
🧸🎈 · @sodaisy95
26th Nov 2019 from TwitLonger
The boy i meet every friday. #HBDLOEY #HappyChanyeolDay
The boy i meet every friday
#HBDLOEY
#HappyChanyeolDay
------------------
ริมหน้าต่างบานนั้นที่แดดเริ่มจะส่องผ่านเข้ามาในเวลาสี่โมงเย็น
โต๊ะตัวนั้น เก้าอี้ตัวนั้น แล้วก็...ผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายคนเดิมที่นั่งอยู่ตรงนั้นเสมอ...
“เหม่ออะไร?”
“เปล่าครับ!” เขาเผลอตะโกนเสียงดังเพราะความตกใจ ก่อนที่จะรีบเอามือปิดปากเพราะรู้ว่ามันไม่สมควร “เปล่าครับ...”
“ผู้ชายคนนั้นเหรอ?” คำถามของพี่ยอนมีทำให้แบคฮยอนหันไปมองหน้าเธอด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าเธอจะถามเขาออกมาแบบนั้นเลย ผู้ชายคนนั้น ถามถึงผู้ชายคนนั้น “มาทุกวันศุกร์เลย”
“พี่สังเกตด้วยเหรอครับ?” พอโดนจับได้แล้ว แบคฮยอนก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร เขานั้งเท้าคางและมองผู้ชายคนนั้นโดยไม่กลัวจะโดนจับได้ด้วยซ้ำ
เพราะไม่ว่าจะมองกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผู้ชายคนนั้นก็จะไม่เงยหน้าขึ้นมาจนกว่าหนังสือจะจบเล่ม
“หล่อขนาดนั้น ฉันก็ต้องมองให้หัวใจมันกระชุ่มกระชวยบ้างแหละหน่า...”
แบคฮยอนได้แต่เงยหน้ามองพี่สาววัยสามสิบที่กำลังส่งสายตาหวานฉ่ำให้หนุ่มหล่อขณะยืนลูบลูกอายุสี่เดือนของตัวเองไปด้วย นี่มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกันเนี่ย เขาคิดได้แค่นั้นก็ต้องร้องโอ๊ยออกมาเพราะโดนจับได้ว่ากำลังมองพี่สาวร่วมที่ทำงานเดียวกันด้วยสายตาประหลาด จึงถูกทำโทษด้วยการโดนหนังสือวรรณกรรมตีหัวไปหนึ่งที
“แกว่าเค้าอายุเท่าไหร่?”
“ผมว่าน่าจะเรียนอยู่” แบคฮยอนคิดแบบนั้น “แต่ไม่น่าจะใช่ปีหนึ่งหรอก ทำสีผมขนาดนั้น”
“ปีไหนมันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ สีผมน่ะ ฉันว่าเค้าดูเป็นผู้ใหญ่ อาจจะปีสุดท้าย”
“อ้าว ถ้าดูเป็นผู้ใหญ่แล้วทำไมถึงมีคำว่าปีสุดท้ายมาต่อล่ะ?”
“แกนี่ ความเป็นผู้ใหญ่กับอายุมันไปด้วยกันได้ที่ไหน สามีฉันสามสิบสามแล้วยังเดินตามฉันต้อย ๆ อยู่เลย”
“นั่นมันเพราะว่าพี่ตี—โอเค! ผมไปทำงานดีกว่า”
แบคฮยอนเลื่อนเก้าอี้ไปอีกทางเพื่อหลบฝ่ามือพิฆาตของคนกำลังท้องกำลังไส้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วดันแว่นตากรอบทองของตัวเองขึ้นเพื่อเริ่มการลงทะเบียนหนังสือใหม่ที่ได้รับมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากสำนักพิมพ์ มีงานอีกมหาศาลที่เขาต้องทำ แต่ละเล่มก็ไม่ได้ใช้เวลาน้อยเลยเพราะว่ามันผิดพลาดไม่ได้ ส่วนคนที่กำลังเลี้ยงลูกของตัวเองนั้นก็ปล่อยให้นั่งอยู่จุดประจำบริการยืมคืนไปนั่นแหละ ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้หรอก จะปวดตาปวดหลังไปเปล่า ๆ
งานของเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ มองมาจากภายนอกอาจจะคิดว่าไม่ได้ทำอะไร ใครจะรู้ว่าแบคฮยอนทำงานเยอะแค่ไหนในแต่ละวัน แถมยังทำให้รู้สึกน่าเบื่ออีกต่างหาก ดีที่ยังแอบหยิบหนังสือมาอ่านได้ แต่ว่าใครมันจะไปอ่านหนังสือได้ตลอดเวลากัน ห้องสมุดใหญ่โตขนาดนี้กลับมีแค่เขากับพี่ยอนมีที่เป็นพนักงานประจำ แถมอีกคนก็กำลังท้องกำลังไส้ นโยบายรับพนักงานชั่วคราวก็ไม่มี ก็คงจะต้องทำงานกันต่อไป เพื่อประชาชนที่มาหาความรู้ในห้องสมุดประจำเมืองแห่งนี้ได้มีความสุข โชคยังดีที่มีเจ้าของซุ้มร้านกาแฟด้านนอกอย่างพี่คยองซูไว้คุยเล่นนอกจากพี่ยอนมีบ้าง คุยกันอยู่สองคนก็เบื่อหน้ากันบ้างแหละ แถมท้องแล้วยังเจ้าอารมณ์ขึ้นกว่าเดิมอีก
แต่แบคฮยอนไม่ได้โทษพี่ยอนมีหรอก เขาเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอ?”
“ครับ” เสียงทุ้มที่ได้ยินนั้นทำให้แบคฮยอนหันไปมองว่าพี่ยอนมีคุยกับใคร ก่อนจะรีบหันกลับมามองจอคอมพิวเตอร์ของที่ทำงานเมื่อพบว่าเป็น...น้องวันศุกร์คนนั้น
“เสียใจจังเลย เราไปแล้วพี่จะมองใครล่ะ” ลูกที่อยู่ในท้องไม่ใช่อุปสรรคของพี่ยอนมีเลย แต่มันก็เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าจะเล่นกับใครอย่างไรก็ไม่มีใครคิดจริงจัง “ยืมหนังสือประวัติศาสตร์ทุกอาทิตย์เลย เรียนประวัติศาสตร์เหรอ?”
