sodaisy95

🧸🎈💙 · @sodaisy95

28th Dec 2019 from TwitLonger

Nightlights : Chirstmas Light #ดซชานแบค




Nightlights : Chirstmas Light
#ดซชานแบค
- Merry Chirstmas & Happy New year




‘คุณว่าไงนะ?’

(ฉันบอกว่าฉันทำงานอยู่)

‘ผมหมายถึงประโยคก่อนหน้านั้น’

(ฉันว่าเธอ ถามว่าเธอโทรมาทำไม)

‘ก็ไหนคุณบอกว่าถ้าฉุกเฉินให้ผมโทรหาคุณได้ ทำไมคุณต้องหาว่าผมรบกวนไม่เข้าเรื่อง นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายเลยนะ!’

(ตั้งแต่เสียเวลารับสายเธอ ฉันไม่ได้ยินอะไรที่จะทำให้เธอคอขาดบาดตายได้เลยสักประโยค)

‘ผู้ใหญ่ใจร้าย!’ แบคฮยอนตะโกนใส่โทรศัพท์ ‘ผมไม่น่าโทรหาคุณเลย!’

พอนึกถึงบทสนทนาเมื่อสามวันก่อนแล้วแบคฮยอนก็...ทำได้เพียงขมวดคิ้ว เหยียดริมฝีปาก กำมือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น ก่อนจะดิ้นซ้ายดิ้นขวาอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์ด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นเต็มใจ

“มึงเป็นบ้าอะไร?” จงอินมองเพื่อนที่ดิ้นแด่ว ๆ เป็นปลาที่ถูกจับขึ้นมาจากน้ำ “เฮ้อ ไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ”

“มันน่าโมโหไหมล่ะ!?” แบคฮยอนเอามือทุบโต๊ะสิบที ทุบทุบทุบทุบทุบ! “โมโหชะมัด!”

“มึงมีสิทธิอะไรไปโมโหคุณเค้า?”

“ก็ไม่มีหรอก ถึงได้โมโหตัวเองอยู่นี่ไง!” อยากจะเป็นบ้าตายเข้าให้แล้ว ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ “กูไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลยว่ะ...”

“เรียนหนังสือก่อน อย่างน้อยมันก็ปลูกฝังความรอบคอบให้มึง เทสต์ย่อยคราวหน้าจะได้ไม่พลาดอีก รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น”

“เออ...กูตั้งใจเรียนอยู่” ไม่ชอบตัวเองที่แสดงออกมาแบบนี้ กำลังรู้สึกแบบนี้ “เลิกแล้วไปกินไก่ทอดกัน เบียร์สิบแก้วไปเลย”

ถึงพรุ่งนี้ตอนบ่ายจะมีคลาสเสริมของอาจารย์คิม แต่แบคฮยอนก็ไม่คิดจะลดละเลิกความตั้งใจของตัวเองหรอก

เป็นเรื่องปกติที่หลังเลิกเรียนแล้วแบคฮยอนก็จะนั่งอ่านหนังสือกับเพื่อนอยู่ที่ห้องสมุดของคณะจนถึงสองทุ่ม เป็นสิ่งที่เขากับจงอินทำทุกวันถ้าหากว่าไม่ได้ไปทำกิจกรรมพิเศษอย่างการร้องเพลงและเล่นดนตรีในวันศุกร์หรือวันเสาร์ถ้าทางร้านต้องการวงไปเล่นให้ ถึงจะทำตัวแป้นแล้นไปหน่อย (คนอื่นบอกมาอย่างนั้น) แต่แบคฮยอนก็เป็นคนที่จัดอยู่ในระดับเรียนหนังสือค่อนไปทางดีมาก แต่เทอมนี้คงจะหนักหน่อยสำหรับวิชาวินิจฉัยเพราะว่าเทสต์ย่อยที่ผ่านมานั้นเขาทำตัวเองซะ...ป่นปี้

ข้อสอบย่อยเป็นการตอบข้อสอบในลักษณะถูกผิด แบคฮยอนทำได้แต่เหมือนจะกาผิดช่องจนพาลพังไปทั้งข้อสอบ คะแนนสองเต็มสิบที่ได้มาทำให้เขาต้องเข้าพบอาจารย์เพื่อรับรู้ว่าตัวเองไร้ความรอบคอบและไม่สามารถปฏิเสธความผิดนี้ได้นอกจากต้องก้มหน้าก้มตารับคะแนนนี้และทำให้ดีขึ้นในการสอบเก็บคะแนนครั้งต่อไป

‘อาจารย์เห็นใจเธอนะ แต่ถ้าเธอจ่ายยาผิดล่ะ ถ้าความไม่รอบคอบของเธอส่งผลต่อชีวิตใครล่ะ เก็บเอาไว้เป็นบทเรียนเตือนตัวเองนะ บยอนแบคฮยอน’

แบคฮยอนยอมรับได้กับสองคะแนนนั่น แต่เขารู้สึกยอมรับไม่ได้กับการที่ตัวเองต้องมานั่งจ้องเบอร์โทรของใครคนหนึ่งจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขณะที่ดื่มเบียร์ไปด้วยในเวลาสามทุ่มกว่า ๆ แบบนี้

“ตอนนั้นยังเห็นยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่เลย...” จงอินไม่ได้ตั้งใจจะทับถมเพื่อน มันคือการแสดงความคิดเห็น “ตั้งแต่วันที่ไปหาอาจารย์เหรอวะ?”

“ก็ใช่...” ไม่ชอบ ไม่ชอบเลย แต่ให้หยุดคิดก็หยุดไม่ได้ “ความคิดกูมันตีกันว่ะ”

“...”

“พอกูกังวลใจ กูก็อยากจะโทรหาคนที่กูรู้สึกไว้วางใจอยากจะให้รับรู้ปัญหาของกูอ่ะ กูก็คงผิดที่โทรหาคุณเค้าทั้งที่ไม่ได้ส่งข้อความไปก่อน กูคงผิดที่ตะโกนใส่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่สุภาพ แต่มัน...กูคิดว่ะ...”

“...”

“ว่ากูไม่น่าชอบคุณเค้าเลย”

ช่องว่างระหว่างวัยอย่างนั้นหรือ...ไร้สาระ! แบคฮยอนเคยคิดอย่างนั้นตอนที่รู้ตัวว่าตกหลุมรักคนที่อายุต่างกันสิบปีเข้าให้แล้ว จนในวินาทีหนึ่งที่เหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจเกิดขึ้น เขาถึงได้รู้ซึ้งว่ามันเป็นประเด็นปัญหาในความสัมพันธ์มากแค่ไหน ยิ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เหมือนจะรักข้างเดียวอยู่แบบนี้ มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

“ทำไมวะ?” จงอินต้องการคำอธิบายขยายความ “คุณเค้าทำให้มึงรู้สึกไม่ดีเหรอ?”

“ไม่เชิงว่ะ กูต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติของการที่กูชอบใครแล้วเค้าไม่ชอบกู อันนี้กูเข้าใจได้” ปัญหาที่อยู่ในใจมันมากกว่านั้น “แต่หลายครั้งที่...ความคิดมันไม่ตรงกัน ความสำคัญในชีวิตมันต่างกัน สมมติว่ากูโทรไปหามึงแล้วพูดแค่คำว่าสอบ มึงก็จะแบบอะไรวะ ๆ แต่กับคุณเค้า...มันก็แค่เป็นเรื่องหายใจเข้าหายใจออก อย่างกูไปสั่งบิบิมบับแล้วแม่ค้าคลุกแตงกวามาให้กูแล้วอ่ะ กูกินไม่ได้แต่คุณเค้าบอกว่ากูกินเข้าไปก็ไม่รู้อยู่ดีว่าใช่หรือไม่ใช่แตงกวา”

“...”

“จริง ๆ กูเหนื่อยด้วย สักครั้งไหมที่อยากโทรหากู ไม่เคยหรอก มองกูเหมือนเป็นเรื่องตลกในชีวิตมากกว่า เหมือนเป็นเด็กที่ต้องรักษาน้ำใจกันไปให้ยอมแพ้ไปเอง อยากทำอะไรก็ให้ทำ เดี๋ยวสักวันก็หยุดเอง”

“แล้วมึงจะหยุดเหรอวะ?”

“กูเจ็บ”

“...”

