม้จะแอบเขินๆเพราะปกติไม่ค่อยชอบถ่ายรูปสักเท่าไหร่ แต่ก็ส่งยิ้มน่ารักๆไปให้ตามคำขอ เพราะอยากจะตามใจคุณเจ้าของวันเกิดเค้า

ชานยอลกดรัวชัตเตอร์จนพอใจแล้วจึงเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง พร้อมกับโน้มหน้าไปใกล้เค้ก ดวงตากลมโตปิดลงเพื่ออธิษฐานขอพรวันเกิด ก่อนจะเป่าเทียนจนแสงดับลงไป

เขาไม่ได้ขออะไรเยอะแยะมากมาย ขอแค่สั้นๆแล้วก็เป่าเทียน

แค่คำขอเดียวที่ขออยู่ทุกปี

“ขอบคุณนะครับ”

เอ่ยขอบคุณแฟนตัวเล็กที่เขย่งตัวขึ้นมาหอมแก้มเบาๆ แบคฮยอนส่งยิ้มน่ารักให้ พร้อมกับแย่งถุงอาหารในมือของชานยอลไปถือ

“เดี๋ยวหนูไปจัดอาหารให้นะ แล้วเดี๋ยวกินเค้กกัน”

ชานยอลพยักหน้ารับ ถอดรองเท้าแล้วเดินตามร่างน้อยที่ตรงไปยังโต๊ะกินข้าวริมกระจกบานใหญ่ ตรงนั้นมีพวกจานชามวางอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังมีเทียนที่คนตัวเล็กจุดเอาไว้เพื่อสร้างบรรยากาศวางไว้บนกลางโต๊ะ

เพียงได้มองแบคฮยอนวางเค้กลงบนโต๊ะ หยิบเอาอาหารมาจัดใส่จาน พร้อมกับบอกให้เขามานั่งรอ แค่มองอีกฝ่ายเดินไปเดินมาทำนู่นทำนี่ มันก็ทำให้ชานยอลมีความสุขมากๆแล้ว

วันเกิดของเขาก็ต้องการแค่เท่านี้

เท่านี้ที่อาจจะมองว่ามันดูน้อยเกินไป แต่สำหรับชานยอลแล้วมันมากพอที่เขาจะกล้าบอกทุกคนว่านี่คือวันที่เขามีความสุขมากที่สุด

“ทำไมใส่ยูกาตะ” ชานยอลถามเมื่อคนตัวเล็กมานั่งตรงข้ามเรียบร้อย

แบคฮยอนชะงักไปเล็กน้อย แอบตื่นตกใจตามประสาคนโกหกไม่ค่อยเก่ง “ก็...เห็นทางโรงแรมแถมให้ มันน่ารักดีก็เลย...”

“หนูก็น่ารัก”

“…”

“ใส่แล้วน่า...” ชานยอลหยุดคำพูดเอาไว้ ยิ้มขำเมื่อคนตรงหน้าเริ่มหน้าแดงขึ้นมา “น่าถ่ายรูปเก็บไว้”

จริงๆจะพูดว่าน่า...นั่นแหละ

แต่กลัวกระต่ายน้อยจะตื่นตกใจ หวาดระแวงจนไม่ยอมให้เข้าใกล้ เลยทำเป็นแกล้งแหย่ไปงั้น

“แค่...น่าถ่ายรูปเองเหรอ...”

ชานยอลชะงักตะเกียบที่กำลังจะคีบเนื้อปลาราคาแพงไปทันที ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองคนตัวเล็กที่พูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก แก้มขาวๆขึ้นสีแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด

“เมื่อกี้หนูว่าไงนะ”

พอถูกถาม แบคฮยอนก็หลบตาพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ “เปล่าครับ กินข้าวกันนะ”

ชานยอลไม่ได้ถามอะไรต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายตักอาหารเข้าปาก พอเห็นแก้มยุ้ยๆกำลังเคี้ยวซูชิคำโตอย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็อยากจะให้กินเข้าไปเยอะๆ เพราะตั้งแต่ทำงานแบคฮยอนก็ผอมลงไปมาก