“ครับ เรียนเอกประวัติศาสตร์”
“พี่ไม่ได้ถามนะ คนนั้นถาม” เสียงของพี่ยอนมีทำให้เขาขนลุกซู่ “ใช่ไหม แบคฮยอน?”
“ผมไม่ได้ถามสักหน่อย...” เขาไม่กล้าตะโกน ไม่กล้าหันไปมองด้วย
“เค้าบอกว่าเราย้อมผมขนาดนี้ ปีหนึ่งคงไม่ใช่ แต่พี่ว่าเราเรียนปีสุดท้าย”
“ฮะ ๆ ผมเรียนปีสุดท้ายแล้วครับ”
“มีหนังสือประวัติศาสตร์เข้าใหม่บ้างไหมแบคฮยอน แนะนำน้องเค้าหน่อยสิ”
“...”
“มันเขิน ปล่อยมัน” อยากจะตีพี่ยอนมีจริง ๆ แต่แม่บอกว่าตีคนท้องมันบาป “ศุกร์หน้าเจอกันนะคะ น้อง...ชานยอล”
“ครับ”
แบคฮยอนยอมรับว่าถึงจะไม่ได้ตอบรับหรือว่าพูดอะไรออกไป แต่ว่าหูทั้งสองข้างก็ยังทำงานได้ดีสมกับที่เป็นหูของบยอนแบคฮยอน เขาได้ยินชื่อชานยอลที่พี่ยอนมีพูด แต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจมันต้องเต้นแรงด้วย
เมื่อช่วงสามเดือนก่อน ผู้ชายคนนั้น (ที่ตอนนี้แน่นอนแล้วว่าเด็กกว่าเขา) มาที่ห้องสมุด ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่วงวันศุกร์ปลายเดือน เขาเองที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงครึ่งปีก็ยังอยู่ในช่วงที่ไม่ได้รู้สึกว่างานฉันมันน่าเบื่ออะไร มาหาหนังสืออะไรก็ไม่รู้ที่เขาจำไม่ได้แล้วว่ามันคือหนังสืออะไร จำได้แค่ว่าเจ้าตัวยืมไปทั้งหมดสามเล่ม ตอนนั้นเขาเป็นคนจัดการยืมให้ด้วย แต่ก็ไม่ได้จำชื่อหรือว่าดูบัตรประชาชนอะไรของอีกฝ่ายเพราะคิดว่ามันเสียมารยาท อีกอย่างตอนนั้นมีคนรอต่อคิวรับบริการอีกตั้งสามคน เขาที่ไม่ชอบเห็นแถวยาว ๆ เลยรีบทำเป็นพิเศษ กว่าจะจำเด็กคนนี้ได้จริง ๆ ก็เป็นตอนที่เจอบ่อย ๆ จนจำได้ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เป็นคนทำบริการยืมหนังสือให้ เลยไม่ได้รู้สักทีว่าชื่ออะไร หรือว่าเกิดปีอะไร...
“พี่พูดแบบนั้นทำไมอ่ะ ไปบอกว่าผมเขินเขา เดี๋ยวก็โดนว่าว่าโรคจิตหรอก”
“เอาหน่า หยอกเด็กมันขำ ๆ แกจะไปคิดมากอะไร” คนท้องนะคนท้อง! “น้องชานยอลยิ้มแล้วมองไปทางแกด้วยนะ แต่แกอ่ะไม่หันหน้ามา”
“แล้วทำไมผมต้องหันด้วยเล่า!”
“...”
“ไม่ได้เขินสักหน่อย!”
—
เป็นหวัด...เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง
แบคฮยอนรู้ว่าอุณหภูมิกำลังลดลงเพราะหน้าหนาวกำลังเข้าใกล้มาแล้ว อย่างน้อยหิมะแรกก็ตกลงมาตอนที่เขากำลังยืนซื้อช็อกโกแลตร้อนจากร้านของพี่คยองซูอยู่ สองสามวันต่อมาก็เป็นหวัดที่ไม่มีทีท่าว่าจะหายดี สุดท้ายเลยต้องพาตัวเองมาทำงานทั้งที่สภาพใกล้ตายเพราะว่าลาไม่ได้ หนึ่งคนป่วยหนักกับหนึ่งคนท้องที่ไม่พอใจสามีตัวเองเพราะลืมเอาข้าวกล่องไปด้วยจึงต้องมานั่งอยู่ด้วยกันในวันศุกร์ที่ห้องสมุดมีคนมาใช้บริการมากเป็นพิเศษเพราะข้างนอกฝนตก
“แกจะมาบุ้ยใบเล่นละครมือกับฉันอีกนานไหม?”
“...” ก็ผมไม่มีเสียงนี่! แบคฮยอนตะโกนมันอยู่ในใจ
“น่าเบื่อจังเลยวันนี้ หนุ่มน้อยของฉันก็คุยกับสาวอีก ยอนจู หนูไม่ช่วยแม่เลยลูก...”