“แต่ช่างแม่งเถอะว่ะ” แบคฮยอนหมายถึงความรู้สึกของตัวเอง “กูก็แค่เสียความรู้สึก แต่กูก็ชอบเค้าอยู่ดี ขนาดเจ็บใจอยู่ กูก็ยังคิดเลยว่าเวลาคุณเค้าเลิกคิ้วใส่กูแล้วน่ารักดีอยู่เลย”

“มึงเมาล่ะ”

มันเป็นความสับสนในใจที่ว่าก็แบคฮยอนชอบแต่แบคฮยอนก็เจ็บ แต่แบคฮยอนก็ชอบเหมือนกัน ถึงในตอนนี้ความรู้สึกเจ็บจะเป็นใหญ่ แต่ก็ทอดทิ้งหรือทำเป็นลืมความรู้สึกชอบในใจไปไม่ได้อยู่ดี มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วของความสัมพันธ์ที่เหมือนจะพยายามคนเดียวแบบนี้ แบคฮยอนยอมรับมันได้ตั้งแต่ต้น เขาเลือกเองที่จะทำแบบนี้ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีอยากจะสนใจกัน คงคิดว่าสักวันแบคฮยอนที่มันจุ้นจ้านก็คงจะเลิกพยายามไปเองนั่นแหละ

โทรศัพท์ที่สั่นครืดคราดเรียกความสนใจนั้นทำให้แบคอยอนหันไปมองก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่ามีข้อความจากคนที่ปกติแล้วเขาจะส่งข้อความไปอรุณสวัสดิ์ทุกวัน แต่พักหลังมานี้ไม่ได้ส่งเพราะเหนื่อยใจ ทั้งยังบอกกับตัวเองว่าส่งไปแล้วมันยังไงล่ะ คุณเค้าก็ไม่เคยตอบกลับมาอยู่ดี ทุกครั้งที่มันถูกขึ้นว่าอ่านแล้ว แบคฮยอนเคยนั่งรอคำตอบ จนสุดท้ายก็เลิกรอไปเอง

Message from คุณชานยอลของแบคฮยอน ♡
ฉันอยู่ที่ร้านกาแฟ

“เฮอะ!” ไก่ทั้งชิ้นเข้าไปอยู่ในปากของแบคฮยอนก่อนที่ห้าวินาทีต่อมาจะเหลือแต่กระดูก “มาบอกทำไมล่ะ เรื่องคอขาดบาดตายรึไง เอสเปรสโซ่ คอนปันน่าไม่ขายเหรอ?!”

“ไอ้เพื่อนเวร เมาแล้วก็อย่าเสียงดัง” จงอินไม่น่าปล่อยให้คอปุยนุ่นอย่างแบคฮยอนดื่มเลย ทั้งหน้าแดงแล้วก็สติไม่มี “หมดแก้วนี้พอแล้วนะ กินไก่ไป”

“เสียเวลามากนักก็ใช้ไปเลย เวลาน่ะ ทำงาน...ไปเลย!”

“ถ้ามึงไม่เลิกตะโกน กูจะกลับบ้านแล้วนะ”

แอลกอฮอล์ทำให้สติสัมปชัญญะและความยับยั้งชั่งใจลดน้อยลง เหมือนตอนนี้ที่แบคฮยอนไม่มีความสามารถในการยั้งปากตัวเองไม่ให้พูดความในใจออกไปได้เลย เขาพูดให้เพื่อนฟังตั้งแต่การส่งข้อความอยู่คนเดียวแล้วไม่มีใครตอบ ไม่มีโอกาสได้พบเจอ ไม่รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน ที่ทำงานก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าชื่อคุณปาร์คชานยอล อายุสามสิบสองปี อาชีพที่ปรึกษาด้านการเงิน ถ้าไปร้านเหล้าชอบดื่มลิเคียว คอแข็งมาก สิบกว่าแก้วก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นร้านกาแฟแล้ว แก้วแรกจะเป็นเอสเปรสโซ่ คอนปันน่า แก้วที่สองสามสี่ต่อไปจะเป็นอเมริกาโน่ เวลาทำงานแล้วใส่แว่นตา ชอบคิ้วขมวดและเลิกคิ้ว...แบบนี้

ก็รู้อยู่หรอก...ว่ารักข้างเดียวมันเจ็บปวด

แบคฮยอนเหม่อมองแสงไฟสีขาวนวลในร้านขายไก่ทอดที่ทำให้แสบตาจนต้องหลับตาลง

แต่มันต้องเจ็บ...ขนาดนี้เลยเหรอ









‘มันพูดยากว่ะ’

‘…’

‘แต่ถ้าอยากให้แนะนำ มึงควรจะเอาตัวเองตอนอายุยี่สิบสองเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่อายุสามสิบสอง’

‘ไม่ต้องแนะนำหรอก กู...ไม่ได้คิดอะไร’

‘โกหกกูไม่เท่าไหร่ แต่โกหกใจตัวเองจะดีเหรอ?’

‘…’

‘คิดให้ดีล่ะ’

คำแนะนำจากเพื่อนทำให้เขากลับมานั่งทบทวนตัวเองอีกครั้งในร้านกาแฟร้านประจำที่มักจะมานั่งทำงานอยู่เสมอ โต๊ะและเก้าอี้ตัวเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากแสงไฟจากภายในร้าน เสาไฟริมถนน และแสงจันทร์บนฟ้ากว้างนั้นทำให้สมองทำงานได้ดี หัวใจ...ก็เช่นเดียวกัน

‘ฉัน...เอ็นดูเธอ’

ชานยอลจำคำพูดในวันนั้นของตัวเองได้

‘และความสัมพันธ์หลังจากนั้น...’

‘เป็นเรื่องของอนาคต!’

และจำเสียงใส ๆ ของเด็กอายุยี่สิบสองที่ยิ้มจนแก้มแทบปริได้เช่นเดียวกัน

หลังจากโดนตัดสายด้วยคำว่า ผมไม่น่าโทรหาคุณเลย! เขาก็ทำได้เพียงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วคิดอยู่ในใจว่าเดี๋ยวหายงี่เง่าแล้วก็คงส่งข้อความมาเองนั่นแหละ ตอนเย็นก็คงจะส่งข้อความมาถามว่าเย็นนี้กินอะไรเหรอครับ ไปกินข้าวกับผมไหม หรืออยากจะกินหัวใจของผม วันนี้ไปนั่งร้านกาแฟกันนะ ผมจะอ่านเปเปอร์ชุดที่สิบสอง อยากได้คนสอนภาษาอังกฤษมากเลยครับ แต่คุณคงสอนไม่ได้ เพราะต้องสอนวิชาความรักให้ผม ฮะ ๆ ผมคิดถึงคุณชานยอลแล้วครับ ไปกินข้าวกับผมเถอะ ผมจะเป็นเด็กดีนะ

แต่ไม่มีเลย เด็กแบคฮยอนไม่ส่งข้อความหาเขา ไม่มีแม้แต่ข้อความเดียว

แต่ที่มันมากกว่านั้นคือการที่เขากลับรู้สึกร้อนอยู่ในอก รู้สึกกระวนกระวายและ...เฝ้ารอข้อความที่เขาไม่เคยแม้แต่จะตอบกลับสักประโยคเดียว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาปล่อยให้เด็กคนนั้นใช้ความรู้สึกของตัวเองเสี่ยงโชคว่าเขาจะออกจากห้องไหมหรือว่าไม่ออก จะไปดื่มกาแฟไหมหรือจะออกไปกินข้าวที่ไหน แล้วในตอนนี้กลับมาคาดหวัง...ในสิ่งที่ไม่สิทธิจะหวังด้วยซ้ำ

Message to 010-614-xxxx
ฉันอยู่ที่ร้านกาแฟ

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงห้าทุ่มครึ่ง นอกจากข้อความจากเพื่อนและคนที่ทำงานร่วมกันแล้ว เขาไม่ได้รับข้อความจากใครอีกเลย

ดูท่าจะโกรธจริง ๆ คำที่บอกว่าผมไม่น่าโทรหาคุณเลยนั่นก็คงจะหมายความตามที่พูดจริง ๆ สินะ ใครจะรู้ว่าเด็กคนนั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากถึงขนาดต้องโทรมา ตัวเขาเองที่คิดว่าเด็กคนนี้จะเป็นอะไรไปนั้นรีบขอตัวออกจากห้องประชุมเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายขึ้น เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะได้ยินคำว่า ‘ผมสอบได้สองคะแนน’ ออกมาแบบนั้น การที่ยอมเสียมารยาทนั้นมันทำให้เขาลดทอนความสำคัญของความรู้สึกเด็กคนนั้นไปด้วย...

ปาร์คชานยอลตอนอายุยี่สิบสองที่สอบได้สองคะแนน...

