sodaisy95

🧸🎈💙 · @sodaisy95

16th Jun 2019 from TwitLonger

(os) simple beats : beautiful day #ดซชานแบค






♡♬
simple beats
: beautiful day
chanyeol x baekhyun
#ดซชานแบค





“เอ่อ...ปาร์คชานยอลอยู่ไหมครับ?”

“ชานยอลเหรอ? ชาน—”

“ไม่ครับ ไม่ต้องเรียกครับ คือผม...ขอตัวก่อนนะครับ!”

บยอนแบคฮยอนหน้าตื่นเพราะคนในห้องบีทำท่าจะตะโกนเรียกคนที่ชื่อชานยอลให้ตามที่มาถามหา เลยรีบร้องห้ามว่าไม่ต้องก่อนจะวิ่งกลับมาหาเพื่อนที่ยืนรออยู่บริเวณโถงบันได ขาขวิดกันจนแทบจะล้ม เบรกตัวเองก็ไม่อยู่จนคยองซูกับมินซอกต้องช่วยกันรับเอาไว้ให้ ไม่อย่างนั้นแบคฮยอนคงไม่พ้นล้มไปกองอยู่ที่พื้น

“ทำไม หมอนั่นมันตวาดนาย?” คยองซูเลิกคิ้วใส่เขา “มันด่านายเหรอ?”

“เปล่า เค้าไม่ได้ว่าอะ—”

“หรือว่ามันตีนาย ว่าแล้ว! ดังได้เพราะเป็นอันธพาล ที่ว่ากันว่าผู้หญิงชอบคนเลวคงจะเป็นเรื่อง—”

“ไม่ใช่!” แบคฮยอนพูดเสียงดังเพื่อให้เพื่อนหยุดคิดไปเองสักที “ฉันยังไม่ได้คุยกับเขาเลย!”

“เอ้า...”

“ไม่กล้าน่ะ นายก็รู้ว่าเค้าเป็นคนดัง ถ้าเกิดว่าฉันเข้าไปคุยแบบนั้น ผู้หญิงในห้องบีจะต้องฆ่าฉัน—”

“แล้วนายสนว่านายจะโดนฆ่าตายหรือว่าสนเรื่องที่จะได้เข้าชมรมดนตรีสากลล่ะ?” คยองซูถามคำถามที่ทำให้เขาเงียบไป “นายเครียดจนกินข้าวไม่ลงมาหลายวัน ให้พวกฉันช่วยคิดวิธีให้ มันก็ได้แต่วิธีนี้วิธีเดียวแหละ แบคฮยอน”

“...”

“ฉันรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมที่พี่ชุนมีไม่ให้นายเข้าชมรมแค่เพราะว่านายเป็นเด็กปลายแถว แต่โลกมันก็ไม่ได้ยุติธรรมมาแต่ไหนแต่ไร นายก็ต้องสู้เพื่อสิ่งที่ต้องการ เพื่อสิ่งที่นายอยากจะได้ เข้าใจรึเปล่า?”

“อื้อ...” แบคฮยอนรู้ว่าที่เพื่อนพูดมามันเป็นเรื่องจริง ถึงเขาจะยื่นใบสมัครเป็นคนที่หนึ่ง แต่คงโดนประธานชมรมดนตรีสากลอย่างพี่ชุนมีคัดออกตั้งแต่เห็นว่าเป็นชื่อ’บยอนแบคฮยอน’

“ถ้าไม่ใช่ปาร์คชานยอลก็ไม่มีใครช่วยนายได้แล้ว คนอื่นเค้าก็มีวงของเค้า มีคู่กันไปหมดแล้ว แจมินมันก็ฉายเดี่ยว เหลือแต่ปาร์คชานยอลเนี่ยแหละ”

“แต่ฉันกลัวนี่” แบคฮยอนสารภาพความในใจ “นายก็ได้ยินที่ใครเค้าบอกกันว่าชานยอลน่ะร้าย ถ้าเกิดว่าเค้า—”

“ถ้าเกิดว่ามีเรื่องแบบที่นายกำลังคิดอยู่ ก็แค่ถอนตัวซะ เพราะถ้าไม่ได้ปาร์คชานยอล นายก็จะไม่ได้เข้าชมรม ถ้าหมอนั่นมันร้าย นายก็แค่ออกจากชมรม ผลมันก็ออกมาเหมือนกัน”

“...”

“เตรียมใจไว้ด้วยนะ นายพูดออกมาเองว่าปาร์คชานยอลน่ะ ร้ายขั้นสุดยอดเลย”

“ขั้นสุดยอดนี่นายพูดแล้ว มินซอก”

“ก็มันจริงนี่...”

บยอนแบคฮยอนเป็นเด็กมัธยมปลายปีสองห้องซี ที่จัดได้ว่าปลายแถวขั้นสุดยอดในระดับชั้นแล้ว

หากว่ามีหนึ่งร้อยคน เขาคิดว่าตัวน่าจะอยู่ลำดับที่เก้าสิบสาม (คิดแบบเข้าข้างตัวเองมากแล้ว) อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่มีอะไรโดดเด่น เรียนหนังสือระดับปานกลาง เล่นกีฬาไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ซุ่มซ่ามเป็นอันดับที่สามของโลกเพราะถือคติว่าบนโลกใบนี้มันก็ต้องมีคนที่ซุ่มซ่ามเหมือนกันบ้างล่ะหน่า หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้สำหรับคนสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า งานอดิเรกหลักคือการเดินหลบอยู่ด้านหลังของคยองซู เพราะกลัวว่าตัวเองจะไปขัดหูขัดตาใครเข้า เหมือนที่โบจองบอกว่าไม่ชอบขี้หน้าเขา เห็นแล้วมันน่ารำคาญ

แบคฮยอนไม่ได้มีปัญหาเลยกับการเป็นเด็กปลายแถวของโรงเรียน เพราะทุกวันที่ใช้ชีวิตนั้นมันเต็มไปด้วยความสุขที่เรียบง่าย เขาได้ตื่นมาเจอกับสารพัดเมนูไข่ของคุณพ่อในมื้อเช้า มาโรงเรียนด้วยการขึ้นรถประจำทางจากปากซอยหน้าบ้านของตัวเอง เจอคยองซูกับมินซอกบนห้องเรียน นั่งดูดนมกล่องที่คุณอาเอาใส่กระเป๋านักเรียนให้ มีข้าวกล่องอาหารกลางวันชุดใหญ่ฝีมือของคุณพ่อ กลับบ้านด้วยรถประจำทางสายเดิมอย่างมีความสุข ถึงฝนจะตก แดดจะออกหรือหิมะจะถล่มเขาก็มีความสุขอยู่ดี เพราะคุณพ่อกับคุณอาที่ดูแลเขามาตลอดจนอายุสิบเจ็ดปี