เขาหันไปมองคนที่นั่งเอนหลังคุยกับลูกในท้องก่อนจะหันไปมองเจ้าของที่ริมหน้าต่างที่แดดจะส่องลงมาตอนสี่โมงเย็นนั้นกำลังนั่งเขียนอะไรสักอย่างอยู่กับผู้หญิงผมสีดำขลับเหมือนขอบหน้าต่างในหนังสือนิทานสโนว์ไวท์ มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รี่ แต่จากระยะห่างแล้วคงจะไม่ใช่แฟนกัน อาจจะ...กำลังอยู่ในช่วงดูใจ คุยอะไรกันอยู่ก็ได้
ความคิดส่วนลึกที่อยากจะเป็นนักเขียนนิยายสักเรื่องในสมองของแบคฮยอนเริ่มทำงาน เหตุการณ์ก่อนหน้านี้จะเป็นอะไรกันนะ ไม่สิ...อาจจะต้องเริ่มจากตัวเอกของเราก่อน ชานยอล เอกประวัติศาสตร์ กับผู้หญิงคนนี้...ชื่อตัลกีไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าเพิ่งจะมาวันนี้วันแรก ก็คงจะไม่ได้อยู่เอกเดียวกัน ตัลกีเรียนเอกภูมิศาสตร์ แต่ว่าอาจจะมีวิชาที่เรียนร่วมกัน หรือไม่ก็อาจจะทำกิจกรรมภายในคณะจนรู้จักกัน วันนี้อาจจะเดินสวนกัน แล้วตัลกีที่ดูจะเป็นคนกล้าแสดงออกมาก ๆ นั้นก็ถามเด็กชานยอลว่าวันนี้มีแพลนจะไปไหนรึยัง เจ้าตัวก็เลยตอบว่าจะไปห้องสมุดประจำเมืองน่ะ ตัลกีก็เลยคิดว่ามันถึงโอกาสของเราแล้ว สิ่งที่พูดออกไปก็คือเราจะไปห้องสมุดมหาวิทยาลัยพอดีเลย ที่นั่นดีไหม เราไปด้วยได้รึเปล่า หน้าแบบเด็กชานยอลก็คงจะปฏิเสธใครไม่เป็น สุดท้ายก็เลยมาด้วยกัน
ไม่สิ...ทำไมแบคอยอนถึงคิดแบบนี้ล่ะ บางทีไอ้เด็กหน้าตาดีย้อมผมสีเจ็บ ๆ คนนี้อาจจะเป็นคนชวนสาวมาเองก็ได้ ตอนแรกยังคิดว่าเค้าคุย ๆ กันอยู่เลย เอาใหม่ก็แล้วกัน
ตั้งต้นจากความคิดเดิม แต่เพราะว่ารู้สึกว่าตัลกีเป็นผู้หญิงสดใส เด็กผมสีเจ็บ ๆ นี่ก็เลยตกหลุมรัก หน้าตาดีแบบนั้นผู้หญิงที่ไหนจะทำใจไม่ชอบได้ ก็เลยตกลงคุยกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้ววันนี้ก็เลย...มาเดทกันที่นี่
ที่นี่เนี่ยนะ...รสนิยมห่วยแตกชะมัด
“แกคิดอะไรอยู่ ยัยบยอนแบคฮยอน”
“...”
“แกก็ไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” คำถามของพี่ยอนมีนั้น เขาตอบด้วยการส่ายหน้ากลับไป “แต่ฉันไม่ชอบเลย มันดูยังไงก็ไม่รู้”
“....”
“ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นน่ะ ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย” แบคฮยอนได้แต่ฟังพี่ยอนมีพูดถึงตัลกี “แล้วในฐานะผู้ชาย แกว่าน้องชานยอลของฉันชอบผู้หญิงคนนั้นไหม?”
“...”
“แกยักไหล่กลับมาหมายความว่าไงยะ คุยกันอยู่ยักไหล่ซ้าย เป็นแฟนกันยักไหล่ขวา ไม่ได้เป็นอะไรเลยปรบมือ”
แบคอยอนยักไหล่ซ้ายตอบกลับพี่ยอนมีที่ส่งเสียงเชอะออกมาทันทีที่เขาทำให้ได้เห็น
“เซ็งจริง ๆ พี่ไปเอนหลังนะ เดี๋ยววันนี้พี่เลี้ยงเค้ก ยอนจูอยากกิน”
เป็นเรื่องปกติของคนท้องที่จะปวดหลัง แบคฮยอนไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรหรอกที่พี่ยอนมีจะอู้งานไปบ้าง เพราะอย่างน้อยพี่ยอนมีก็ไม่ได้อู้เปล่า ที่ตลาดใกล้กับห้องสมุดนี้ แบคฮยอนกินมาหมดทุกร้านแล้ว ไม่เสียเงินสักวอนด้วย
แบคฮยอนเรียงหนังสือที่มีคนมาคืนลงบนรถเข็นเพื่อที่จะนำไปคืนบนชั้นหนังสือทีหลัง รวมทั้งทำหน้าที่ให้บริการยืมคืน อัพเดตรายชื่อหนังสือในระบบเพื่อให้ขึ้นในการค้นหา รวมทั้งจัดทำช่องแนะนำหนังสือใหม่ด้วย พอไม่มีเสียงแบบนี้เขาก็เหมือนคนใบ้เลย ตอนบริการยืมอะไรก็ไม่เท่าไหร่หรอกเพราะทุกคนรู้ว่าต้องใช้บัตรประชาชน แต่เวลาที่คืนแล้วมีค่าปรับนั่นแหละ เขาต้องทำมืออยู่นานว่าห้าร้อยวอนนะ หนึ่งพันวอนนะ มีแม้กระทั่งคนที่คืนไปหลังจากเวลาที่กำหนดถึงสามสิบวันก็มี ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงมีคนต้องจ่ายค่าปรับเยอะมาก ๆ เขาพิมพ์แบบฟอร์มการชำระค่าบริการมากที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลย ขณะที่พี่ร่วมงานอีกคนนั้น...หลับไปแล้ว
ยอนจูง่วงนอนน่ะ พี่ยอนมีบอกเขาแบบนั้นทุกที
หนังสือชีวประวัตินักดนตรีเอกของโลกที่แบคฮยอนกางเอาไว้บนเคาน์เตอร์เพื่อฆ่าเวลาและบรรเทาความขี้เกียจนั้นไม่สามารถทำให้ละความสนใจไปจากเด็กชานยอลและน้องตัลกีได้เลยสักนิด หัวเราะกันอยู่นั่นแหละ ชีวิตการเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายมันมีความสุขมากรึไง มองแล้วอาการป่วยมันก็ยิ่งจะกำเริบ เขาเลยกลับมานั่งอ่านหนังสือเหมือนเดิม รวมถึงยิ้มจนตาหยีเมื่อมีคนเข้ามาใช้บริการ เห็นแต่ตาของเขานั่นแหละ เพราะว่าที่เหลือนะถูกคลุมด้วยผ้าปิดปากทั้งหมดเลย
เขาทำงานอยู่คนเดียวจนคนท้องตื่น พอตื่นแล้วเจ้าตัวก็บิดซ้ายบิดขวา บอกกับเขาว่าอยากดื่มนมอุ่น เดี๋ยวพี่ซื้อช็อกโกแลตร้อนมาฝากแบคฮยอนนะ ร่างกายจะได้อบอุ่น จะได้กลับมาพูดกับพี่สักที พี่เหงานะ
“ขอโทษครับ...” เสียงที่ได้ยินทำให้แบคฮยอนนั่งหลังตรงทันที “ขอคืนสามเล่มนี้แล้วก็ยืมเล่มนี้ครับ”
เด็กชานยอลไม่ได้มาพร้อมกับน้องตัลกี เอาเข้าจริงแล้วเขาก็ไม่ได้มองเลยหลังจากก้มลงไปอ่านหนังสือและตั้งใจทำงาน (ที่จริงมันก็อดรู้สึกน่ารำคาญนิด ๆ ไม่ได้) พอเจอแบบนี้...ไม่ทันได้ตั้งตัวเลย
“อาทิตย์ก่อน...ที่บอกว่ามีหนังสือใหม่ มีหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหมครับ?”