โลกอาจจะถล่มลงมาก็ได้

ครั้งนี้คงจะเป็นความผิดของเขาจริง ๆ ที่ลำดับความสำคัญของเด็กอายุยี่สิบสองไม่ได้ทั้งที่เคยอายุยี่สิบสองมาก่อน

หลังจากที่นั่งทำงานอย่างไม่มีสมาธิมาได้เกือบสามชั่วโมง โน้ตบุ๊กที่พกมาด้วยก็ถูกปิดลง มือข้างหนึ่งคว้ากุญแจรถบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ เพื่อที่จะทำตามความตั้งใจของตัวเองว่าจะไปหาเด็กคนนั้น หลายครั้งที่อ้อนให้เขาไปส่งที่ห้องแล้วเขาก็ไปเพราะไม่อยากให้กลับห้องคนเดียวในเวลาตีสาม เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้รู้ที่อยู่ของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยก็ตาม

เพิ่มจะรู้ตัวว่าทำไม่ดีสำหรับใจเด็กอายุยี่สิบสองในวันที่ถูกเมินแบบนี้...ก็คงต้องยอมรับแหละนะ

ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วเมื่อมาถึงบริเวณตึกสูงยี่สิบชั้นซึ่งเป็นที่พักของเด็กที่ถามเขาทุกครั้งว่าอยากขึ้นไปไหม ผมชงกาแฟอร่อยนะ แต่เขาก็ปฏิเสธทุกครั้งที่อีกฝ่ายเอ่ยคำชวน ในใจนึกสวนว่าฉันดื่มกาแฟมาขนาดนั้น ตีสามแล้วเธอก็ยังชวนฉันดื่มกาแฟ แต่สิ่งที่แสดงออกมาจริง ๆ คือการส่ายหน้าและทำเป็นไม่ได้ยินอะไรเหล่านั้นไป ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเกิดว่าเขาเป็นฝ่ายโทรหาครั้งแรก...จะดีใจหรือเสียใจนะ

ถ้าเสียใจเขาก็ยอมรับได้ ในเมื่อที่ผ่านมา...ไม่เคยใส่ใจเอง

จะบอกว่าไม่ได้สนใจก็ไม่เชิง หลังจากยุติความสัมพันธ์ครั้งก่อน ปณิธานในใจที่เกิดขึ้นและยึดถือเอาไว้มั่นคือการทำงาน เขาบอกตัวเองว่าจะต้องทำงานให้ดีและมีความสุขกับการทำงาน โชคดีที่เขาเป็นคนบ้างานในระดับแปดถ้าเต็มสิบ การทุ่มเทกับสิ่งที่รักจึงไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ การทำงานถือเป็นการพักผ่อนเพราะเขาชอบ การเผชิญกับความเครียดขั้นสูงสุดและผ่านมันไปได้คือสิ่งที่ทำให้เขาภาคภูมิใจในตนเอง ใครจะรู้...ว่าจะโดนเด็กจีบจนสุดท้ายก็ต้องมารู้สึกแบบนี้

ก็แค่เอ็นดู...เขาเคยคิดแบบนั้น

ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนเป็น น่ารักดี ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

มือที่กำลังจะกดโทรออกนั้นชะงักไปเมื่อได้เห็นภาพคนที่กำลังจะโทรหานั้นเดินโซซัดโซเซมากับคนที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อน ถ้าไม่ชื่อจงอิน ก็ชื่อเซฮุน หรือว่าชื่อจงแด เพราะเด็กคนนั้นเล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังไม่หยุดทั้งที่บอกเขาว่ามาอ่านหนังสือ จงอินชิบชวนไปซื้อรองเท้าแต่ผมไม่ไปหรอกบ้างล่ะ เซฮุนชวนไปติวด้วยแต่ว่าผมอยากอยู่กับคุณบ้างล่ะ จงแดบอกว่าวันนี้จะไปกินหม้อไฟแต่ว่าผมมากินกาแฟกับคุณดีกว่าบ้างล่ะ และภาพนั้นมันทำให้เขาตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถ ลงไปเผชิญหน้ากับคนที่กำลังเกาะเสาไฟ ทำท่าจะอาเจียนแหล่ไม่อาเจียนแหล่ แต่เพื่อนก็ห้ามเอาไว้ บอกว่ามึงขึ้นห้องก่อน

“...”

“เชี่ย...” เด็กแบคฮยอนมองหน้าเขา ในขณะที่เพื่อนนั้นโค้งให้เสียยกใหญ่เมื่อมองเห็นกัน “ตามมาถึงในความคิดเลยอ่อ...”

“...”

“สงสัยมีเรื่องคอขาดบาดตาย แม่ง...”

“ไอ้แบค...” เพื่อนพยายามจะเข้ามาดึงไว้ แต่ผมก็พอเข้าใจว่าเด็กกำลังไม่มีสติ “พูดดี ๆ”

แต่สิ่งที่พูดออกมา...ก็คงเป็นความจริง

“ไม่น่าเลย...ถ้าเป็นคนอื่น ถ้าเป็นคนที่...เข้าใจกันมากกว่านี้..”

“...”

“โทรไปก็ยัง...ทำให้เสียเวลา ที่ส่งข้อความไปก็คงเสียเวลาอ่าน”

“...”

“ที่ชอบคุณมา...ก็คงเสียเวลาเหมือนกัน”









ยับเยิน

นั่นคงเป็นคำเดียวที่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้

“มึงหลอกกู” เขามั่นใจในตัวเองว่าไม่มีทางพูดแบบนั้นออกไป ถึงจะเมาก็ตามที “กูรู้ ไอ้เพื่อนชั่ว”

“กูจะไปหลอกมึงทำไม อัดเสียงกลับมาให้มึงฟังได้กูทำไปแล้ว” จงอินส่ายหน้าใส่เขาก่อนจะถอนหายใจออกมา “กูไม่อยากจะพูดแบบนี้เลยนะ แต่...”

“...”

“คุณเค้ามาหามึงอ่ะ กูว่าเค้าคงตั้งใจมาคุยกับมึง”

“...”

“ไม่รู้ดิ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดมึงนะ ถ้าเกิดว่ามึงรู้สึกแบบที่พูดจริง ๆ”

ใครจะไปรู้สึกอย่างที่พูดกันล่ะ แบคฮยอนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกไปจนกระทั่งเพื่อนรักทวนมันให้ฟังอีกครั้งในบ่ายวันนี้ที่ยังมีแรงหอบสังขารมาเรียนเพราะว่าขาดไม่ได้

“แล้ว...แล้วคุณชานยอล...”

“คุณเค้ามองหน้ามึง”

“...”

“ยิ้มนิด ๆ แล้วก็กลับไป”

“ยิ้ม?”

“เออ” จงอินยังคงถอนหายใจไม่หยุด “ยิ้มเหมือน...รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”

“...”

“...”

“กูออกไปคุยโทรศัพท์นะ”

ครั้งนี้จะต้องโทรได้ แบคฮยอนจะโทรด้วย เพราะว่ามัน...เป็นเรื่องคอขาดบาดตายชัด ๆ!

มือข้างขวาของแบคฮยอนถูกใช้กดโทรหาคนที่ไม่แม้แต่จะรับสายกันทั้งที่เขาอดทนรอจนระบบตัดไปเองและมันเป็นสายที่ห้าแล้วที่ถูกโทรออกไป แต่เขาก็จะกดมันไปเรื่อย ๆ คิดเอาไว้ว่าไม่ยอมแพ้หรอก ที่พูดไปทั้งหมดนั่น...

มันเป็นความจริง

ที่สุดท้ายแล้วสิ่งที่จริงยิ่งกว่าคำพูดพวกนั้น...

คือคำที่ว่า...แต่ผมก็ชอบคุณอยู่ดี

(ฮัลโหล)

“ครับ!” พระเจ้า พระเจ้าช่วยแบคฮยอนแล้ว “คือ...”

(ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ)

“ครับ...” ใจมันเต้นแรงเสียจนควบคุมความรู้สึกเอาไว้ไม่ได้ “...ผมมีเรื่อง...คอขาดบาด—เอ่อ...สำคัญ”

(ว่ามาสิ)

“ผม...เมาครับ” แบคฮยอนสารภาพ “ผมจำอะไรไม่ได้เลย”

(คนเมาจะพูดความจริง)

“ยกเว้นผมเอาไว้คนหนึ่งก็แล้วกันครับ ผมน่ะ เมาแล้วโกหกทั้งเพ!”

แบคฮยอนเสียงดังเพื่อความน่าเชื่อถือ ถึงคุณป้าประจำชั้นและคนที่เดินผ่านจะหันมองแต่เขาก็จะไม่สนใจ

“ผมยัง...ยังพูดไม่จบครับ”

(ไหนเธอบอกว่าเธอจำอะไรไม่ได้เลย?)

“เป็นผู้ใหญ่นักต้อนเหรอครับ ผมไม่ใช่แกะนะ” เขามีความสุขมากเลย ที่ได้คุยโทรศัพท์แบบนี้

ทีแรกใจเป็นกังวล เขากังวลเรื่องคำพูดของตัวเอง กังวลที่จะโทรหา กังวลว่าอีกฝ่ายจะตีตัวออกห่าง(ทั้งที่มันก็แทบจะไม่ได้ใกล้) แต่พอได้พูดคุยกันแบบนี้ เขานึกถึงค่ำคืนในร้านกาแฟที่คุณชานยอลชอบขมวดคิ้ว แต่ก็ยังตอบรับคำพูดของเขาเสมอ

(ฉันถาม)

“ผมยังพูดไม่จบจริง ๆ นะครับ ผมยอมรับ...ว่าผมคิดแบบนั้น”

(...)

“ผมก็รู้แหละว่าตัวเองรักข้างเดียว ผมยอมรับได้ ผมมีท้อไปบ้างแต่ผมก็เข้าใจ ผมก็แค่คิด แต่ผมไม่ได้—”

(เธอไม่ต้องกลัวว่าฉันจะไม่รับสายเธอหรอกนะ แต่ฉันว่าเธอควรจะกลับไปทบทวนความรู้สึกของตัวเองให้ดี)

“...”

(ฉันทำให้เธอน้อยใจ ฉันรู้ แต่ถ้าเป็นฉันที่พูดว่า...ไม่น่าให้นามบัตรเธอไปตั้งแต่แรก เธอจะรู้สึกยังไง?)

“คุณ...”