ถึงจะเป็นเด็กปลายแถวที่โรงเรียน แต่ถ้าอยู่บ้านแล้วเป็นท่านผู้นำ แค่นั้นเขาก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว

แบคฮยอนไม่เคยคิดมาก่อนว่าการเป็นเด็กปลายแถวลำดับที่เก้าสิบสามจากหนึ่งร้อยนั้นจะสร้างปัญหาให้เขาได้ จนวันที่ไปขอใบสมัครชมรมดนตรีสากลที่ตึกเรียนหนึ่งชั้นที่สอง ที่ตั้งของห้องชมรมดนตรีสากล เขากลับโดนประธานชมรมอย่างรุ่นพี่ชุนมีว่าเข้าให้

‘คนอย่างนายน่ะเหรอจะมาสมัครชมรมของเรา ชื่ออะไรนะ...แบคฮยอน เกิดมาไม่เคยจะได้ยิน จำเอาไว้ด้วยว่าเรารับแต่คนมีคุณภาพ ไม่ใช่เด็กปลายแถวอย่างนาย!’

ท่านผู้นำอย่างเขาตรงกลับบ้านไปร้องไห้กับคุณพ่อที่ละมือจากงานมาปลอบเขาในทันที ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้โดนว่าแบบนั้น แบคฮยอนไม่ได้เป็นคนยกมือบอกกับคนในโรงเรียนเสียหน่อยว่าจะเป็นเด็กปลายแถวนะ ทำไมถึงจะต้องมาจัดลำดับให้เขาด้วย เราทุกคนก็จ่ายค่าเทอมเหมือนกัน เรียนหนังสือจากคุณครูคนเดียวกัน ทำไมถึงได้โดนดูถูกแบบนี้

คุณพ่อกอดเขาเอาไว้แนบอก บอกว่าโลกมันก็เป็นแบบนี้ เขาไม่มีวันได้คำตอบของคำถามที่ว่าทำไม แต่เขาเลือกได้จะเชื่อมั่นในตัวเอง คนอื่นไม่เชื่อเรา ไม่เห็นเราก็ไม่เป็นไร เข้มแข็งเอาไว้และผ่านมันไปให้ได้ อย่าเก็บคำว่าร้ายของคนที่ไม่รู้จักเรามาใส่ใจ เขารู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร และคุณพ่อกับคุณอาก็รู้ ว่าท่านผู้นำของบ้านบยอนน่ะ...น่ารักที่สุดในโลกแล้ว

แบคฮยอนเชื่อคำของพ่อและไม่เก็บคำพูดของรุ่นพี่ชุนมีมาใส่ใจ แต่เขาก็รู้ทั้งรู้ว่าพี่ชุนมีไม่มีทางรับเขาเข้าชมรม ต่อให้ไปยืนร้องเพลงกลางสนามฟุตบอลของโรงเรียนก็คงจะไม่ได้รับการยอมรับอยู่ดี คุณอาบอกเขาว่าคนที่ไม่มีใจไว้มองคนอื่นก็จะมองเห็นแต่ตัวเอง ถ้าเกิดว่าเขาอยากจะเข้าชมรมนั้นให้ได้จริงๆ ก็ต้องหาวิธีการอื่น...

ที่บิดๆเบี้ยวๆเหมือนกับความคิดของประธานชมรม

เรื่องการเข้าชมรมดนตรีสากลในแบบที่บิดเบี้ยวนั้นจึงถูกนำมาปรึกษาเพื่อนสนิทของเขาทั้งสองคนอย่างคยองซูกับมินซอก ที่รับรู้ว่ามันไม่ใช่ปัญหาเล่นๆ เพราะว่าเขาตั้งใจอย่างมากที่จะเข้าตั้งแต่สมัยอยู่ปีหนึ่ง เพียงแต่ชมรมนี้เป็นชมรมเดียวที่ไม่อนุญาตให้เด็กปีหนึ่งสมัคร เขาจึงต้องรอให้ตัวเองขึ้นมัธยมปลายปีสอง แต่กลับโดนว่าโดนดูถูกกลับมาแบบนั้น และมันเป็นสิ่งที่เพื่อนทั้งสองคนของเขารับไม่ได้เลย

โดคยองซูเป็นนักเรียนเหรียญทองด้านสังคมวิทยา ส่วนคิมมินซอกนั้นเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน เพราะเป็นนักเตะแข้งทองที่ยิงประตูในการแข่งขันทั้งชีวิตมาแล้วรวมสามสิบสามประตู การที่เขาได้เป็นเพื่อนกับบุคคลตัวอย่างของโรงเรียนนั้นนับเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตของแบคฮยอนที่บังเอิญได้นั่งเรียนตรงกลางระหว่างสองคนนี้ในวันที่เข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ครั้งแรกในระดับชั้นมัธยมต้นปีหนึ่ง

‘ฉันได้ยินมาว่าปาร์คชานยอลก็จะเข้าชมรมนี้เหมือนกัน’ มินซอกบอกกับแบคฮยอนที่กำลังกัดทงคัตสึคำโต ‘เซฮุนมันบ่นว่าพยายามจะลากมาเข้าชมรมฟุตบอลด้วยกันมันก็ไม่มา’

‘ไอ้นั่นมันเล่นบาสเกตบอลไม่ใช่รึไง เข้าก็แปลก’

‘ใครเหรอ?’ แบคฮยอนไม่รู้จักปาร์คชานยอลอะไรนี่

‘เคยได้ยินคนที่ถูกเรียกว่าจอมวายร้ายไหม?’

‘ที่ชู้ตลูกบาสได้จากกลางสนาม คนที่ทิ้งรุ่นพี่ยอนจอง รุ่นพี่เซมี รุ่นพี่เอมิ...’