“...”
“ผมอยากจะอ่านน่ะครับ ช่วยแนะนำได้ไหม?”
จะเงียบต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อีกอย่างเขาก็เป็นเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ประจำห้องสมุดแห่งนี้ด้วย สิ่งที่ผู้ชายคนนี้ถามมานั้นมันก็เป็นคำถามที่เจ้าหน้าที่ของเขาจะต้องตอบด้วย
แบคฮยอนหันไปหยิบสมุดกับปากกาที่วางอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองมาถือเอาไว้ เลี่ยงที่จะมองหน้าเด็กตัวสูงในขณะที่เขาจับคอตัวเองเพื่อแสดงท่าทางว่าพูดไม่ได้น่ะ
-ผมอยู่คนเดียวน่ะ ต้องเฝ้าเคาน์เตอร์ คุณรีบไหม?-
“ผมไม่รีบครับ จะรอนะครับ”
-คุณลองไปดูในระบบค้นหาก็ได้นะ แต่ว่าต้องเลื่อน ๆ ลงมาหน่อย ผมยังอัพเดตไม่เสร็จด้วย-
“ผม...รอคุณบรรณารักษ์ได้ครับ”
เขาจัดการคืนหนังสือและยืมเล่มใหม่ให้คนคนนี้ที่ปกติแล้วจะยืมไปสามเล่ม แต่วันนี้กลับเอามาให้เขายืมแค่เล่มเดียว สงสัยคงจะอยากได้เล่มใหม่ไปอ่านจริง ๆ เท่าที่พอจะจำได้ก็มีหนังสือประวัติศาสตร์ประมาณสามสี่เล่มที่เข้ามาใหม่ คงจะต้องแบ่งยืมไปสองครั้ง วันศุกร์หน้าก็คงจะมายืมอีกสินะ
ตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าตัวจะกลับไปนั่งที่เดิม แต่การที่เห็นว่าทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ใกล้กับเคาน์เตอร์ที่สุดแล้วหันมาส่งยิ้มให้กันนั้นมัน...โชคดีจริง ๆ ที่ไม่สบาย หน้ามันร้อนขึ้นมาแล้วก็ไม่มีใครเห็นเพราะว่าผ้าปิดปากบังเอาไว้
“ไม่สบายเหรอครับ?”
“...”
“ช่วงนี้อากาศกำลังเปลี่ยนแปลง ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
แบคฮยอนพยักหน้าซ้ำอีกครั้งเพื่อตอบคำถามของชานยอลที่ทำให้เข้าหน้าแดงขึ้นมาอย่างหาสาเหตุให้หัวใจของตัวเองไม่ได้ หนึ่งสิ่งที่คิดอยู่ในใจซ้ำ ๆ ก็คือทำไมถึงได้หน้าตาดีจังนะ หน้าตาดี หน้าตาดี
อยากจะพูดออกไปเหมือนกันว่าคุณก็ดูแลตัวเองด้วยนะ แต่ว่าเสียงมันก็ไม่มี ถ้าไปเอากระดาษมาเขียนตอนนี้ก็จะดูทุ่มเทเกินไปหน่อย ก็แค่...นักศึกษาปีสุดท้ายที่มาอ่านหนังสือทุกวันศุกร์เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรสำคัญสักหน่อย
“พี่กลับมาแล้ว...อ้าว! น้องชานยอลของพี่” พี่ยอนมีที่รักหนุ่มหล่อทุกคนในเกาหลีใต้มีท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส “แฟนไปไหนแล้วล่ะ?”
“คือ—”
“อะไร?” พี่ยอนมีหันมาหาเขาที่สะกิดแขนเธอ ก่อนจะชี้นิ้วลงที่เคาน์เตอร์แล้วขยับรอบ ๆ “ให้พี่เฝ้าเคาน์เตอร์?”
แบคฮยอนพยักหน้ากลับไปก่อนจะชี้ไปที่เด็กชานยอลแล้วชี้ไปที่ชั้นหนังสือ
“อ๋อ...น้องชานยอลหาอะไรอยู่เหรอจ๊ะ ให้พี่ช่วยหาไหม?”