(ที่ผ่านมาฉันอาจจะทำเป็นไม่สนใจเธอ ไม่ได้ตอบข้อความของเธอ เธอจะโทษฉันเรื่องนั้นก็ได้ ฉันยอมรับมันทุกอย่าง แล้วที่ฉันไปหาเธอเมื่อวาน ฉันอยากจะขอโทษที่พูดคำว่าเสียเวลากับเธอไป ฉันคิดว่าเธอเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายเลยต้องขอออกจากห้องประชุมเพื่อมารับสายเธอ แต่สิ่งที่เธอพูดมันไม่ใช่สิ่งที่ฉัน...เอาเป็นว่าฉันโล่งใจที่มันเป็นเรื่องคะแนนสอบ ฉันคงไม่มีอะไรจะบอกเธอนอกจากคำว่าในอีกสิบปีข้างหน้า มันก็คงเป็นแค่ตัวเลขสำหรับเธอ แต่ในตอนนี้ที่มันสำคัญมาก ฉันเชื่อว่าเธอทำได้ เธอเป็นคนเก่งที่ตั้งใจอ่านหนังสือเสมอ)

“...”

(ถ้าเกิดว่าความพยายามทั้งหมดของเธอมันทำให้ตัวเธอเองรู้สึกแย่ ฉันไม่อยากให้เธอต้องเสียใจนะ)

“ผมชอบคุณ”

(...)

“ผมจะพูดคำหยาบแล้วนะ ผมโคตรชอบคุณเลย”

(...)

“ที่พูดว่าให้ทบทวนหรืออะไรที่จะบอกให้ผมวางสายน่ะเหรอ ผมไม่ได้ยินหรอก ผมรู้แต่ว่าผมอยากเจอคุณมาก ๆ คุณจะถือสาผมตอนเมาแล้วจะทำแบบนี้เหรอ คุณไม่เคยอายุยี่สิบสองรึไง ส่งที่อยู่มาให้ผมเดี๋ยวนี้นะ!”

(เธอสั่งฉันรึไง?)

“ผมขอ...ร้องคุณ”

(เธอมันจอมแก่น ฉันรู้ เสียงน่าสงสารของเธอหลอกฉันไม่ได้หรอก)

“ก็ได้ คุณไม่ทำหรอก แต่ผมสั่งก็ได้ ให้ผมเจอคุณเถอะนะ นะ ๆ”

(...)

“คุณชานยอลสุดหล่อของผม ผมอยากเจอคุณจะแย่ ผมอยากคุยกับ—”

(อยู่ไหน?)

“ถามผมเหรอ?!” มันเป็นความสุขที่เข้ามาหาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว “ที่จริงผมเรียนอยู่ครับ แต่ว่า...”

(ถ้าอย่างนั้นก็เรียนหนังสือไป ฉันเลิกประชุมตอนห้าโมงเย็น เจอกันที่หน้าคณะเรียนเธอ)

“คุณจะมารับผมเหรอ?!” มันอดเสียงดังไม่ได้อีกแล้ว “จริง ๆ นะ”

(ไปเรียนได้แล้ว)

“ครับผม!” เด็กดีที่สุดในโลกต้องชื่อบยอนแบคฮยอนแล้วล่ะ “ผมจะตั้งหน้าตั้งตารอคุณเลยนะ”

(เธอตั้งหน้าตั้งตาตั้งใจเรียนเถอะ ฉันวางแล้วนะ ต้องทำงาน)

“ครับ!”

Message to คุณชานยอลของแบคฮยอน ♡
คุณรู้ด้วยเหรอครับว่าผมเรียนที่ไหน ให้ผมส่งที่อยู่ให้ไหมครับ?

Message from คุณชานยอลของแบคฮยอน ♡
เธอใช้แฟ้มของมหาวิทยาลัย

Message to คุณชานยอลของแบคฮยอน ♡
ช่างสังเกตนะครับ แอบหลงรักผมแล้วล่ะสิ ヾ(≧▽≦)ノ

Message from คุณชานยอลของแบคฮยอน ♡
ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ จะได้ฉลาด

Message to คุณชานยอลของแบคฮยอน ♡
ヾ(。`Д´。)ノ









เสียงเด็กฮัมเพลงในรถนั้นทำให้เขามีความสุขมากกว่าจะรำคาญ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไปก็ตามที

ตั้งแต่ขึ้นรถมาก็ยิ้มกว้างก่อนจะพูดไม่หยุด พูดจนไม่รู้ว่าเอาเวลาตรงไหนไปหายใจ หรือบางทีอาจจะมีเหงือกซ่อนเอาไว้สักที่ในร่างกาย พูดในแบบที่เขาได้แต่ฟังเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกลับไป เว้นแต่จะได้รับคำถามว่าประชุมเหนื่อยไหมครับ ทานข้าวรึยัง แล้ววันนี้จะไปไหน ผมยังไม่อยากกลับห้องนะ!

“เธออยากไปไหนล่ะ?”

“ห้องคุณครับ!”

“...”

“แค่ประตูหน้าห้องก็ได้ ผมจะไปส่งคุณให้ถึงหน้าห้องแล้วก็จะกลับบ้านเลยครับ”

“ฉันก็ต้องออกมาส่งเธออยู่ดีเพราะลิฟต์จะไม่ทำงาน”

“ว้าว...” ดวงตาของเด็กอายุยี่สิบสองเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้นหน้าที่อยู่ของคุณก็ได้ครับ ถือว่าผมไปเปลี่ยนสถานที่ขึ้นรถประจำทาง”

“...”

“ไม่ได้เหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นหนึ่งร้อยเมตรก่อนถึงก็ได้...”

“...ทำอาหารเป็นไหม?”

“โอ้โห อย่าให้พูดครับ ถ้าที่บ้านไม่ทำร้านขายยานะ ผมไปเรียนเชฟแล้ว ไม่มานั่งตรากตรำบำเพ็ญเพียรอ่านหนังสือถึงตีสามแบบนี้หรอก...ครับ”

“ฉันต้องกลับไปทำงาน” เขาต้องกลับไปทำงานจริง ๆ ต้องส่งเอกสารให้ทันเวลานัดหมาย “ฉันคิดว่าเธอคงอยากจะไปกินข้าวกับฉัน...”

“ครับ!”

“...แต่ฉันไม่มีเวลาไปกับเธอ ฉันจะ— ”

“แค่ให้ผมเห็นตัวตึกก็ได้ ทำไมคุณชอบใจร้ายกับผม!”

“ช่วยข่มใจตัวเองแล้วฟังฉัน ถ้าเธอยังเสียงดังอีกฉันจะให้เธอลงป้ายรถประจำทางข้างหน้า”

การได้เห็นเด็กจอมพูดหยุดเสียงของตัวเองได้ราวกับปิดสวิตช์นั้นทำให้เขารู้สึกขบขันอยู่ในใจ ทั้งท่าทีกอดอกและพยายามไม่ทำหน้าบึ้งตึงนั้นก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะยิ้มออกมา

“เพราะว่าฉันไม่สะดวก และเธอเองก็บอกว่าตัวเองนั้นทำอาหารเป็น ฉันเลยตั้งใจว่าจะชวนเธอไปกินข้าวที่ห้องฉัน เธอจะสะดว—”

“ผมสะดวก สะดวกที่สุด!” เป็นเด็กที่เลิกเสียงดังไม่ได้จริง ๆ คนที่เคยเข้าหาเขาทีแรกที่สถานที่แห่งแสงสีพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มในมือและท่าทีเป็นผู้ใหญ่นั้นไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลย “ผมอยากไปมาก ผมสัญญาว่าจะทำตัวให้ดี จะไม่ทำให้ห้องของคุณเลอะเทอะ”

“...”

“ผมดีใจมากเลยครับ”

“...”

“ผมก็แค่อยากบอกน่ะ เผื่อว่าคุณจะไม่รู้”

จากมหาวิทยาลัยไปถึงคอนโดของเขานั้นไม่ได้เป็นระยะทางที่ไกลมากนักแต่ก็ไม่ได้ใกล้เลย ระหว่างทางที่ไม่มีแม้แต่เสียงดนตรีคลอไปนั้นทำให้เขาได้ยินเสียงเด็กที่พูดกับเขาอยู่ฝ่ายเดียวด้วยท่าทางอารมณ์ดีว่าคุณอยู่แถวนี้เองเหรอ ตรงนี้มีแต่คนมีเงินอยู่กันเนอะ ทีแรกผมก็อยากอยู่แถวนี้แต่คิดว่ามันเกินตัวไปหน่อย มันไกลจากมหาวิทยาลัยด้วย ต้องเผื่อเวลาเดินทาง เขาเองที่เป็นคนขับรถก็ตอบเพียงแต่คำถามที่พอจะตอบได้ อย่างเช่นในตู้เย็นมีอาหารใช่ไหมครับ ผมจะทำอะไรดีนะ พอทำเป็นหลายอย่างแบบนี้แล้วคิดไม่ออกเลย คุณชอบกินอะไรครับ เขาเองตอบกลับไปว่าอะไรก็ได้ ก่อนที่เราจะมาถึงที่พักของเขาในที่สุด

ถึงจะมองไม่เห็นแต่ชานยอลก็สัมผัสได้ถึงความอยากรู้อยากเห็นที่เดินตามหลังเขามาขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน ดวงตาเป็นประกายจ้องมองมือของเขาที่ใช้กดหมายเลขยี่สิบเอ็ด ก่อนจะเบนมันขึ้นมาสบตากันพร้อมรอยยิ้มที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำให้รู้สึกอะไรได้ แต่ตอนนี้คงต้องยอมรับว่า...น่ารัก...จริง ๆ

“ฉันขอโทษนะ” เพราะว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องพูด เขาจึงไม่ลังเลใจ “เรื่องที่ว่าเธอไปแบบนั้น”

“จริง ๆ ผม...ไม่รู้ว่าคุณประชุมอยู่ ขอโทษเหมือนกันนะครับ” เด็กน้อยในสายตาเขาโค้งศีรษะกลับมา “ผมคิดไปตลอดว่าคุณไม่อยากให้โทรหาก็เลยตั้งกฎแบบนั้น ที่แท้...คุณก็ต้องทำงาน ผมที่รู้ว่าคุณชอบทำงานขนาดไหนก็ยัง...ผมผิดเองแหละ”

“...”