‘ไม่ต้องพูดเยอะ แบคฮยอน เดี๋ยวคนที่ชอบเค้าแต่เค้าไม่ชอบกลับแถวนี้จะทำใจไม่ได้’

คยองซูกับมินซอกเล่าให้เขาฟังถึงกิตติศัพท์ของจอมวายร้ายที่เขาเคยได้ยินมาบ้างแล้ว รู้ว่าหน้าตาหล่อเหลือร้ายและร่างกายสูงใหญ่นั้นสมกับสมญานามที่ได้รับ แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนคนนั้นชื่อปาร์คชานยอล เพราะสิ่งที่เขาเรียกและได้ยินมาตลอดคือ วายร้าย ๆๆๆๆ

ก่อนที่คยองซูจะพูดติดตลกขึ้นมาว่า ถ้าเกิดแบคฮยอนเป็นเพื่อนกับปาร์คชานยอล รุ่นพี่ชุนมีคงจะเขียนใบสมัครให้เลย ไม่ต้องกรอก ไม่ต้องยื่น ไม่ต้องเรียงลำดับตามคิว เป็นอภิสิทธิ์ของเพื่อนปาร์คชานยอลที่ใครในโรงเรียนต่างให้การยอมรับว่าผู้ชายคนนี้นั้นหน้าตาดีจริงๆ

ตอนนั้นเองที่เราสามคนรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้บยอนแบคฮยอนคนนี้ได้เข้าเป็นสมาชิกของชมรมดนตรีสากล

แต่ว่ามันยากมากเลย แบคฮยอนคิดว่าคงทำไมได้

“แล้วตกลงจะเอายังไง ดับเบิ้ลบี”

“ฉัน...ต้องทำใช่ไหม?” แบคฮยอนกลัว แต่อีกใจก็คิดว่ามันคงไม่มีโอกาสแล้ว เพราะต่อให้อีกหนึ่งปีข้างหน้าที่จะขึ้นปีสาม เขาคงไม่มีโอกาสจะหลุดพ้นจากลำดับที่เก้าสิบสามได้อยู่ดี

แต่เขาชอบลำดับนี้นะ คุณอาบอกว่ามันเป็นเลขนำโชคของบ้านบยอน

“ฉันจะ...ลองดู” เขายิ้มให้เพื่อนทั้งสองคน “แต่มินซอกช่วยหน่อยนะ ฉันเริ่มต้นไม่เก่ง นายก็รู้”

แบคฮยอนเดินเกาะชายเสื้อของคยองซูที่เดินตามหลังมินซอกเข้าห้องมัธยมปลายปีสองบีไป เขารู้ว่าถึงจะต่างห้องแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในการเดินเข้าห้องอื่น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเพื่อนต่างห้องกันบ้าง เขาเองก็มีเพื่อนอยู่ห้องเอเหมือนกัน ชื่อควอนโฮจุน เป็นเพื่อนที่รู้จักกันเพราะงานกีฬาประจำโรงเรียนเมื่อปีที่แล้ว โฮจุนเป็นเพื่อนคนที่สองที่มาช่วยเขายกกล่องข้าว ถัดจากคยองซูที่เป็นลำดับที่หนึ่ง ส่วนมินซอกนั้นกำลังทำหน้าที่เป็นนักฟุตบอลที่ดีอยู่ในสนามหญ้าสีเขียวอ่อน

“ไง เซฮุน” มินซอกทักเพื่อนร่วมชมรมของตัวเอง “ตัดผมใหม่?”

“เออ ไปตัดกับไอ้ชานยอลมาเนี่ย หล่อทั้งทีก็ต้องหล่อด้วยกัน”

“ว่าไปนั่น...” คยองซูหันมาพึมพำกับแบคฮยอนที่อมยิ้มทันทีเพราะว่ามันตลกดีที่เราแซวคนอื่น ถึงในใจของเขาจะบอกว่าทั้งคู่ดูดีมากก็ตามที

“เพื่อนฉันมีอะไรจะคุยกับเพื่อนนายหน่อย” มินซอกหันกลับมาคว้าแขนแบคฮยอน ดึงเข้าไปหาเพื่อให้ไปยืนอยู่ตรงหน้าคนที่จ้องกันด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตานั้นเป็นไปในทางด้านลบ ทำให้เขาต้องหุบยิ้มบนใบหน้าเพราะไม่รู้ว่ามันจะกวนใจคนคนนี้รึเปล่า เหมือนที่จียองบอกว่ารอยยิ้มของเขามันน่าเกลียด “เรื่องชมรมดนตรีบลาบลา...”

“อะไร?”

“เอ่อ...” แบคฮยอนพูดไม่ออกเมื่อเจอสายตาแบบนี้ นี่เป็นสายตาของวายร้ายและเขารู้สึกกลัวมันขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“พูดเถอะหน่า” คยองซูให้กำลังใจเขา ดันหลังเบาๆเพื่อเรียกความกล้าให้

“ฉันอยากจะมาขอเป็นดูโอ้กับนายเข้าชมรมดนตรีสากล” เขาพูดเร็วปร๋อโดยไม่เว้นวรรค “เพราะว่าฉันเคยไปยื่นใบสมัครแล้วพี่ชุนมีไม่รับ บอกว่าฉันเป็นพวกปลายแถวไม่มีคุณภาพ เลยต้องมาขอความช่วยเหลือจากนาย—”

“ฉันว่ามันคงจะง่ายกว่าถ้านายยอมรับว่าตัวเองห่วย” คำพูดของชานยอลทำให้แบคฮยอนชะงักไป “การที่เค้าไม่ให้เข้า มันก็แปลว่านายเข้าไม่ได้”

“ชานยอล นี่เพื่อนของเพื่อนกู” เซฮุนมองหน้าแบคฮยอนที่เหมือนคนจะร้องไห้ “กฎของเราไง จำได้ไหม?”

“โอเค” ชานยอลยักไหล่ เปลี่ยนจากการมองแบคฮยอนด้วยสายตาวายร้ายเป็นสายตาขบขัน “ตอนที่นายเข้าโรงเรียนนี้มา นายยื่นใบสมัครแล้วเรียนได้เลยหรือว่านายต้องสอบ?”

“ฉัน...ต้องสอบ”

“แล้วรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงได้ให้สอบ...บยอน....แบคฮยอน” ปาร์คชานยอลหรี่ตามองป้ายชื่อที่อกของเขา “เพื่อกำจัดคนที่ไม่เก่งพอที่จะเรียนที่นี่ยังไงล่ะ”

“...”

“ชมรมดนตรีก็เหมือนกัน เขาไม่ให้คนอย่างนายเข้าไปอยู่หรอกนะ อย่าหวังสูงไปหน่อยเลยว่าฉันจะช่วย กลับไปเถอะ”

“ไอ้ชานยอล!”

คนที่ตะโกนไม่ใช่เพื่อนของแบคฮยอน แต่เป็นเซฮุนที่มองเพื่อนตัวเองด้วยท่าทีโกรธเคืองและผิดหวังระคนตกใจ ส่วนตัวเขาเองนั้นได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทบทวนสิ่งที่ปาร์คชานยอลพูดให้เขาฟัง

มันอาจจะจริงก็ได้ที่ชมรมนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อแบคฮยอน แต่พี่ชุนมีก็ไม่ได้ให้ทดสอบความสามารถเสียหน่อย เขาเชื่อว่าถ้าได้ร้องเพลง ได้ถ่ายทอดบทเพลงที่อยู่ในใจออกมาให้ทุกคนได้ฟัง ทุกคนจะต้องยอมรับในสิ่งที่เขาอยากทำ ยอมรับให้เขาเข้าชมรมดนตรีสากลนั่นแน่นอน

“นายมันก็ห่วยว่ะ ปารค์ชานยอล” คยองซูกอดอก มองคนที่พูดจาสุนัขไม่รับประทาน “ปากโคตรห่วยเลย”

“คิดว่าฉันจะสนกับคำด่าของพวกที่ยอมรับความจริงไม่ได้รึไง?”