ระหว่างทานข้าวก็พาคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แบคฮยอนถามเรื่องคิระกับชูอิจิ ชานยอลก็เลยเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงรู้จักและมาทำงานกันได้ ส่วนเรื่องที่สงสัยว่าทั้งคู่เป็นแค่เพื่อนกันหรือเป็นมากกว่านั้น จากการกระทำของชูอิจิที่มากระชากตัวคิระออกห่างจากแบคฮยอน ชานยอลก็เล่าให้ฟังนิดหน่อยว่าคิระแอบชอบชูอิจิมานานแล้ว ส่วนชูอิจิถึงจะนิ่งๆแบบนั้น แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ใช่รักข้างเดียวหรอก

แบคฮยอนได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจขึ้นมา เขารู้สึกขอบคุณคิระมาก และหวังว่าคิระจะได้พบกับความรักที่ดี ที่คู่ควรกับคนที่มีนิสัยน่ารักมากๆคนนั้น

หลังจากทานอาหารเสร็จแบคฮยอนก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ชานยอลที่คิดไว้ว่าจะหาหนังดูก็ไปเปิดทีวี เลื่อนหาช่องที่กำลังฉายหนัง การดูหนังญี่ปุ่นไม่ได้เป็นปัญหากับทั้งเขาและแบคฮยอนที่พูดญี่ปุ่นคล่องอยู่แล้ว

กริ๊ง~

กดเปิดไปเรื่อยๆก็ต้องหยุดชะงักไปเพราะได้ยินเสียงที่เหมือนกับเสียงกระดิ่ง พอหันไปทางต้นเสียง...รีโมตในทีวีก็ล่วงหลุดมือไปทันที

“พี่ชานยอล...”

เสียงหวานที่เอ่ยเรียกนั้นไม่ได้ทำให้ชานยอลละความสนใจจากปลอกคอสีชมพูที่อยู่บนคอของคนตัวเล็กไปได้เลย ยิ่งจ้องเท่าไหร่ก็มันก็ยิ่งทำให้เขาคิดดีไม่ได้สักนิด

เห็นแล้วยิ่งอยากจะรังแก

“นะ...น่ารัก...มั้ย”

เสียงที่เอ่ยถามอย่างตะกุกตะกักด้วยความเขินปนความไม่มั่นใจนั้นดูน่ารักจนชานยอลแทบจะระงับความต้องการในจิตใจตัวเองไม่ได้

ถ้าถามว่าน่ารักมั้ย คำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้ว

“น่ารัก” ชานยอลตอบกลับไปในทันที “...แต่ใส่แบบนี้จะไม่ปลอดภัยเอานะ”

เขาเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่คิระฝากไว้แล้ว

แบคฮยอนไม่มีทางหาเจ้าปลอกคอแสนน่ารักนั่นมาใส่เองแน่ๆ

ให้ตาย...มันจะเกินไปแล้วนะ

คนยิ่งเก็บกดมานานอยู่ มาเจอแฟนตัวเล็กใส่ปลอกคอยั่วๆแบบนี้ มัน...

“ไม่เป็นไร”

“…”

“วันนี้...หนูอยากเป็นของขวัญให้พี่ชานยอล”

ชานยอลไล่สายตามองตามมือเรียวที่ค่อยๆแหวกชุดยูกาตะออกช้าๆ จนเห็นเนื้อผิวขาวๆ ริมฝีปากเริ่มแห้งผาดจนต้องแลบลิ้นเลียยามมองคนตัวเล็กที่ขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้

ทุกก้าวเดินของแบคฮยอนมีเสียงกระดิ่งจากปลอกคอสีหวานดังกรุ้งกริ้งไปมา

มันพาลทำให้ชานยอลจะเป็นบ้าเอาให้ได้ เขาไม่สามารถละสายตาไปจากทุกอย่างของคนตรงหน้าได้เลย

ร่างเล็กหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนตัวสูงกว่าในระยะประชิด ดวงตาเรียวรีช้อนขึ้นมองอีกฝ่าย แบคฮยอนยื่นมือไปจับฝ่ามือของชานยอลให้สัมผัสลงกับช่วงเอวของเขาที่คาดโอบิที่ใช้รัดยูกาตะเอาไว้

“...แกะของขวัญสิครับ”

แทบจะทันทีที่คนตัวเล็กพูดจบ มือแกร่งก็กระชากโอบิที่คาดเอวคอดนั้นไว้ออกทันที ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจอะไรได้อีกแล้วในตอนนี้

วินาทีต่อมาชุดยูกาตะสีหวานก็แหวกออก จนเผยให้เห็นเรือนร่างขาวผ่องที่แอบสวมใส่ชุดวาบหวิวเอาไว้ด้านใน...