พอได้ยินแบบนั้นแล้วเขาก็ดันหลังพี่ยอนมีเบา ๆ เชิงว่าให้เธอไปก็ได้ เพราะเสียอย่างไรนักศึกษาหน้าตาดีที่คงไม่มีทางโสดก็คงจะบอกพี่ยอนมีได้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร สุดท้ายแล้วคนท้องที่เห็นผู้ชายหล่อแล้วอารมณ์ดีก็เดินนำไปตามชั้นหนังสือโดยที่มีเด็กชานยอลเดินตามไปด้วย ส่วนเขานั้นทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สบตากับคนที่หันมามองเขาเล็กน้อย ก่อนที่แบคฮยอนจะละสายตาไปเพราะต้องให้บริการยืมหนังสือของเด็กสาวมัธยมปลาย
แก้วช็อกโกแลตที่พี่ยอนมีซื้อมาให้นั้นถูกเขายกขึ้นดื่ม เวลามีผ้าปิดปากมากองอยู่ที่คอแล้วเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนมีเหนียงเยอะ ๆ เลย ไม่มีผ้าก็มีเหนียงแล้ว จะต้องกินให้น้อยลงกว่าเดิม ไม่สบายแล้วไม่เห็นผอมเลย อาหารก็ยังอร่อยเหมือนเดิม
แบคฮยอนยิ้มให้พี่ยอนมีที่เดินยิ้มแย้มกลับมา บอกกับเขาว่ากำลังเลือกหนังสืออยู่น่ะ เวลาจริงจังนี่หล่อไม่แพ้ตอนอ่านหนังสือเลยนะ เขาเองก็ได้แต่หัวเราะออกไปเบา ๆ คนที่แต่งงานแล้วกำลังท้องแบบนี้ เป็นแบบนี้ทุกคนเลยสินะ
“ขอโทษนะครับ...” หนังสือสองเล่มที่วางลงตรงหน้าทำให้แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่กำลังอ่าน “ผมยืมสองเล่มนี้ครับ”
“...”
“คือ...” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นราวกับว่าไม่อยากจะให้ใครได้ยินนั้นทำให้แบคฮยอนสนใจ “ผม...คือเอมิน่ะ เธอเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับผมน่ะครับ”
“...”
“ผมไม่อยากให้คุณ...เข้าใจผิด”
“...”
“ขอบคุณครับ”
อะไรนะ เมื่อกี้ได้ยินว่าอะไรนะ
แล้วรีบเดินออกไปแบบนั้น...
ไอ้เด็กบ้า...เขินไปหมดแล้วเนี่ย
—
เพราะว่าผลัดกันไปกินข้าวที่ร้านของพี่คยองซู พอกลับเข้ามาในห้องสมุดอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นก็นั่งอยู่ที่ประจำของตัวเองพร้อมกับสมุด แล็ปท็อป และหนังสือสองสามเล่มของตัวเองแล้ว
“วันนี้หนาวจังเลยเนอะ” พี่ยอนมีชวนเขาคุย “ใส่เสื้อบางแบบนี้เดี๋ยวก็กลับไปไม่สบายอีกหรอก”
“มันไม่ได้บางสักหน่อย” แบคฮยอนมั่นใจว่าใส่เสื้อหนาแล้ว “ผม...เหลือเสื้อตัวเดียวแล้วอ่ะพี่ ซักผ้าไม่ทัน”
“หาแฟนสักคนสิยะ แบ่งเบาภาระหน้าที่ แกไม่ว่างแฟนก็ซัก แฟนไม่ว่างแกก็ซัก”
“พี่พูดเหมือนเดินออกไปแล้วมันหาได้เลยอย่างนั้นแหละ แฟนน่ะ”
“สามีฉันจีบฉันนะยะ”
“จ้า พี่คนสวย” แบคฮยอนตั้งใจทำงานต่อไป “พี่มาพิมพ์อันนี้มา ผมเอาหนังสือไปเก็บก่อน เต็มรถเข็นแล้ว”
“จ้า ขอบใจนะจ๊ะที่ชม พ่อสุดหล่อ”
แบคฮยอนเอาหนังสือที่มีคนเอามาคืนทั้งหมดใส่รถเข็นเพื่อนำไปเก็บตามชั้นหนังสือ มองไปที่โต๊ะสำหรับวางหนังสือที่อ่านเสร็จแล้วก็พบว่าเยอะเหมือนกัน เขาคงจะต้องเอาหนังสือที่อยู่บนรถเข็นไปเก็บก่อน แล้วค่อยกลับไปเอาหนังสือตรงนั้นมาเก็บอีกที
ยอมรับว่าตั้งแต่กลับเข้ามาจากทานข้าว เขาก็แอบมองผู้ชายที่กำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนคนนั้นโดยแทบจะละสายตาไม่ได้เลย สมองบอกว่าไม่แต่หัวใจมันสั่งให้มอง ยังจำได้ไม่ลืมเลยว่าผู้ชายคนนั้นพูดอะไรกับเขาเอาไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นเพื่อนกับเอมิอย่างนั้นสินะ ที่มาบอกเพราะว่า...ไม่อยากให้เข้าใจผิด
ให้ตายเถอะ อยากจะหายใจออกด้วยความสุขสิบครั้ง ทำไมมันถึงได้มีความสุขแบบนี้นะ
ตั้งแต่ได้ยินคำพูดอะไรแบบนั้น แบคฮยอนก็ยิ่งรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อคิดถึงใบหน้าของเด็กสีผมเจ็บ ๆ ที่ถึงแม้ว่าท่าทางการอ่านหนังสือจะดูจริงจังอย่างที่สุด แต่ท่าทีที่มาบอกเขาว่าไม่อยากให้เข้าใจผิดนั้นกลับดูเขินอายเหมือนเด็กตัวโต ทั้งยังรีบวิ่งออกไปอีก เฮ้อ...ไม่กล้าจะมองเลย กลัวเค้าจะรู้ว่าเราน่ะ...