“คุณชานยอลโกรธผมไหมครับ?”

“ฉันจะไปโกรธอะไรเธอ” เขาไม่เคยคิดแบบนั้น “เวลาที่ฉันไม่ตอบข้อความ เธอคิดอะไรบ้าง?”

“ผมเหรอ?” เด็กน้อยทำหน้าตื่น “ผมก็...ก็น้อยใจตามประสาผม แต่ว่าถ้าตอนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว แต่ว่าเมื่อบ่ายที่ตอบข้อความผม...ดีใจมาก ๆ ครับ”

“ฉันจะพยายามตอบให้มากกว่าเดิม แต่ถ้าทำงานอยู่ก็คงไม่ตอบ ถ้าประชุมอยู่ก็คงไม่ตอบเหมือนกัน ถ้าเธอมีปัญหาอะไรอยากให้ส่งข้อความมาก่อนจริง ๆ ยกเว้นเรื่องที่อาจจะทำให้เธออันตรายถึงชีวิต ตอนนั้นโทรหาฉันได้เสมอ”

“...”

“ฉันเข้าใจเธอนะ ฉันเคยอายุยี่สิบสองมาก่อน แต่ฉันก็อยากให้เธอพยายามเข้าใจฉันที่อายุสามสิบสองด้วยเหมือนกัน”

“ครับ...” คนที่ชานยอลคุยด้วยยังคงทำหน้าเหมือนอยู่ในความฝัน “วันนี้พระอาทิตย์จะตกทางทิศใต้ไหมครับ?”

“ไม่หรอก”

“แล้วทำไม...” สีหน้าล่องลอยแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย “ผมน่ารักหรอก ผมรู้”

“อะไรของเธอ?”

“คุณชอบผม ใช่ไหมล่ะ?!”

“ก็อาจจะใช่ ฉันยังไม่แน่ใจ” เขาเปิดประตูห้องของตัวเองด้วยการกดรหัส “แต่ฉันก็ไม่ได้อยากจะเมินเฉยเธอ”

“...”

“เธอก็น่ารักดี”

เขาทำเด็กยืนนิ่งอยู่ชั้นวางรองเท้า และเขาก็ปล่อยให้เป็นแบบนั้นโดยไม่สนใจอะไรเพราะรู้ว่าตอนที่ตั้งสติได้คงจะเดินเข้ามาเอง สิ่งที่ทำจึงเป็นการวางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน หยิบข้าวของที่จำเป็นสำหรับทำงานออกมา เรียงลำดับความสำคัญในความคิดของตัวเองว่าควรจะทำอะไรก่อน-หลัง และสิ่งแรกที่เขาทำคือการหันไปบอกเด็กที่หยุดชะงักการกระโดดโลดเต้นแบบเอามือปิดปากเพื่อแสดงความดีใจของตัวเองออกมาว่า

“ตามสบายนะ”

ป้วนเปี้ยนในสายตาไม่หยุด

เมื่อก่อนคงจะนึกรำคาญ แต่เมื่อได้มาอยู่ในสถานการณ์จริงแล้วกลับไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นกับการได้เห็นใครอีกคนในห้องของเขา คำพูดว่าขอบใจถูกส่งให้เด็กที่ยิ้มแป้นเอาน้ำส้มมาให้เขาถึงโต๊ะ ก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้จากบริเวณโต๊ะกินข้าวในครัวมานั่งตรงข้ามเขาที่ไม่ได้คิดจะห้ามอะไรเพราะพูดออกไปแล้วว่าตามสบาย

“ผมว่า...ผมทำกับข้าวตอนสองทุ่มดีกว่า ปกติผมกินข้าวตอนนั้น”

“เธออยากจะอยู่นาน ๆ มากกว่า ไม่ต้องอ้างหรอก”

“โถ่...หลอกผู้ใหญ่ไม่เคยสำเร็จเลยอ่ะ” หน้าบึ้งตึงที่ไม่แท้จริงปรากฏให้เห็นเมื่อเขาสบตากับเด็กน้อยเพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับไปทำงานต่อ “ถ้าอย่างนั้นผมอยู่ได้ถึงกี่โมงครับ?”

“เธออยากจะอยู่ถึงกี่โมงล่ะ?”

“พูดแบบนี้ผมตอบว่าห้าโมงในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้าเลยนะ ไม่ล้อเล่นด้วย”

“…”

“ก็ดึกที่สุด...เท่าที่คุณให้อยู่”

“หลังหนึ่งทุ่มไปไม่มีอะไรต้องรีบแล้ว เธอบอกฉันก็แล้วกัน”

“ครับผม...” น้ำเสียงมีความสุขทำให้เขาสุขไปด้วยในใจ “...มีเรื่องอยากถามครับ”

“ว่ามาสิ”

“อีกไม่กี่วันก็...จะคริสต์มาสแล้ว ช่วงนั้นผมหยุดนะครับ มีเวลาเยอะเลย”

“ไม่ไปร้องเพลงรึไง?” เขาถามด้วยความสงสัย

“ไม่ครับ ผมไม่ร้องเพลงวันเทศกาล เพราะว่าผมต้องฉลอง” แบคฮยอนยิ้มกว้าง “คุณ...ปกติทำอะไรเหรอครับ?”

“ก็ทั่วไป กินข้าวกับแฟน ซื้อของขวัญแลกกัน”

“แฟนเก่า” ยังคงรีบแก้เหมือนเดิมเสมอ “เราปาร์ตี้ได้ไหมครับ เรา...สองคน?”

“เธอไม่ไปกับเพื่อนเธอรึไง?”

“เพื่อนจะสำคัญอะไรเท่าคุณ ผมอยากอยู่กับคุณที่สุด” เด็กคนนี้ไม่เคยลังเลที่จะพูดความในใจออกมาสักครั้ง “ผมอยากตั้งต้นคริสต์มาสตรงนี้ แล้วก็ทำไก่ทอด เราจะดื่มเบียร์กันด้วย ผมจะไม่แลกของขวัญหรอกเพราะว่าคุณเคยทำกับแฟนเก่า มันจำเจ ซ้ำซากด้วย”

“เธอจะไปหึงอะไรคนในอดีต อย่างกับว่าฉันจะสนใจนักนี่”

“ไม่รู้แหละ ผมไม่ชอบ” เด็กน้อยกอดอก “หรือว่าคุณไปกับเพื่อนครับ?”

“ฉันยังไม่ได้ตอบตกลง แต่ถ้าเธอจะมา ฉันจะปฏิเสธให้ก็ได้” ชานยอลไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่มีเด็กคนนี้เขาก็คงออกไปกับเพื่อน แต่ถ้ามี...เขาก็จะอยู่ตรงนี้ “ตรงชั้นวางรองเท้ามีห้องเก็บของ เธอเข้าไปดูก็ได้ น่าจะมีต้นคริสต์มาสอยู่”

“คุณซื้อเหรอ?”

“แฟนฉัน”

“แฟนเก่า!” เสียงดังอีกแล้ว “คุณอยู่ที่นี่กับแฟนคุณ แล้วพอคุณบอกเลิกเธอ เธอก็ย้ายออกเหรอครับ?”

“เปล่า เราอยู่คนละที่กัน แต่เธอเคยซื้อมาไว้ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ใช้หรอก”

“ผมเอาไปขายได้ไหม?”

“จะเอาไปขายทำไม?” คำถามที่ว่าทำให้เขาต้องเลิกคิ้วขึ้น “ของยังไม่เคยใช้เลย”

“ไม่รู้แหละ ผมไม่ชอบ ผมจะไปซื้ออันใหม่!”

“อยากจะทำอะไรก็ทำ”

“ครับผม!”

“ถ้าเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ก็อย่าเอาแต่ใจตัวเองนักล่ะ มันจะทำให้เธอกลายเป็นคนไม่มีเหตุผล”

“ครับ...”