“พอ!” เซฮุนลุกขึ้นยืนเพื่อห้ามสถานการณ์ “ไอ้ชานยอลหุบปาก ส่วนพวกนาย...ฉันจะคุยกับมันเอง ขอโทษนะ แต่กลับไปก่อนเถอะ เอาไว้ฉันจะคุยให้”

แบคฮยอนออกมาจากห้องมัธยมปลายปีสองบีพร้อมกับคยองซูและมินซอก ทั้งคู่ดูโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ชานยอลพูดจาแบบนั้นใส่เขา เพื่อนบอกว่าปาร์คชานยอลนั้นนิสัยไม่ดีสมชื่อ จะปฏิเสธกันก็ได้ ไม่ได้ว่าอะไรเลยถ้าจะบอกว่าไม่ในแบบสุภาพ ยินดียอมรับคำปฏิเสธนั้นแล้วคิดหาวิธีอื่นต่อไป ไม่ใช่มาพูดจาแบบนี้

แต่ไมรู้สิ แบคฮยอนรู้สึกเสียใจมากกว่าโกรธอีก

หรือว่ามันจะเป็นอย่างที่ปาร์คชานยอลพูด เหมือนกับการที่โรงเรียนคัดคนเข้ามาเรียนด้วยข้อสอบที่ยากจนต้องอ่านหนังสือล่วงหน้าสามเดือน หรือจะเป็นสิ่งที่พี่ชุนมีพูดว่าพวกปลายแถวอย่างเขา...
อาจจะดีไม่พอที่จะเข้าชมรมนี้ก็ได้





♡♬





มันเป็นเรื่องปกติที่แบคฮยอนทำการบ้านที่โรงเรียนในช่วงเย็น

เขาหลีกเลี่ยงช่วงเวลาคนเยอะหลังเลิกเรียนด้วยการนั่งทำการบ้านกับคยองซู การที่เรียนไม่เก่งแต่พอถูไถไปได้นั้นทำให้เขาใช้เวลาทำนานกว่าเพื่อนอย่างคยองซูนิดหน่อย และมันก็เป็นสิ่งที่ดีแสนดีในการที่มีคนนั่งอธิบายเรื่องสงครามครูเสดให้ฟังเหมือนการเล่านิยายน้ำดีให้ฟังสักเรื่อง แถมยังจำไปสอบได้อีกด้วย
วันนี้แบคฮยอนนั่งทำการบ้านภาษาอังกฤษไป ฟังคยองซูเล่าเรื่องของนโปเลียน โบนาปาร์ตไป พร้อมกับไส้กรอกหมูรมควันสองไม้และน้ำผลไม้รวมอีกหนึ่งขวด มันตลกดีเวลาที่คยองซูทำเสียงประกอบให้เขาได้ฟัง หรือตอนที่อินจัดเวลาที่คนเลวโดนประหารชีวิต

“แบคฮยอน”

แต่เสียงเรียกชื่อของเขาเสียงนี้ไม่ใช่เสียงของคยองซู หรือมินซอก หรือโฮจุน หรือใครที่แบคฮยอนรู้ว่าเป็นเพื่อนที่แสนดี แต่เป็นเสียงของคนที่ไปขอความช่วยเหลือและโดนปฏิเสธกลับมาอย่างใจร้าย

“ฉันไม่ได้มีเวลาทั้งวันนะ ลุกขึ้น”

“นายต้องการอะไร?” คยองซูลุกขึ้นยืน จ้องปาร์คชานยอลตาเขม็ง “อย่ามายุ่งกับเพื่อนฉัน!”

“ไม่เป็นไร คยองซู อย่าตะโกนเลย” จากสายตาของชานยอลนั้นทำให้เขารู้ว่าเจ้าตัวคงมีเรื่องลำบากใจ “มีอะไรเหรอ?”

“ตามมา”

ชานยอลหันหลังให้เราทั้งคู่ เดินตรงไปทางตึกหนึ่งของโรงเรียน แบคฮยอนมองไหล่กว้าง ๆ และแผ่นหลังนั่นอยู่นานหลายวินาที จนคยองซูต้องส่งเสียงเรียกสติว่าเดินตามไปสิแบคฮยอน ทางนั้นมันเป็นทางไปห้องชมรมนะ!

การวิ่งตามคนที่สูงกว่าเป็นสิบเซนติเมตรนั้นเหนื่อยเอาการ แต่แบคฮยอนก็ตามได้ทันในก้าวที่สิบสองของตัวเอง เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ก้มมองลงมาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหันกลับไปสนใจทางที่ตัวเองกำลังเดินอยู่เก่า

เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมชานยอลถึงต้องให้เขาเดินมาด้วย หรือว่าจะแกล้งอะไรให้สมกับเป็นจอมวายร้ายของโรงเรียน ที่มินซอกเคยพูดให้ฟังว่าคบผู้หญิงไตรมาสละหนึ่งคน คนรู้กันทั้งโรงเรียนว่าคบแก้เบื่อ เขาก็ไม่เข้าใจหรอก แต่ก็คิดว่ามันคงจะเป็นความชอบของชานยอลที่ไม่ควรจะก้าวก่ายอะไร

“นาย...ไม่ได้จะแกล้งฉันให้คนทั้งชมรมหัวเราะใช่ไหม?” ยอมรับว่ามองโลกในแง่ร้าย แต่ว่าคนที่กำลังเดินอยู่ด้วยคือชานยอลนี่หน่า

“สาบานเลยว่าฉันอยากทำแทบตาย”

“...”

“แต่กฎของเพื่อน แม่ง...ฉันละเกลียดนายจริงๆ”

แบคฮยอนโดนคนพูดว่าเกลียดใส่มาเยอะแล้ว ถ้าอีกคำจะมาจากปาร์คชานยอล มันก็คงไม่ได้เจ็บมากเท่าไหร่ แค่เสียน้ำตาในใจอีกหนึ่งหยด คุณพ่อบอกว่า...พ่อรักแบคฮยอนก็พอแล้ว

เขายืนหลบอยู่หลังชานยอลเมื่อเราหยุดอยู่ที่หน้าห้องชมรมดนตรีสากล ยอมรับว่าเขากลัวที่จะเผชิญหน้ากับพี่ชุนมี ถึงคุณพ่อกับคุณอาจะบอกให้เขาเข้มแข็ง แต่เขาก็ไม่ได้เก่งพอที่จะมาฟังใครดูถูกเหยียดหยามกันซ้ำสองได้ เขาเป็นผู้ชายอายุสิบเจ็ดปีที่เจ็บได้ร้องไห้เป็น

“มาสมัคร” ชานยอลเปิดประตูเข้าไปในห้อง “กับเพื่อน”

“น้องชานยอลมา...นั่นเพื่อนน้องเหรอคะ?”