ชานยอลไล่สายตามองยังส่วนล่างที่กำลังหยุดตรึงทุกความสนใจของเขาไว้ ขาขาวๆที่ใส่ถุงน่องตาข่ายสีดำ กับชั้นในแบบกระโปรงซีทรูตัวจิ๋วที่แทบไม่ปิดบังแกนกายน่ารักนั้นเอาไว้ได้เลย

ให้ตาย

ฆ่าเขาเลยดีกว่า

โคตรน่า...เลย

ชานยอลอยากจะกระชากไอ้ถุงน่องตาข่ายแสนยั่วนั่นเหลือเกิน

“พี่ชานยอล”

เสียงหวานเอ่ยเรียกคนรักที่มองไปทั่วร่างกายของเขาด้วยสายตาโลมเลีย จริงๆแบคฮยอนก็นึกอายตัวเองไม่น้อยที่ต้องใส่ชุดวาบหวิวสำหรับผู้หญิงแบบนี้ แต่ดูจากแววตาที่มองเขาอย่างพออกพอใจแล้ว คนตัวเล็กก็คลายความกังวลออกไปได้บ้าง

แค่ชานยอลชอบ...และอยากสัมผัสเขามากๆ

แค่นั้นก็คุ้มค่ากับชุดที่คิระช่วยหามาให้นี้แล้ว

“หนู…” เสียงทุ้มแหบพร่าไปหมด ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อแขนขาวๆก็ยื่นมาโอบรัดรอบคอเขาไว้ซะก่อน

แบคฮยอนเขย่งตัวขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับกดจูบลงกับกลีบปากของอีกฝ่ายแผ่วเบา ยามละออก เขารู้สึกได้ถึงเสียงลมหายใจที่เริ่มรุนแรงขึ้น

ชานยอลคงใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว

ก็ไม่ได้ปลดปล่อยมาตั้งหลายเดือนนี่นา...เมื่อกี้เข่าของแบคฮยอนเผลอไปสัมผัสกับส่วนนั้นเข้า มันแข็งตึงซะจนเขาแอบจะหวั่นใจไม่ได้

เพราะบนเตียง...ชานยอลไม่เคยปราณีเขาเลย

“...ชอบของขวัญมั้ยครับ”

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ เพราะเกิดมาแบคฮยอนไม่เคยใส่กระโปรงมาก่อน นั่นทำให้เขาประหม่ากับชุดวาบหวิวนี้ไม่น้อย

แทบจะทันทีที่คนตัวเล็กถามจบ ชานยอลก็คว้าเอวอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามาแนบชิดจนไม่เหลือพื้นที่ว่าง

ใบหน้าหล่อโน้มตัวลง พ่นลมหายใจอุ่นร้อนไปกับใบหูของอีกฝ่าย พลางกระซิบด้วยเสียงแหบพร่า

“รัก...”

“…”

“ตั้งแต่เกิดมา หนูเป็นของขวัญที่พี่รักที่สุด”

ให้บอกว่าชอบมันคงจะน้อยเกินไปกับความรู้สึกของชานยอลที่มีต่อของขวัญชิ้นนี้

แบคฮยอนคือของขวัญที่พ่อมอบให้เขา คือของขวัญล้ำค่าในชีวิต

รอยยิ้มหวานถูกส่งมอบมาให้ พร้อมกับมือเรียวที่กอบกุมใบหน้าของคนรักเอาไว้

“รักเหมือนกันครับ”

ต่างฝ่ายต่างมอบรอยยิ้มให้กัน แววตาที่ทอดมองกันและกันนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

มือเล็กเลื่อนไปกอบกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้แนบแน่น ใบหน้าหวานโน้มลงกดจูบลงกับนิ้วนางข้างซ้ายของคนรักที่ว่างเปล่า เพื่อย้ำเตือนว่าคำมั่นสัญญาที่เราให้กันไว้นั้นจะไม่แปรเปลี่ยนแต่อย่างใด ในอนาคตบนนิ้วที่เขาประทับจูบนั้นจะไม่ว่างเปล่าเหมือนตอนนี้...