สลดได้สามวินาทีก็กลับมาร่าเริงแล้ววิ่งไปยังตู้เก็บของที่เขาเอาไว้ใช้เก็บอะไรที่ไม่ได้ใช้แล้ว รื้อนั่นรื้อนี่ออกมา เสียอย่างไรก็ไม่มีอะไรในห้องนั้นที่เขาจะใช้อีกแล้ว ปล่อยให้ค้นไปก็คงไม่เป็นไร

หึงแม้กระทั่งต้นคริสต์มาส แปลกคนจริง ๆ









แบคฮยอนกำลังแขวนลูกบอลพลาสติกสีทองลงบนกิ่งของต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่เขาได้มาจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง โดยใช้เงินที่ได้จากการขายต้นคริสต์มาสต้นเก่าอยู่ริมถนนและเงินของตัวเองครึ่งหนึ่ง มันขายไม่ได้ยากเลยเพราะว่าราคาที่ตั้งนั้นน่าเหลือเชื่อจนคุณป้าที่ลูกชายอยากได้ต้นคริสต์มาสนั้นตัดสินใจซื้อไปอย่างไม่ลังเล

นอกจากลูกบอลวาววับหลากสีแล้วเขาก็มีนางฟ้าตัวน้อยที่จะอวยพรให้ค่ำคืนในวันคริสต์มาสนั้นเต็มไปด้วยความสุข มีของขวัญน้อย ๆ ที่ด้านในนั้นมีกระดาษที่เขาพับใส่เอาไว้ให้คุณชานยอลแกะ มีสายไฟหลากสีที่จะทำให้ต้นคริสต์มาสสวยงาม และดาวดวงใหญ่บนยอดที่ส่องประกาย...เหมือนแสงไฟในค่ำคืนนี้เลย

“คุณครับ...” เขาเรียกคนที่กำลังอ่านเอกสารหน้าเคร่ง “ใครเค้าทำงานวันคริสต์มาสอีฟกันครับ?”

“ฉันไง”

“คุณจะไม่ช่วยผมจัดต้นคริสต์มาสจริง ๆ เหรอ?”

“เธอก็ทำได้ดี ฉันทำไม่เป็นหรอก คงจะกวนเธอเปล่า ๆ”

“ก็ได้ ผมอยากจัดกับคุณ มาจัดกับผมเดี๋ยวนี้เลยนะ...ครับ” ถ้าใส่คำว่าครับต่อท้ายก็จะไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นคำขอ เขากำลังหัวหมอและผู้ใหญ่ก็รู้ แต่เขาก็จะทำต่อไป “ผมอยากให้คุณติดดาวให้ เป็นสุดดวงใจของผม”

“มันเกี่ยวกันตรงไหน?”

“สุดยอดดวงดาวเป็นสุดยอดดวงใจ อุปมาอุปมัยไง ผมเรียนมา” ก็มั่วแหละ แต่แบคฮยอนที่เพื่อนเรียกว่าปลาไหลก็จะไถต่อไปได้เรื่อย ๆ “ติดให้—”

เสียงที่บ่งบอกว่ามีคนมาเยี่ยมเยียนในยามวิกาลนั้นดังขึ้นจนเขาต้องหยุดเสียงพูดของตัวเองลงและเลือกที่จะสังเกตท่าทางของเจ้าของห้องที่เลิกคิ้วขึ้นให้ได้เห็นเล็กน้อย ก่อนจะถอดแว่นสายตาออกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อเดินไปยังหน้าประตูห้องของตัวเอง มารยาทบอกแบคฮยอนว่าควรจะนั่งอยู่ตรงนี้ แต่ใจกลับบอกว่าให้เดินตามไป แล้วเขามันก็เป็นพวก...เอาแต่ใจตัวเอง ยิ่งกับผู้ใหญ่คนนี้ที่รู้ทันเขาเสมอแล้ว จะเอาแต่ใจให้มากที่สุด

แต่การได้เห็นผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยอิจฉามากที่สุดในชีวิตเพราะเธอได้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นนั้นทำให้หัวใจหยุดเต้นขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

เธอร้องไห้และเรียกชื่อคุณชานยอล...

“ชานยอล...”

ถึงจะเป็นคนที่ถูกบอกเลิก แต่เขาก็อิจฉาเธออยู่ดี มันเป็นความรู้สึกที่ร้อนอยู่ข้างใน

“เค้าตีเรา ชานยอล...”

แล้วเขาจับมือผู้ชายคนนี้เอาไว้ได้ไหมนะ เขามีสิทธินั้น...มีสิทธิที่จะทำได้ไหม

“เข้ามาก่อน...”

เพราะว่าเธอก้าวเข้ามา ทั้งเขาและคุณจึงต้องถอยหลังเพื่อเปิดทางให้เธอที่ชะงักไปทันใดเมื่อสบตาเข้ากับผมที่รู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้าที่ถึงแม้จะไม่ได้ร้ายแต่มันก็ไม่ได้ดีเลยสักนิด

“มีแขกเหรอ ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรมาก่อน”

“ไม่เป็นไร”

ไม่เป็นไรเหรอ ที่เขาโทรมาล่ะบอกว่าเสียเวลา แฟนเก่ามาถึงหน้าห้องบอกว่าไม่เป็นไรเนี่ยนะ...

“คือเรา...คงไม่...” เธอทำหน้าเหมือนว่ากระอักกระอ่วนใจ “ขอโทษนะ...”

“ร้ายแรงไหม ไปหาหมอรึยัง?”

“ไม่หรอก ไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่มัน...” เธอมองหน้าเขาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมข้างคุณชานยอลแล้วก็จะไม่ไปไหนด้วย “เรา...”

ความดีกำลังทำงานไปพร้อมกับความหึงหวงที่ก่อตัวขึ้นในใจ มันไม่มีอะไรหรอก ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้อยู่กับคุณชานยอล แต่เขาก็รู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดีว่ามันไม่มีอะไรต้องกังวลใจแม้แต่น้อย แต่เธอก็เป็นแฟนเก่าและพวกเค้าก็เคยใกล้ชิดกันมาก่อน กับเขาเองที่มือยังไม่เคยได้แตะจะปล่อยให้อยู่ด้วยกันได้เหรอ แต่อีกใจก็บอกว่าเธอโดนทำร้ายร่างกายมานะ ถึงจะมองไม่เห็นบาดแผลแต่ว่าเธอก็ร้องไห้ บางทีพวกเค้าอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเขาก็เข้าใจว่าการที่เขายืนอยู่ตรงนี้มันคงจะทำให้เธอพูดอะไรออกมาไม่ได้เพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว

“...ผมต้องกลับใช่ไหม?” เขาถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า มองแผ่นหลังกว้าง ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงอายุที่มากกว่าและวุฒิภาวะที่ดี

“...”

“พรุ่งนี้ผม—”

“เข้าไปอยู่ในห้องนอนไป”

จดจำเอาไว้ว่าถูกแตะเนื้อต้องตัวครั้งแรกจากผู้ใหญ่ที่รู้ทันทุกอากัปกิริยาที่เขาแสดงออกไปด้วยการดันแผ่นหลังของเขาไปทางประตูบานสีขาวที่ไม่แม้แต่สักครั้งที่เขาจะได้มองเข้าไปเพราะประตูนั้นถูกปิดอยู่ตลอดเวลา แต่ในวันนี้เขากลับได้เดินเข้าไปในห้องนอนของคุณชานยอลที่อีกฝ่ายหวงนักหวงหนาพร้อมกับคำพูดที่ว่า

“อย่าซนล่ะ”

“ครับ...”

ถ้าเกิดว่าไม่ใช่เวลานี้ที่มีผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างนอก แบคฮยอนคงจะตื่นตาตื่นใจไปกับห้องนอนของผู้ชายวัยสามสิบที่ชอบทำงานและดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ ผ้าปูเตียงสีคราม เฟอร์นิเจอร์ built-in ที่ดูทันสมัยและเน้นใช้งานมากกว่าความสวยงาม แต่มันคงน่าสนใจเทียบเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกไม่ได้ สิ่งที่เขากำลังพยายามเงี่ยหูฟังอย่างเต็มที่ และคุณเค้าก็คงจะรู้ว่าคนอย่างเขาน่ะ...ไม่มีทางไม่แอบฟังอย่างแน่นอน

“ระ...เราพยายามแล้ว แต่...แต่—”

“เราเคยพูดเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะ ในฐานะเพื่อน ฉันไม่เข้าใจว่าเธอจะดันทุรังคบกันคนที่มีแต่จะทำให้เจ็บไปทำไม”

“...”

“มีผลประโยชน์อะไรรึเปล่า หรือเหตุผลที่ทำให้เธอต้องทำแบบนี้”

“เค้า...เค้าเป็นเจ้าของตึกที่ร้านเราเช่าอยู่” เสียงผู้หญิงคนนั้นสะอึกสะอื้นดังเข้าหูมา “ถ้าเราเลิกกับเค้าแล้ว เค้าก็จะ...”

“...”

“ถ้ามีชานยอลอยู่ด้วยก็คงดีกว่านี้...”

“...”

“ถ้าชานยอลไม่บอกเลิกเรา ทำไม...”

“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” เสียงไร้เยื่อใยของพ่อพระเอกในดวงใจทำให้แบคฮยอนใจเต้นแรง “เธอคุยกับเค้าก่อนที่จะเลิกกับฉันอีกไม่ใช่รึไง?”

“...”

“...”

“เคยเสียใจไหม ที่เลิกกับเราไป ชานยอลเคยเสียใจบ้างไหม?”