“ใช่” คนตอบถอนหายใจอย่างรุนแรง “สมัครด้วยกัน สองคน”

สายตาของพี่ชุนมีนั้นยากที่จะคาดเดาได้ว่ารู้สึกอย่างไร เช่นเดียวกับแบคฮยอนในตอนนี้ที่ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี เขาทั้งดีใจ ทั้งกังวลและสับสนในเวลาเดียวกัน ตกลงชานยอลยอมช่วยเขาทั้งที่ว่ากันเอาไว้อย่างนั้น ยอมให้เขาร้องเพลงด้วย เป็นวงอยู่ด้วยกันสองคน

ใบสมัครถูกยื่นใส่มือของชานยอลที่ยื่นต่อให้แบคฮยอนอีกที ปากกาในชมรมรวมถึงมุมหนึ่งของห้องถูกใช้ในการเขียนใบสมัคร และคนที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างที่สุดที่ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเขาด้วย

“ชื่อวง...”

“ข้ามไป”

“โอเค” ถ้าชานยอลจะข้ามแบคฮยอนก็จะข้าม “นายเป็นหัวหน้าวงนะ ตำแหน่ง?”

“นายทำอะไร?”

“ฉันกำลังเขียนใบสมัครนี่ไง”

“ไม่ใช่ หมายถึงนายทำอะไร เล่นกีตาร์ ตีกลอง หรืออะไร?”

“ฉันร้องเพลง” แบคฮยอนไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หงุดหงิด แต่เขาไม่เข้าใจคำถามนี่หน่า “มาสมัครเป็นนักร้องของชมรม”

“แล้วเล่นดนตรีอะไรเป็นบ้าง?”

“ไม่เป็นเลย” เขาก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ รู้ว่ามันแย่ที่เล่นดนตรีไม่ได้เลยแล้วริอาจจะมาสมัครชมรมดนตรีสากล แต่ว่าเขาอยากเป็นนักร้องในแบบที่วงดนตรีเป็น ไม่ใช่แบบชมรมขับร้องประสานเสียง

“แล้วมาสมัครชมรมนี่? ฉันจะบ้า...”

“ฉันชอบร้องเพลง” แบคฮยอนบอกกับชานยอลที่ทำหน้าเหมือนเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน “ขอโทษที่เล่นดนตรีไม่ได้เลย แต่ฉันอยากเป็นแบบนักร้องนำที่มีวงดนตรีของตัวเองในทีวีแบบนั้น ฉันว่าเท่มากเลย เวลาที่—”

“เคยมีคนบอกนายไหมว่าสิ่งที่คิดอยู่น่ะ มันฝันเฟื่อง”

“คุณอาบอกฉันว่าเราฝันเพื่อที่วันหนึ่งมันจะได้เป็นความจริง”

“นายฝันเพราะว่ามันก็เป็นได้แค่ฝันต่างหาก” เขาสบเข้ากับดวงตาของปาร์คชานยอลที่รู้ดีว่ามองเขาด้วยสายตาสมเพช “เพราะว่านายไม่มีมันในโลกแห่งความจริงยังไงล่ะ”

แบคฮยอนก้มหน้าก้มตาเขียนใบสมัคร เขารู้ดีว่าเราฝันเพราะว่าเราไม่มีมันในโลกแห่งความจริง แต่คุณพ่อกับคุณอาบอกเขาว่าความฝันและความหวังนั้นเป็นพรจากพระเจ้าที่มีให้กับมนุษย์ทุกคน เมื่อแบคฮยอนฝันว่าจะได้ร้องเพลง เขาก็จะหวังที่จะได้ร้องเพลง และเขาก็จะได้ร้องมันอย่างแน่นอนถ้าเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองมี
แต่ถึงชานยอลจะพูดอะไร เขาก็รู้สึกขอบใจมากจริงๆ

“ขอบใจนะ”

“...”

“ถึงจะเกลียดกัน แต่ก็ขอบใจ” แบคฮยอนพยายามยิ้มให้น้อยที่สุด เพราะไม่รู้ว่ามันจะทำให้ชานยอลโมโหรึเปล่า “ฉันมีความสุขมากเลย”

ใบสมัครในมือของแบคฮยอนถูกส่งให้พี่ชุนมีที่มีรอยยิ้มเจื่อนอยู่บนใบหน้า เขากับปาร์คชานยอลคนที่ทั้งโรงเรียนบอกว่าเป็นคนร้ายกาจนั้น แยกจากกันตั้งแต่หน้าห้องชมรมดนตรีสากล เขาเดินไปทางซ้าย ชานยอลเดินไปทางขวา และมันก็คงมีแต่บยอนแบคฮยอนคนนี้ที่หยุดเดินตั้งแต่ก้าวไปได้ไม่ถึงสิบก้าว หันหลังกลับไปมองผู้ชายที่เดินลงบันไดตึกเรียนไปพลางยิ้มตัวเอง

ปาร์คชานยอลอาจจะเป็นจอมวายร้ายที่ใจดีเกินกว่าที่ใครจะรู้ก็เป็นได้





♡♬





แบคฮยอนกำลังเคี้ยวไก่คาราอาเกะที่คุณอาทอดใส่กล่องให้เป็นอาหารกลางวันคำโต ตอนที่คยองซูกำลังเล่าให้ฟังเกี่ยวกับชื่อเสียงอันเลื่องลือของผู้ชายที่เขาเพิ่งลงชื่อเข้าร่วมชมรมดนตรีสากลเป็นวงเดียวกันเมื่อสัปดาห์ก่อน

“เมื่อวานที่ฉันซ้อมทำข้อสอบอยู่น่ะ ได้ยินเรนะเล่าให้ยูจีนฟัง...ที่จริงก็เล่าให้ฟังทั้งโต๊ะนั่นแหละ บอกว่าปาร์คชานยอลทิ้งผู้หญิงคนล่าสุดที่คบเรียบร้อยแล้ว”

“ใครเหรอ?”