พอเอาหนังสือเข้ามาเก็บในชั้นก็แอบมองไปหนึ่งที วันนี้ใส่แว่นด้วยอย่างนั้นสินะ ใส่เหมือนกับเขาที่ต้องทำงานอยู่กับจอคอมพิวเตอร์และหนังสือ แถมวันนี้ยังตั้งใจพิมพ์อะไรอยู่ตั้งนานสองนานแล้ว พอเห็นแบบนั้นก็คิดว่าต้องตั้งใจทำงานเหมือนกัน เขาถึงได้ขะมักเขม้นเก็บหนังสือเข้าชั้น แล้วก็คิดว่าจะไปนั่งทำบัญชีค่าปรับหนังสือเพื่อที่จะส่งให้ผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ต่อไป
แค่ประโยคเดียวแบบนั้น...ทำให้เขินได้เป็นอาทิตย์เลย
โอ๊ย จะเป็นบ้า ตั้งใจทำงานเดี๋ยวนี้นะ บยอนแบคฮยอน
พอเก็บหนังสือเข้าชั้นเสร็จแล้วเขาก็เข้าไปจัดห้องเก็บเอกสารและหนังสือพิมพ์เก่า ๆ เพราะว่าให้พี่ยอนมีมาจัดไม่ได้ คนท้องไม่ควรได้รับฝุ่น ยอนจูก็ไม่ควรได้รับฝุ่นเพราะเธอไม่มีความผิดอะไร อาไม่แท้อย่างเขาก็อยากจะให้น้องเกิดมาแข็งแรง ถึงแม้ว่าแม่ของยอนจูจะชอบแกล้งเขาก็ตาม
“แบคฮยอน...”
“เฮ้ย พี่ ไม่ต้องเข้ามา” แบคฮยอนบอกพี่ยอนมีที่มาเรียกเขาอยู่หน้าห้อง “ทำไมอ่ะ?”
“ก็ฉันจะไปแล้วอ่ะ”
“อ้าว สามโมงแล้วเหรอ?” แบคฮยอนไม่ได้ดูนาฬิกาเลย “พี่ซองยอนมารับยัง?”
“มาแล้ว”
“โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาจัดต่อ” เขาเก็บทุกอย่างก่อนจะถอดถุงมือออกแล้ววางทิ้งเอาไว้ในนั้น ดันพี่ยอนมีออกไปเพราะกลัวจะสูดฝุ่นเข้าปอด “ไม่ต้องห่วงหน่า ไปกี่รอบแล้วเถอะ”
“งั้นพี่ไปนะ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงเนื้อย่าง”
“จดไว้แล้ว ๆ”
แบคฮยอนเดินมาส่งคุณแม่ที่ต้องไปฝากครรภ์กับคุณหมอในวันนี้ที่หน้าประตูห้องสมุด ก่อนที่เขาจะมานั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์เพื่อให้บริการประชาชนทุกคนจนกว่าห้องสมุดจะปิด จะว่าไป...ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่พี่ยอนมีฝากครรภ์ตรงกับวันศุกร์ ถ้ามันเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็...เขาก็คงจะได้เป็นคนให้บริการยืมคืนกับเด็กมหาวิทยาลัยที่วันนี้มาคนเดียวอย่างนั้นสินะ
หนังสือที่เขาใช้ฆ่าเวลาในวันนี้นั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในยุโรป เก้าอี้ว่าง ๆ ข้างเด็กมหาวิทยาลัยที่ชื่อชานยอลนั้นทำให้เขานึกถึงผู้หญิงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหรือตัลกี...เฮ้อ มองมาจากทะเลปูซานยังรู้ว่าตกหลุมรักพ่อสุดหล่อคนนี้ น่าสงสารจริง ๆ ที่เป็นได้แค่เพื่อน เรื่องมันก็ช่วยไม่ได้ เจอคนน่ารักกว่าอย่างเขาไป จะเป็นตัลกีมาจากไหนก็แพ้แบคฮยอนคนนี้อยู่วันยังค่ำ!
“...พี่ครับ” เสียงที่ดังขึ้นที่หน้าเคาน์เตอร์บริการทำให้แบคฮยอนละสายตาจากหนังสือเพื่อไปมองเด็กมัธยมปลายคนหนึ่งยืนอยู่ ด้านหลังมีเพื่อนอีกสองสามคน “คือ...พี่อายุเท่าไหร่เหรอครับ?”
“ว่าไงนะ?”
“คือ...พวกผมหมายถึง พี่มาฝึกงานใช่ไหมครับ?”
“ฝึกงานมันก็ต้องห้อยป้ายฝึกงานสิ” เขาขมวดคิ้วใส่เด็กม.ปลาย “ทำไม?”
“เพื่อนผมมันชอบพี่น่ะครับ มันอยากได้เบอร์พี่!” เด็กคนหนึ่งถูกดันออกมาจากด้านหลัง “นะ—”
“ตัดใจแล้วกลับไปเรียนหนังสือเถอะ ฉันเรียนจบจนลืมหน้าอาจารย์ไปแล้ว ไปจีบเพื่อนรุ่นเดียวกันเถอะไป”
อยากจะหัวเราะใส่เด็กมัธยม แต่ก็แอบภูมิใจในหน้าตาตัวเองหน่อย ๆ ถ้าถูกมองว่าเป็นเด็กฝึกงานได้ ก็แสดงว่าหน้ายังไปไม่ถึงอายุอย่างนั้นสินะ พอคิดได้แบบนั้นก็มีแรงใจจะทำงานคนเดียวไปถึงเวลาที่ห้องสมุดปิด พอฟ้าเริ่มมืดคนก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน เขาเองก็ตั้งใจทำงานให้เร็วที่สุด จะเปิดสองเคาน์เตอร์ก็ไม่ได้เพราะทั้งห้องสมุดนั้นมีเขาเป็นพนักงานคนเดียว จึงได้ให้บริการยืมด้วยรอยยิ้ม มีช่วงเด็กมัธยมมาอิดออดบ้างแต่เขาก็บอกให้มันไปตั้งใจเรียนหนังสือ แล้วก็กลับบ้านไปนอนได้แล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาที่ควรจะออกไปกินข้าวมากกว่า
จนมาถึงคนสุดท้าย...ที่เขาไม่เคยเห็นเลยว่าจะอยู่ที่ห้องสมุดได้นานขนาดนี้
เป็นวันศุกร์แรก...ที่อยู่จนฟ้าเปลี่ยนสี
“อยาก...ทำเรื่องยืมต่อน่ะครับ”
“ยังอ่านไม่จบเหรอครับ?”