“เรื่องอะไรล่ะ?” ทุกอย่างเงียบไปสักพัก “อย่ารื้อฟื้นเลย เธอก็เห็นว่าฉัน...มีคนใหม่แล้ว”

“...”

“มันไม่มีประโยชน์หรอก”

แม้ว่าจะพยายามตั้งใจฟังมากเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว ก่อนหน้าที่ได้ยิน ถึงจะไม่ได้ดังมากแต่ก็พอจะจับใจความได้ แต่พอทั้งสองคนพูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิม มันก็ทำให้เขาที่นั่งอยู่บนพื้นห้องนอนนั้นไม่ได้ยินอะไรเลย ถึงหัวใจจะเต้นแรงเพราะคำว่ามีคนใหม่และคำว่ามันไม่มีประโยชน์แล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ประดังประเดเข้ามาให้ได้คิดทบทวนว่าความจริงแล้วมันเป็นอย่างไร

เขาไม่เคยรู้เลยว่าเธอคนนั้นเป็นฝ่ายเริ่มนอกใจก่อน แต่คุณชานยอลก็เคยบอกเขาว่าไม่ได้เสียใจอะไร มันหมายความได้ไหมว่าถึงเธอจะไม่ได้คุยกับใคร คุณชานยอลก็อาจจะเลิกกับเธออยู่ดี แล้วประโยคที่ว่ามีคนใหม่แล้ว เขาก็เข้าใจแหละว่าหมายถึงเขา แต่มันมีความหมายอื่นอีกไหม หรือเพียงพูดให้เธอไป

เสียอย่างไรก็ใจร้ายเก่ง...มองข้ามไปไม่ได้หรอก

เข่าทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมากอดเอาไว้ในขณะที่ฆ่าเวลาด้วยการอ่านสันหนังสือแต่ละเล่มของคนที่ไม่เคยจะซื้อหนังสืออะไรที่นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐศาสตร์หรือว่าการบัญชี แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกใจคือการได้เห็น textbook ที่ดูเหมือนจะเก่ามากแต่ก็แสดงให้เห็นถึงการเก็บรักษาที่ดี ปัจจุบันทุกอย่างแทบจะเป็นเทคโนโลยีไปเสียทั้งหมดแล้ว เขาจึงไม่เคยได้เห็นลายมือของผู้ใหญ่ใจร้าย(ที่บางครั้งก็ใจดีที่สุด)เลยสักครั้ง แต่ลายมือหวัด ๆ บนหน้าปกที่เขียนว่า ‘ปาร์คชานยอล’ นั้นกลับทำให้เขายิ้มออกมาอย่างไม่ลังเลใจ

ทำไมนะ...ทำไมถึงเป็นผู้ชายคนนี้

หลายครั้งที่เขาถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำ ๆ ก่อนจะพบว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรอยู่เหนือความรู้สึกที่แท้จริงไปได้หรอก ตั้งแต่วันที่ตกหลุมรัก และในนาทีที่รู้ว่ามีเจ้าของ ช่วงเวลาที่พยายามตัดใจ จนมาถึงวันที่รู้ว่าทำไม่ได้แล้วมานั่งอยู่ที่นี่ ช่างเป็นคนที่...คงจะไม่มีวันลืมได้ลงเลย

เสียงเปิดประตูห้องที่ดังขึ้นทำให้ให้เขาผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะได้เห็นท่าทางของการเสยเส้นผมขึ้นอย่างลวก ๆ เสื้อเชิ้ตที่ยับยู่ยี่ และ...รอยน้ำตาบนเสื้อบริเวณเหนือหัวใจ

“ออกมาได้แล้ว”

“เธอกอดคุณเหรอ?” เขาอยากจะรู้นัก “หรือคุณกอดเธอ?”

“มันสำคัญอะไร?”

“คุณพูดว่าคุณมีคนใหม่แล้ว...กับเธอ” แบคฮยอนไม่เข้าใจ “ผมทำอะไรได้บ้าง ยืนมองคุณกอดกับแฟนเก่าเหรอครับ?”

“แบคฮยอน”

“หรือว่าผมไม่ใช่คนนั้น?”

“เธอตั้งสติแล้วมองสถานการณ์จริงตรงหน้าได้ไหม?”

“ผมเข้าใจ” ทำไมเขาจะไม่รู้ “แต่คุณเข้าใจผมไหม?”

“...”

“เธอคงมาบ่อยล่ะสิ แล้วผมก็ไม่เคยรู้ ผมก็ไม่มีสิทธิจะรู้หรอก แต่นี่มันน่าโมโหมาก—”

“เธอไม่เข้าใจ”

“ผมเข้าใจ แต่ผมไม่ชอบ!” แบคฮยอนกำลังเสียงดัง แต่เขาหยุดตัวเองไม่ได้ “ถ้าครั้งหน้าเธอมาอีกแล้วผมก็ต้องมานั่งอยู่ในนี้งั้นเหรอ ผมเข้าใจว่าเธอมีปัญหา แต่คุณเลิกกับเธอไปแล้วนะ!”

“เธอจะหยุดตะโกนใส่ฉันได้รึยัง?”

“...”

“ประเด็นที่ทำให้เธอมายืนเสียงดังใส่ฉันมันคืออะไร แฟนเก่าฉันมาหา เธอต้องเข้ามาอยู่ในห้องนอน หรือว่าเรื่องกอด?”

“...ผมโกรธทุกเรื่องแหละ” เขาเบนสายตามองรองเท้าแตะสำหรับใส่ในอาคารของอีกฝ่าย “ลดหลั่นเป็นลำดับ”

“ทีละเรื่องก็แล้วกัน” เสียงทุ้มมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ “ที่ฉันพูดว่าคนใหม่ ฉันหมายถึงเธอ”

“...”

“เรื่องที่เธอจะทำอะไรได้บ้างมันคงเป็นเรื่องในอนาคต ปกติแล้วแฟนเก่าฉันจะโทรมาก่อนแต่วันนี้ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คงจะทะเลาะกันเสร็จแล้วมาที่นี่เลย เรื่องที่ให้เธอเข้ามาอยู่ในนี้เพราะว่าถ้าไม่ใช่เธอที่เข้ามาอยู่ ก็คงเป็นฉันที่ต้องเข้ามาคุยกับแฟนเก่าในนี้ ส่วนเรื่องกอด...ฉันกอดเธอในฐานะเพื่อน”

“...”

“เธอสงสัยอะไรอีกไหม?”

“ผมกอดแฟนเก่าในฐานะเพื่อนบ้างได้ไหมครับ?”

“ถ้าเธอบริสุทธิ์ใจแล้วไม่ได้ประชดฉันเธอก็ทำได้”

“เธอชอบคุณมากเลย...” แบคฮยอนหมายถึงผู้หญิงคนนั้น “แล้วที่เธอถามล่ะครับ?”

“เรื่องอะไร?”

“คุณ...เสียใจไหม?”

“เธอคิดว่าฉันเสียใจไหมล่ะ?”

“ก่อนหน้านั้นผมก็ไม่แน่ใจ...” เขาสบตากับผู้ใหญ่ที่มองเขาด้วยสายตาที่ไม่ต่างกัน “แต่พอเจอผมแล้วไม่เสียใจหรอก ผมรู้ ผมน่ารักและทำให้คุณยิ้มได้”

“...”

“ผมไม่ได้หมายถึงยิ้มเยาะนะ ทำไมคุณทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”

ปากแข็ง!









‘ผมเอาไปทิ้งได้ไหม?’

‘วางลงเลย แม่ฉันซื้อให้’

‘แต่มันเปื้อนน้ำตาแฟนเก่า!’

‘วางแล้วมาอ่านหนังสือ’

‘ผม—’

‘วาง’

เขาทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามกับเด็กที่เตรียมนำเสนอไก่ทอดและสลัดคริสต์มาสของตัวเองอย่างเต็มที่ ทั้งยังเอาแก้วไซส์ใหญ่พิเศษมาจากห้องเพื่อใส่เบียร์ที่เราจะดื่มด้วยกันในค่ำคืนนี้

พอเห็นหน้าแล้วก็อดคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าไม่ได้ ส่งข้อความให้เขาลงไปรับตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงโดยอ้างว่าเป็นวันคริสต์มาส พอมาถึงแล้วก็ชะเง้อหาตะกร้าผ้า บอกว่าจะเอาเสื้อไปทิ้ง เด็กนี่นะ...

“ผมซื้อเค้กมาด้วยนะ”

“ฉันรู้ เธอให้ฉันจ่ายเงิน”

“แฮ่...” เด็กน้อยยิ้มกว้างกลับมา “ก็เงินผมหมดแล้ว...”

“เอะอะก็เอาไปทิ้งไง มันจะเหลืออะไรล่ะ?” เขาถามเด็กที่สลดได้แค่สามวินาที สามวินาทีจริง ๆ “กินเถอะ”
“ผมขอพูดอีกเรื่องหนึ่งครับ...” แบคฮยอนยิ้มในแบบที่เขารู้ว่ากำลังหาข้ออ้าง “ผมตั้งใจว่าจะดื่มเยอะ ๆ ก็เลย...”

“เมื่อไหร่จะเลิกอ้างอะไรก็ไม่รู้สักที คิดว่าฉันรู้ไม่ทันหรือว่าเธอสนุก?”