“ก็ไอ้ปากห่วยปาร์คชาน—โอเค ขอโทษนะดับเบิ้ลบี ฉันเข้าใจผิด รุ่นพี่แทฮาน่ะ ปีสามห้องเอ ที่เป็นนักบัลเลต์ของโรงเรียน”

“โรงเรียนเรามีนักบัลเลต์ด้วยเหรอ?”

“มีสี โรงเรียนเรามีชมรมเต้น แล้วในชมรมก็แยกออกเป็นแจ๊ส บัลเลต์อะไรแบบนั้นน่ะ” คยองซูอธิบายให้เขาฟัง “เรนะบอกว่าพี่แทฮาน่ะเข้าหาไอ้ห่วยนั่นก่อน แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ฟังแล้ว เจอข้อยากน่ะ”

“แล้วชานยอลไม่มีคนที่ชอบเหรอ? ทำไมถึงต้องคบกับคนที่เข้าหาตลอดเลย”

“ไม่รู้สิ ฉันไม่ค่อยชอบขี้หน้าหมอนั่นเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เกลียดนะ แต่นายเข้าใจใช่ไหมว่าฉันไม่ชอบคนแบบนี้”

“นายไม่ชอบคนนิสัยไม่ดี แต่ใครก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ” ข้าวผสมงาดำที่ถูกปั้นเป็นขนาดพอดีคำนั้นเข้าไปอยู่ในปากของแบคฮยอน “แต่ชานยอลก็ดีนะ เค้าให้ฉันเข้าชมรมด้วยไง”

“โกหกน่ะไม่ดีนะ ดับเบิ้ลบี”

“ฉันไม่ได้—”

“ให้ตาย เหนื่อยชะมัด!” มินซอกทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ พร้อมกับข้าวกล่องสีเขียวอ่อนของตัวเอง “ฉันต้องซ้อมฟุตบอลเพิ่มอีกหนึ่งวันต่อสัปดาห์!”

“สัญญาณของฤดูกาลแห่งการแข่งขัน!” แบคฮยอนช่วยมินซอกจัดกล่องข้าว “ซ้อมวันไหน?”

“วันศุกร์น่ะสิ วันเที่ยวของฉัน”

“โชคดี” คยองซูยิ้มล้อเลียนเพื่อนที่อยากจะเอาตะเกียบจิ้มตา “เอาหน่า...เดี๋ยวก็จบไป มันก็สนุกดีนะ”

“เออ ดับเบิ้ลบี ชานยอลฝากเซฮุนมาบอกฉันว่าให้บอกนายว่าวันนี้เจอกันที่ห้องชมรมตอนสี่โมงเย็น”

“อะไรนะ ห้องชมรมสี่โมงเย็นเหรอ?”

“รับสารถูกต้อง” มินซอกคีบกุ้งในกล่องของตัวเองมาให้เขา เอาไก่คาราอาเกะไป “อย่าลืมนะ ตั้งใจเข้าล่ะ”

ถึงจะเป็นความกังวลเล็กน้อยที่จะต้องพบเจอกับปาร์คชานยอลตอนสี่โมงเย็น แต่ว่ามันก็เป็นความสุขเล็กๆ และความตื่นเต้นในใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในทุกนาทีที่เวลาช่วงบ่ายกำลังผ่านไป ถึงชานยอลจะเป็นคนนิสัยไม่ดี(ตามที่คยองซูบอก) แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ชานยอลก็ให้แบคฮยอนคนนี้เข้าชมรมด้วย ถ้าเกิดว่าไม่มีชานยอล เขารู้ว่าตัวเองคงเศร้าน่าดูที่ไม่มีโอกาสได้ร้องเพลงอย่างที่ใจรัก การร้องเพลงอยู่ที่บ้านก็อีกเรื่อง แต่การได้ร้องเพลงกับคนที่รักเสียงดนตรีด้วยกัน คงจะเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อยเลย

แบคฮยอนเคยถามคุณพ่อกับคุณอาว่ารับมือกับคนใจร้ายอย่างไรในวันแรกที่เขาโดนสิ่งที่เรียกว่าการรังแกในสังคมโรงเรียน

‘ท่านผู้นำอย่างเราก็แค่อย่าไปใส่ใจ’ คุณอาบอกกับเขา ‘คนเราน่ะ...ไม่เจ็บกับเรื่องไม่จริงหรอกนะ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็อย่าเก็บมาไว้ในใจเลย’

ท่านผู้นำแห่งบ้านบยอนอย่างเขาเชื่อคำของคุณอาอย่างสุดหัวใจ ดังนั้นต่อให้ปาร์คชานยอลจะใจร้ายกับเขามากแค่ไหน มันก็อาจจะเป็นเพราะนิสัยของเจ้าตัว ไม่ใช่เพราะแบคฮยอนคนนี้ไม่ดีหรอก ชานยอลไม่มีวันรู้ว่าเขาดีหรือไม่ดี เพราะว่าเราไม่รู้จักกันมาก่อน

“ฉันช่วย” เขาหยิบแปรงลบกระดานมาลบตัวอักษรภาษาเกาหลีที่อยู่บนกระดาน “ให้เอาขยะไปทิ้งให้ไหม?”

“ไม่ต้อง คนอื่นมีตั้งเยอะ นายไม่ได้เวรวันนี้นะ” คยองซูที่เป็นเวรทำความสะอาดประจำวันนี้บอกกับเขา “ไปห้องชมรมสิ อย่าหาเรื่องให้มันมาว่าได้”

“อีกตั้งสิบนาที” แบคฮยอนดูนาฬิกาแล้ว “ถ้างั้น...ไปซื้อไส้กรอกก่อนนะ”

“เออ พรุ่งนี้เจอกัน”

แบคฮยอนสะพายกระเป๋านักเรียน โบกมือลาคยองซูที่กำลังลบกระดานตามหน้าที่ ส่วนมินซอกนั้นล่ำลากันไปตั้งแต่ยี่สิบนาทีก่อน เพราะเจ้าตัวต้องรีบไปเปลี่ยนชุดที่ชมรม ซ้อมให้หนักสมกับตำแหน่งนักเตะแข้งทองประจำโรงเรียนของเรา

ร้านขายของกินเล่นบริเวณที่ขายของของโรงเรียนนั้นมีแบคฮยอนเป็นลูกค้าประจำในวันที่มีเรียนตามปกติ ทุกเย็นก่อนจะนั่งทำการบ้านกับเพื่อน เขาจะมายืนต่อแถวเพื่อซื้อไส้กรอกหมูรมควันสองไม้ และน้ำผลไม้ตามใจอยากสักขวดเพื่อรองท้องก่อนจะกลับไปกินมื้อเย็นแสนอร่อยที่บ้าน

“แบคฮยอน เหมือนเดิมนะ?”