“อ่า...ครับ” คนตอบส่งยิ้มให้เขา “สบายดีแล้วเหรอครับ?”
“ครับ” เขาตอบกลับไปอย่างสุภาพ เข้าใจว่าอีกฝ่ายถามถึงเรื่องที่เขาไม่สบาย “คนสุดท้ายเลยนะครับ”
“...”
“คุณไม่เคยกลับเวลานี้เลย” แบคฮยอนอดที่จะพูดมันออกไปไม่ได้ “เวลาที่ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินแบบนี้”
“...ที่จริง ผมก็อยากจะอยู่ต่อจนห้องสมุดปิดนะครับ แต่ถ้าทำแบบนั้นทุกครั้ง มันคงจะน่าสงสัยเกินไปหน่อย”
“แล้วที่คุณมาทุกวันศุกร์มันไม่น่าสงสัยเหรอครับ?”
เขาปิดหนังสือที่ทำการยืมต่อให้เรียบร้อยแล้วก่อนจะดันมันคืนให้คนยืมที่เงียบไปได้หลายวินาทีแล้ว
“ผม...ว่างแค่วันนี้น่ะครับ”
“เรียนหนักใช่ไหมล่ะ ไม่สิ ต้องบอกว่างานหนักมากกว่า” แบคฮยอนผ่านมันมาแล้ว “กลับบ้านดี ๆ นะครับ”
เขาส่งยิ้มให้นักศึกษาปีสุดท้ายคนนี้ก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องเฉพาะสำหรับการให้บริการยืมคืน แต่การที่เห็นว่าคนที่เด็กกว่าเขาคนนี้ไม่ขยับตัวไปไหนนั้นมันก็ทำให้เขากลับมาให้ความสนใจกับอีกฝ่ายอีกครั้ง
“ผม...ไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียวน่ะครับ คุณแบคฮยอน”
“...”
“ผมอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะจัดการทุกอย่างเสร็จ ได้ไหมครับ?”
“...”
“...”
“ดะ...ได้สิ” พระเจ้า! หน้าแบคฮยอนต้องกำลังแดงแน่ ๆ แต่ว่ามันก็ห้ามใจไม่ได้ “ตามสบายเลย”
ไม่เคยพูดชื่อเลย หรือว่าอ่านเอาจากป้าย เห็นจากป้ายแน่ ๆ หรือว่าพี่ยอนมีบอกกันนะ แล้วทำไมต้องมาบอกว่าไม่อยากให้อยู่คนเดียว เรียกว่าคุณแบคฮยอนด้วย อยากจะเป็นบ้าตาย แบคฮยอนได้แต่เก็บของไปคิดถึงเรื่องนี้ไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็...
“ผมต้องเอาหนังสือไปเก็บอีก ถ้าคุณ...”
“ผมช่วยละกันครับ คุณจะได้ไม่รู้สึกว่าผมมารอ”
“อะ...เอางั้นเหรอ?” ใจมันเต้นแรงไม่ยอมหยุดเลย “คุณทำเป็น?”
“ไม่หรอกครับ ถ้าให้ช่วยเข็นรถก็ว่าไปอย่าง”
ประโยคของอีกฝ่ายทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนที่คนที่เขารู้ว่าชื่อชานยอลจะเข้ามาในบริเวณของเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเขาเข็นรถเข็นหนักอึ้งที่มีหนังสืออยู่เต็มรถ ทั้งยังถูกเติมด้วยหนังสือที่มีคนหยิบเอาออกมาอ่านแต่ว่าเก็บไม่ถูก แต่อย่างน้อยเขาก็ชอบคนที่เอาหนังสือมาวางไว้ตรงนี้มากกว่าคนที่เอาไปวางสลับไปหมดนั่นแหละ ไปเจอทีหลังแล้วมันน่าโมโหมาก ๆ เลย
แล้วมาเดินในห้องสมุดที่ไม่มีใครกับคนที่...โอ๊ย จะมีชีวิตรอดไปจากตรงนี้ยังไงนะ มันชอบก็ชอบแต่อึดอัดก็อึดอัด มัน...
“ปกติช่วยกันทำสินะครับ กับพี่ยอนมี” เด็กชานยอลชวนเขาคุย “งานนี้น่ะครับ”
“ก็ใช่แหละ แต่พอท้องก็มีหน้าที่ใหม่คือนั่งพูด” แบคฮยอนพูดไปยิ้มไป “ที่จริงฉัน...เอ่อ..ผมก็ไม่ให้ทำเอง เป็นอะไรขึ้นมามันไม่คุ้มกัน”
“ไม่ต้องสุภาพก็ได้ครับ ผมเด็กกว่า”
“แต่คุณเป็นประชาชนนะ”
“เลยเวลาราชการแล้วครับ พูดได้เลย”
แบคฮยอนไม่ใช่เด็กมัธยมปลายที่จะมานั่งคิดว่าเค้าชอบฉันไหมนะ พูดแบบนั้นเค้าชอบฉันใช่ไหม จากสิ่งที่ได้ยินเมื่ออาทิตย์ก่อนและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้นเขาเดามันได้ไม่ยากเลย คนไม่รู้สึกอะไรที่ไหนจะมาบอกเพื่อไม่ให้เขาเข้าใจผิด แถมยังมาเดินเข็นรถไปยิ้มให้เขาไปแบบนี้ แต่เรื่องที่น่าหนักใจกว่าคือการไอ้เด็กผมสีเจ็บ ๆ นี่มันหล่อนั่นแหละ ก็รู้ว่าเราน่ารัก แต่ว่า...มันออกจะแปลกไปหน่อยล่ะมั้ง
การมีคนที่รู้สึกว่าหล่อมาก(โว้ยยยยยยยยยยยย!)มาชอบนี่มัน...รู้สึกแบบนี้เองสินะ ถึงเค้าจะไม่เคยพูดแต่แบคฮยอนก็ขอคิดไปก่อน แต่ถ้ามันไม่ชอบ มันไม่มาเดินตามเขาต้อย ๆ แบบนี้หรอก ใช่! มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ!