“ถ้าพูดตรง ๆ คุณอาจจะไม่ให้ก็ได้”

“ก็เลยเตรียมเสื้อผ้ามาก่อน?”

“ประมาณนั้นครับ” พอได้ใจแล้วก็เอาใหญ่ แต่มันก็คงเป็นเพราะเขาไม่เคยห้ามอะไรด้วย “ผมนอนโซฟาได้ครับ ขอแค่ความอนุเคราะห์หมอนหนึ่งใบ”

“ฉันไม่มีซะด้วยสิ ความอนุเคราะห์อะไรที่ว่า...”

“ผมหนุนกระเป๋าตัวเองก็ได้ครับ ผมทำได้ ให้ผมนอนนะครับ จะเป็นเด็กดี...”

“เธอไม่เคยเป็น”

“ผมเป็นอยู่ครับ” ไก่ทอดชิ้นใหญ่ถูกยกมาใส่จานของเขา “เมอร์รี่ คริสต์มาสครับ ที่สุดของดวงใจ”

“...”

“ฮะ ๆ หน้าคุณตลกมากเลย ผม...ฮะ ๆ ...ก็ครับ” เสียงหัวเราะยังคงไม่จางหายไป “ชิมหน่อยครับ อร่อยไหม?”
“เธอใส่เกลือสองรอบรึเปล่า?”

“ผมใส่รอบเดียวครับ รับรองได้” เด็กแบคฮยอนทำหน้ามั่นอกมั่นใจ ทั้งที่ประวัติการทำอาหารนั้นคือซุปสาหร่ายเค็ม ๆ เพราะใส่เกลือแล้วใส่เกลืออีก “ผมก็แค่ตื่นเต้น ไม่ชินครัวใหม่ เดี๋ยวต่อไปก็คล่องแล้วครับ”

เขารู้ตัวว่าถูกจับจ้องระหว่างที่เอาไก่ทอดฝีมือเด็กอายุยี่สิบสองเข้าปาก ในใจคิดว่าจะเตรียมรับมือกับรสชาติที่ลิ้นอาจจะรับรสได้ แต่กลับกลายว่ามันอร่อยกว่าที่เขาคาดเอาไว้เสียอีก

ทว่าเรื่องเก็บสีหน้า เขาเก่งกว่าใครทั้งนั้น อย่างน้อยก็ทำให้คนตรงหน้าคาดเดาไม่ได้จนทำกน้าบูดบึ้งให้ได้เห็นเมื่อเขาไม่ยอมพูดอะไร

“กินสิ เดี๋ยวมันจะชืดหมด”

“เค็มเหรอครับ ผมใส่เกลือรอบเดียวจริง ๆ นะ”

“เธอก็ลองกินดู” เขาตักไก่ทอดให้ ตักสลัดให้ด้วย “เมอร์รี่ คริสต์มาส บยอนแบคฮยอน”

“ครับ!”

หลายครั้งที่เขาได้ใช้เวลาไปกับการนั่งกินหรือดิ่มอะไรกับนักศึกษาเภสัชศาสตร์ที่ดูเหมือนว่าวัน ๆ จะไม่ทำอะไรนอกจากเรื่องไร้สาระแต่ก็มีความรู้มากในเรื่องที่ตัวเองสนใจอย่างเหลือเชื่อ เขาที่นั่งทำงานนานจนปวดหลังก็ยังได้รับยาสำหรับนวดและบรรเทาอาการจากเด็กคนนี้ที่บอกว่ายานี้ดีที่สุดครับ ก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์ พูดลอย ๆ ขึ้นมาว่ามีคนนวดให้ไหมครับ ผมว่างนะ

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอะเจอกัน ไม่มีครั้งไหนที่เด็กคนนี้จะไม่พูดอะไรเป็นนัยกับเขาเลยสักครั้ง จะว่าหัวหมอทางคำพูดก็ได้ แต่ไม่มีสักครั้งที่จะเอาชนะเขาได้หรอก ไม่มีเลยจริง ๆ

มื้ออาหารในวันคริสต์มาสที่ปกติแล้วมันคงไม่ได้พิเศษอะไรนัก แต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่ามันพิเศษขึ้นมาเมื่อได้นั่งทำตัวตามสบายไปกับเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้และไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะทำให้รู้สึกแบบนี้ ได้พูดคุยถึงทัศนคติที่มีต่อเทศกาลต่าง ๆ ว่ารู้สึกอย่างไร หรือว่าช่วงเวลาไหนที่คิดว่าสำคัญ ถกประเด็นความคิดเห็นทางการเมืองระหว่างที่กำลังนำจานเข้าเครื่องล้าง ก่อนที่เราจะถือแก้วเบียร์มาทิ้งตัวลงอยู่ข้างต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ที่ตอนนี้ส่องแสงระยิบระยับหลากสีเพราะมีมือดีปิดไฟจนทุกอย่างกลายเป็นแสงสลัวจากแสงไฟต้นคริสต์มาสและค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความสุขแบบนี้

“ผมไม่เคยมีแฟนในวันคริสต์มาสเลย” เด็กที่ดื่มเลียร์อึกใหญ่พูดขึ้นมาเมื่อเรากำลังจ้องมองค่ำคืนจากชั้นยี่สิบเอ็ดไปด้วยกัน “เลิกก่อนทุกที เซ็งเลย”

“...”

“ปีนี้ก็ยังไม่มีแฟน ปีหน้าจะมีไหมครับ?”

“มันก็คงขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเธอว่าจะยาวนานไปถึงคริสต์มาสปีหน้าไหม”

“ผมไม่คิดไปถึงตอนนั้นหรอก ปัจจุบันสำคัญกว่าอีก...”

“...”

“คุณก็อยู่กับเธอ...”

“ความจริงฉันนั่งทำงาน” เขาสารภาพในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง “ใช้เวลากินข้าว แลกของขวัญครึ่งชั่วโมง แล้วก็กลับมาทำงานต่อ”

“ผมเข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงไปคุยกับคนอื่น” แบคฮยอนที่แก้มแดงเพราะฤทธิ์เบียร์ยิ้ม “แล้ว...จะลุกไปทำงานเหรอครับ?”

“ไม่หรอก ฉันอยากนั่งอยู่ตรงนี้มากกว่า”

“...”

“ตอนที่ฉันรู้ว่าเธอคุยกับคนอื่น...ความจริงก็อาจจะมากกว่านั้น ฉันไม่เสียใจเลย”

“คุณก็เลยเลิกกับเธอเหรอ?”

“ใช่ ฉันก็เลยเลิกกับเธอ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องมาเสียเวลาอยู่กับฉันที่เห็นงานสำคัญกว่าเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน”

“...แล้วคุณอยากทำงานมากกว่าอยู่กับผมรึเปล่าครับ?”

“...”

“คุณพูดได้นะ ผมเข้าใจ”

“ฉัน...เคยคิดแบบนั้น” เขาเคยคิดแบบนั้นจริง ๆ “แต่พอไม่มีเธอแล้วฉันก็รู้สึก...”

“...”

“ชอบเวลาที่มีเธอมากกว่า”

ชานยอลพูดตามที่คิด ตามที่หัวใจ...กำลังรู้สึก

ไม่อยากจะเชื่อใจตัวเองเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วคนที่ทำให้เขารู้สึกอยากคุยด้วยมากกว่าที่จะตั้งใจทำงานที่ชอบนั้นจะกลายเป็นเด็กอายุยี่สิบสองคนหนึ่งที่มีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนดวงดาวที่อยู่ฟากฟ้า

“ถ้าพูดแบบนี้...ผมไม่มีวันปล่อยคุณไปเลยนะ”

“ฉันก็ไม่ได้อยากให้เธอทำแบบนั้นอยู่แล้ว”

“...”

“...”

“คุณรู้ไหมครับว่าผมคิดอะไรอยู่?”

“ว่ามาสิ...”

“ขอโทษนะครับ แต่...ผมคิดแต่ว่าผู้ใหญ่เค้าจีบกันแบบนี้เหรอวะ เขินเว้ย! แล้วผมก็แบบอยากดิ้น...ผมดีใจอ่ะ เป็นสุดยอดคริสต์มาสเลย”

"ฉันไม่ได้จีบเธอ"

"ผมไม่ฟังหรอก ผมไม่ได้ยินอะไรเลย"

เป็นความรู้สึกที่ย้ำชัด...และมากมายไปด้วยแสงดาวและแสงไฟในคืนวันคริสต์มาสที่เสียอย่างไรก็ส่องประกายได้ไม่มากเท่าแววตาและสิ่งที่อยู่ในหัวใจ

“ผมโคตรชอบคุณเลย จริง ๆ นะ”

ที่กำลังบอกเขาว่าทุกอย่างนั้น...

ทำให้มีความสุขมากเพียงใด






























































ก็เป็นเมอร์รี่ คริสต์มาส(ย้อนหลัง)และแฮปปี้ นิวเยียร์(ล่วงหน้า)เลยนะคะ
ขอให้ทุกคนมีปี 2020 ที่ดีและมีความสุขแม้ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออกก็ตาม
ขอให้เป็นช่วงเวลาที่งดงามค่ะ





Reply · Report Post