“ครับ วันนี้ขอน้ำส้มครับ”

กว่าจะซื้อของเสร็จและเดินไปที่ชมรมดนตรีสากล นาฬิกาข้อมือของแบคฮยอนก็บอกเวลาสี่โมงหนึ่งนาทีแล้ว และตรงนั้นก็มีผู้ชายตัวสูงยืนกอดอกอยู่ ท่าทางไม่สบอารมณ์นักทำเอาเขาขนลุกขึ้นมาเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูกใจ ด้านข้างมีกระเป๋าสีดำใบใหญ่ที่เปลี่ยนความรู้สึกแปลกเป็นความตื่นเต้น เพราะเขารู้ว่ามันเป็นกระเป๋าใส่กีตาร์ที่วันนี้เจ้าตัวคงเอามาเล่นที่ชมรม

“เราจะมาซ้อมกันเหรอ?” แบคฮยอนเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่ “ฉันไม่เคยมีเพื่อนซ้อมร้องเพลงเลย!”

“สกปรก” ชานยอลจ้องหน้าเขา สายตาหลุบมองต่ำที่ริมฝีปาก “ซอสมะเขือเทศเลอะ...ตรงนี้”

“โอ้ ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงถูกใช้ในการเช็ดซอสมะเขือเทศเลอะๆออก “ขอบใจนะ”

“รีบกินให้หมด เค้าไม่ให้เอาของกินเข้า”

ทันทีที่ได้ยินว่าเอาของกินเข้าไปไม่ได้ ไส้กรอกชุ่มซอสมะเขือเทศไม้สุดท้ายก็ถูกยัดเข้าไปในปากเล็กๆที่อ้าได้กว้างเกินกว่าใครจะคาดคิด และภายในสองคำแบคฮยอนก็กินมันได้หมด สายตาที่มองกันอย่างดูถูกนั้นทำให้รู้ว่าชานยอลไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำเลยแม้แต่น้อย

“น่าเกลียด”

แบคฮยอนพยายามเคี้ยวไส้กรอก ลิ้มรสชาติแห่งความอร่อย ก่อนจะกลืนมันลงท้องไปพร้อมกับการส่งยิ้มให้ชานยอลที่ไม่ได้ยิ้มกลับมาให้สักนิด

“หมด...แล้ว”

“เช็ดปากด้วย”

ห้องของชมรมดนตรีนั้นเป็นห้องที่เรียกได้ว่าใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโรงเรียน เพราะมีไว้สำหรับเก็บเครื่องดนตรี มีไว้สำหรับให้เด็กสามารถซ้อมกันได้หลาย ๆ วง แบคฮยอนเองก็เดินตามชานยอลเข้าไปในห้อง มองคนเดินอยู่ข้างหน้าเหมือนกับที่คนอื่นภายในห้องกำลังมอง จนกระทั่งเจ้าตัวทรุดนั่งลงที่มุมหนึ่งของห้อง ไกลจากคนอื่นที่เป็นสมาชิกชมรมเหมือนกันเพราะต่างคนต่างถือเครื่องดนตรีแต่ละชนิดที่ตนถนัด เขาเห็นฟลุ๊ต เห็นทรัมเป็ต เห็นกีตาร์ อูคูเลเล่ เบส หรือแม้แต่คนที่กำลังใช้ไม้กลองตีลงบนแป้นซ้อมกลอง ทุกคนต่างก็มีเครื่องดนตรีเป็นของตัวเองทั้งนั้น

วันนี้แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะมีซ้อม ไม่ได้เตรียมตัวมาเลย ในกระเป๋าของเขามีแต่หนังสือเรียน สมุดการบ้านและกล่องใส่ดินสอเท่านั้น

“ขอโทษนะ ไม่รู้ว่าจะซ้อมก็เลย—”

“ไหนว่าอยากเข้านักเข้าหนา ความกระตือรือร้นไม่มี”

“...”

“โคตรเหลือเชื่อเลยที่ฉันต้องมาติดอยู่กับนาย เพราะไอ้เซฮุนหรอกนะ...”

“เซฮุนทำไมเหรอ?” แบคฮยอนสงสัยกับสิ่งที่ชานยอลพูดออกมา คนพูดเองก็ดูไม่ได้อยากจะตอบเท่าไหร่ ดวงตาโตเหลือบมองขึ้นบนเพดาน ก่อนจะใช้มันมองหน้าเขา

“มันขอให้ฉันช่วยนาย ปกติแล้วฉันไม่ช่วยใคร แต่ถ้ามันขอ...ฉันก็ต้องทำ ถึงจะโคตรไม่อยากทำ ฉันก็ต้องทำ”

“ฉันเข้าใจนะ มินซอกเคยขอให้ฉันช่วยเป็นคู่ซ้อมเตะบอลให้ ฉันเองก็ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ มันไม่ได้เป็นความรู้สึกว่าไม่อยากทำทำไมไม่บอกนะ แต่ว่าทำก็ได้แหละแต่ก็ไม่อยากทำ แต่ฉันเข้าใจนายนะ”

“ไม่ นายไม่เข้าใจหรอก”

“ฉันเข้าใจ แล้วฉันก็ขอบใจมาก ๆ ที่นายช่วยฉัน อยากให้ฉันช่วยหรือทำอะไรก็บอกได้เลยนะ ฉันทำให้ได้ทุกอย่างเลย”

“ทุกอย่าง?”

“อื้ม ถ้าฉันช่วยได้ฉันก็จะ—”

“พรุ่งนี้สองทุ่มที่สแควร์ ห้ามเลท”

“แต่ฉันออกจากบ้านหลังหนึ่งทุ่มไม่ได้นะ มันไม่ปลอดภัย” มันเป็นกฎของบ้านบยอนที่ว่าทุกคนต้องกลับบ้านก่อนหนึ่งทุ่มเพื่อความปลอดภัยในการใช้ชีวิต ท่านผู้นำอย่างเขาไม่ควรผิดกฎเด็ดขาด

“ไปเลือกเพลงมาว่าอยากจะร้องอะไร หาคอร์ดมาให้ด้วย”

“แต่ว่าพอพระอาทิตย์ตกดินแล้วมันคือยามวิกาล—”

“หุบปากอ้วนๆของนายไปซะ” แบคฮยอนไม่เข้าใจ ปากของเขามันไม่ได้อ้วนสักหน่อย ปากมันอ้วนไม่ได้นะ “หาเพลง อย่าไร้ประโยชน์”

โทรศัพท์ของแบคฮยอนถูกหยิบขึ้นจากกระเป๋ากางเกง รวมถึงหูฟังสีขาวที่อยู่ในกระเป๋าช่องหน้า เขากดเข้าคลังเพลงในโทรศัพท์ พยายามคิดถึงเพลงที่ชอบ เพลงที่อยากจะร้อง แล้วคิดถึง...ปาร์คชานยอลด้วย คนคนนี้ชอบเพลงแบบไหนกันนะ