อีกสองปีข้างหน้าพวกเขาจะจัดงานแต่งงาน ร่วมใช้ชีวิตที่มีกันและกัน ก้าวผ่านช่วงเวลาการใช้ชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ จับมือร่วมกันผ่านทุกข์สุขที่มีเข้ามาเพื่อทำให้เราได้เข้าใจกันมากขึ้น

จวบจนระฆังวิวาห์ของเรานั้นดังกึกก้อง

จนกว่าจะถึงช่วงเวลานั้น...

“อยู่กับหนูตลอดไปเลยนะ”





'𝑪𝒂𝒖𝒔𝒆 𝒂𝒍𝒍 𝒐𝒇 𝒎𝒆
𝑳𝒐𝒗𝒆𝒔 𝒂𝒍𝒍 𝒐𝒇 𝒚𝒐𝒖

𝑳𝒐𝒗𝒆 𝒚𝒐𝒖𝒓 𝒄𝒖𝒓𝒗𝒆𝒔 𝒂𝒏𝒅 𝒂𝒍𝒍 𝒚𝒐𝒖𝒓 𝒆𝒅𝒈𝒆𝒔
𝑨𝒍𝒍 𝒚𝒐𝒖𝒓 𝒑𝒆𝒓𝒇𝒆𝒄𝒕 𝒊𝒎𝒑𝒆𝒓𝒇𝒆𝒄𝒕𝒊𝒐𝒏𝒔

𝑮𝒊𝒗𝒆 𝒚𝒐𝒖𝒓 𝒂𝒍𝒍 𝒕𝒐 𝒎𝒆
𝑰'𝒍𝒍 𝒈𝒊𝒗𝒆 𝒎𝒚 𝒂𝒍𝒍 𝒕𝒐 𝒚𝒐𝒖

𝒀𝒐𝒖'𝒓𝒆 𝒎𝒚 𝒆𝒏𝒅 𝒂𝒏𝒅 𝒎𝒚 𝒃𝒆𝒈𝒊𝒏𝒏𝒊𝒏𝒈
𝑬𝒗𝒆𝒏 𝒘𝒉𝒆𝒏 𝑰 𝒍𝒐𝒔𝒆 𝑰'𝒎 𝒘𝒊𝒏𝒏𝒊𝒏𝒈

'𝑪𝒂𝒖𝒔𝒆 𝑰 𝒈𝒊𝒗𝒆 𝒚𝒐𝒖 𝒂𝒍𝒍...𝒐𝒇 𝒎𝒆
𝑨𝒏𝒅 𝒚𝒐𝒖 𝒈𝒊𝒗𝒆 𝒎𝒆 𝒂𝒍𝒍...𝒐𝒇 𝒚𝒐𝒖



- 𝐄𝐍𝐃.♡ -
𝐒𝐓𝐀𝐘 𝐖𝐈𝐓𝐇 𝐌𝐄
#ficAlwaysCb



𝙎𝙋𝙀𝘾𝙄𝘼𝙇 𝙋𝘼𝙍𝙏 🔞
─ 𝗖𝘂𝘁 𝘀𝗰𝗲𝗻𝗲 𝗮𝘁 𝗯𝗶𝗼 𝘁𝘄𝗶𝘁𝘁𝗲𝗿 : @𝗺𝗶𝗶8𝗺_
⚠️ 𝐖𝐚𝐫𝐧𝐢𝐧𝐠 : 𝐫𝐚𝐭𝐞 20+ ⚠️
( ค่อนข้างจะมีคำพูดหยาบโลน ใครที่ไม่ชอบแนวนี้ผ่านได้เลยนะคะ / ในคัทไม่มีเนื้อหาสำคัญกับเนื้อเรื่องหลักน้า แยกอ่านได้เลยค่ะ )


ขอบคุณทุกคนนะคะ
รัก♡
Mii8m.


*คิระ,ชูอิจิ อิงอิมเมจแบคฮยอนหัวแดงดูซนๆ กับชานยอลผมดำหน้าดุๆได้นะคะ ไอ้เรามันก็ชิปอยู่แค่นี้5555

Reply · Report Post