“ฉันถามจริง ๆ เลยนะ” แบคฮยอนเป็นคนขี้อาย แต่ในเวลาที่ไม่ควรอาย เขาก็กล้าสุด ๆ ไปเลยเหมือนกัน “นายคิดอะไรกับฉันรึเปล่าเนี่ย?”
“...”
“...”
“...คิดครับ” หูทั้งสองข้างของคนตอบเปลี่ยนเป็นสีแดง “แล้วที่คุณชอบนั่งมองผม คุณคิดอะไรไหม?”
“ฉันไม่ได้ชอบสักหน่อย!” แบคฮยอนกลับมาอายเหมือนเดิมแล้ว “ก็นาย...นายมานั่งทุกวันศุกร์ ไม่ให้มองได้ไง...”
พออายแล้ว แบคฮยอนก็กลับมาเป็นคนสงบปากสงบคำเหมือนเดิม เขาเดินเอาหนังสือเก็บเข้าที่โดยมีคนที่เดินตามมานั้นมองกันด้วยสายตาที่เขาไปกล้าหันไปสบตลอดเวลา คิดอยู่ในใจโดยที่ไม่ได้พูดออกไปว่ามองอะไรนักหนา มือสั่นจนถือหนังสือไม่ได้แล้ว รู้ว่าตัวเองหล่อมากก็มามองให้เขินอยู่ได้!
“...เลิกมองได้แล้ว..”
“อะไรนะครับ?”
“บอกให้เลิกมองได้แล้ว!” แบคฮยอนเขินจนอยากม้วนลงไปนั่งกับพื้น “มองทำไม...”
รอยยิ้มที่ได้รับกับมาทำให้แบคฮยอนรีบทำงานของตัวเองให้เสร็จ จะได้ไม่ต้องมาเผชิญกับความรู้สึกเขิน ๆ แบบนี้อีก นี่มันจริง ๆ เลย ไม่เหมือนคนเงียบ ๆ ที่ได้เห็นในทุกวันศุกร์ที่ผ่านมา ไม่สิ...ตอนที่อยู่กับเพื่อนอย่างตัลกีก็ดูยิ้มแย้มดี ความจริงอาจจะเป็นคนสดใสที่สุดเท่ได้ในเวลาเดียวกัน
กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยเขาก็ใช้เวลาไปมากเพราะวันนี้หนังสือเยอะ ความรู้สึกเขินอายก็ยังคงมีแต่ว่ามันก็มีความเกรงใจที่เข้ามาแทรกด้วย แต่ความรู้สึกยามที่อีกฝ่ายมองมานั้นทำให้เขารู้ว่าความกังวลของเขามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิด ไม่ต้องเกรงใจคนที่ชื่อชานยอลนี้เลย
กระทั่งเวลาที่ไฟของห้องสมุดดับลง และเขาที่ต้องล็อกกุญแจให้เรียบร้อย ตรวจสอบความเรียบร้อยทุกอย่าง เด็กชานยอลก็ยังยืนอยู่กับเขา เดินออกมาด้านหน้าด้วยกันเพื่อรับรู้ว่าวันนี้พระจันทร์สวยงามมากแค่ไหน
จนกระทั่งถึงเวลาที่เขารู้ว่าเราจะต้องแยกกันแล้ว ถึงได้กล้าที่จะส่งยิ้มให้คนที่ยิ้มกลับมาเหมือนกัน
“นั่น...รถนายเหรอ?”
“ครับ” ชานยอลตอบกลับมา “ผม...”
“...”
“ไปส่งได้ไหมครับ?”
“...ไม่ได้”
“...”
“แต่ถ้าพรุ่งนี้มาที่นี่ นายก็ลองถามฉันดูอีกทีละกัน” แบคฮยอนขัดเขิน แต่ก็พูดมันออกไปแล้ว “หรือว่าไม่ว่าง...”
“ผมว่างครับ ตั้งใจจะมาอยู่แล้วด้วย” รอยยิ้มกว้างที่ได้รับทำให้แบคอยอนหยุดยิ้มไม่ได้เลย “ผม...คิดว่าแค่ได้มอง ก็คงมีความสุขแล้ว”
“...”
“แต่พอกล้าที่จะคุยกับคุณ ผมถึงได้รู้ว่ามันมีความสุขกว่าเยอะเลย”
“...”
“ให้ไปส่งทั้งพรุ่งนี้...แล้วก็วันนี้ไม่ได้เหรอครับ?”
“แต่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันศุกร์นะ?”
“...ครับ” เรากำลังเขินกันทั้งคู่ “ผม...ไม่อยากทำให้คุณอึดอัด ก็เลยยอมอดทนมาเจอคุณแค่วันเดียว”
“...”
“แต่เพราะว่าคุณ...”
“ฉันไม่ได้อึดอัดสักหน่อย” แบคฮยอนฮึดฮัด “ถ้าจะอึดอัดน่ะ...ก็คงเพราะว่ามีผู้หญิงมากับนายมากกว่า”
“ที่ผมนั่งตรงนั้น...เพราะไม่ว่าคุณจะทำอะไร ที่ตรงนั้นจะทำให้ผมมองเห็นคุณ”
“...”
“ผมก็เลยได้เห็นท่าทางไม่พอใจของคุณด้วย”
“ฉันไปไม่พอใจตอนไหนกัน?”
“...เลยต้องมาบอกคุณว่าเธอเป็นแค่เพื่อนผม เพราะว่าผม...ไม่อยากให้คุณเข้าใจผิด แล้วก็มองผมด้วยแววตาแบบนั้น ผมอยากให้คุณ...รู้สึกเหมือนผมครับ”
“...เด็กโง่...”
“...”
“ถ้าตรงที่นายนั่งมันเห็นฉันจริง ๆ นายก็ต้องรู้สิว่าฉันรู้สึกยังไง...”
“...”
“เหมือนที่ฉันมองเห็นนาย”
“...”
“ตอนนี้เลย”
—
♡