ชานยอลมีคอร์ดที่แบคฮยอนพยายามมองแล้วแต่ไม่รู้ว่ามันคือเพลงอะไร มีกีตาร์คลาสสิกที่เข้ากับเจ้าตัวได้เหมือนเป็นมือข้างที่สาม ท่าทางที่เหมือนอยู่ในโลกของตัวเองแบบนี้ ปากที่พึมพำ นิ้วที่ขยับไปตามสาย ตาที่หลับลงเพื่อดื่มดำกับอารมณ์แห่งสุนทรียภาพ เพียงแค่ได้เห็นเขาก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้รักในเสียงดนตรีมากแค่ไหน

และแบคฮยอนตกใจที่ดวงตาของชานยอลกับดวงตาของเขาสบกัน โทรศัพท์เกือบจะหลุดออกจากมือแต่เขาก็ยั้งมันเอาไว้ได้

“นายชอบเพลงแบบไหนเหรอ?”

“ทำไม?”

“ฉันคิดว่ามันคงจะดี ถ้า...ถ้ามันจะเป็นเพลงที่เราชอบเหมือนกัน”

“แล้วนายคิดว่าจะเลือกมาเพลงเดียวแล้วมาโยนใส่หน้าฉันรึไง?”

“ฉัน...เปล่า” แบคฮยอนไม่ได้คิดแบบนั้น เขาก็แค่ถาม

“เลือกมา ห้าเพลงก็ได้ แล้วฉันจะเลือกสองเพลงที่ชอบ”

“เข้าใจแล้ว ฉันจะตั้งใจนะ!” เขาเข้าใจชานยอลแล้ว “แล้วฉันจะได้เลือกสองเพลงจากนายไหม?”

“ไม่”

“โอเค”

แบคฮยอนมีเพลงที่ชอบหลายเพลง เพลงที่เขาโหลดเก็บเอาไว้เกือบห้าร้อยเพลงนั้นเป็นเพลงที่เขาชอบทุกเพลง การเลือกให้เหลือห้าเพลงนั้นเป็นอะไรที่เจ็บปวดสำหรับหัวใจของเขามาก แต่ถ้าเกิดว่าไม่เลือก จะให้ชานยอลเลือกให้จากห้าร้อยเพลง แบบนั้นมันคงไม่ดีเท่าไหร่ ชานยอลบอกให้เขาเลือกเพลงที่ชอบ ถ้าจะให้ชานยอลเลือก ชานยอลจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาชอบเพลงอะไร

อีกอย่าง แบคฮยอนต้องคิดถึงเรื่องที่จะขอคุณพ่อกับคุณอาเรื่องไปถึงที่หมายตามนัดของชานยอลตอนสองทุ่ม และนั่นหมายถึงเรื่องเขาจะกลับบ้านหลังสองทุ่มด้วยเพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลับก่อน คุณพ่อกับคุณอาจะว่ารึเปล่านะ แต่ชานยอลเป็นคนที่มีบุญคุณกับเขา นึกภาพว่าได้มานั่งอยู่ในชมรมตรงนี้ไม่ออกถ้าไม่มีปาร์คชานยอล แบบนั้นทั้งสองคนน่าจะเข้าใจท่านผู้นำอย่างเขา คุณพ่อบอกว่าใครดีกับเรา เราต้องดีกับเขาให้มากยิ่งกว่า ตอนนี้ชานยอลต้องการความช่วยเหลือ ต้องเข้าใจอยู่แล้วล่ะ

“นายเล่นเพลงอะไรเหรอ?” แบคฮยอนสนใจเพลงของชานยอล เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ไม่ต้องยุ่ง”

“ฉัน...ก็แค่อยากรู้” เขาไม่ได้ยุ่งสักหน่อย “ถ้านายไม่อยากบอก—”

“ช่วยลืมตาดูได้ไหมว่าฉันกำลังใช้สมาธิ ถ้าจะหุบปากตัวเองไม่ได้ก็ออกไปอยู่ข้างนอก มันน่ารำคาญ”

แบคฮยอนจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ถ้าเกิดว่ามันจะทำให้ผู้มีพระคุณของเขาต้องปวดหัว หรือว่ารำคาญในสิ่งที่เขาพูดออกไป

ควรจะคิดถึงเรื่องพรุ่งนี้สินะ ให้ตาย...แบคฮยอนไม่เคยอยู่นอกบ้านตอนสองทุ่มเลย แล้วนัดสองทุ่มจะถึงบ้านกี่โมงกันล่ะ สี่ทุ่มไม่ได้หรอกนะ ตอนนั้นต้องนอนกอดขนปุยอยู่บนเตียงแล้ว!





♡♬





“ท่านผู้นำบอกพ่อว่าอะไรนะ?”

“แบคบอกว่าจะต้องออกไปตามเพื่อ—ไม่สิ ตามที่ผู้มีพระคุณนัดตอนสองทุ่ม” แบคฮยอนบอกกับคุณพ่อที่รัก ในขณะที่กำลังมีความสุขกับเนื้อสับทอดฝีมือคุณอา “เค้าต้องการความช่วยเหลือ”

“แต่ดับเบิ้ลบี กฎก็คือกฎ พ่อรู้ว่ามันสำคัญ แต่เรา—”

“ไม่เอาหน่า ผู้มีพระคุณอยู่เหนือกฎของบ้าน” แบคฮยอนยิ้มเมื่อได้รับการเข้าข้างจากคุณอาสุดหล่อ “เค้าทำอะไร สุดน่ารักของอาถึงได้บอกว่ามีพระคุณ?”

“สุดยอดชานยอล แบคเล่าแล้ว”

“ชมรมดนตรีสากลเลยนะพี่ ทำร้ายดับเบิ้ลบีได้ลง?”

“นะ พ่อนะ ถ้ามันไม่จำเป็นชานยอลคงไม่พูด” เขาละมือจากตะเกียบ กอดแขนพ่อและเอนหัวลงไปซบที่ไหล่ “นะ คุณพ่อจ๋า”

“พ่อจะให้อาไปส่งแล้วจะให้ไปรับด้วย จะโทรหาทุกสามสิบนาที ถ้าไม่รับจะลงโทษตามกฎด้วยการกินสลัดผักหนึ่งอาทิตย์ ทราบไม่ทราบ?”

“ทราบ!” แบคฮยอนแสนจะมีความสุข สบสายตากับคุณอาที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน “ที่สแควร์นะอา ห้ามสาย ชานยอลไม่ชอบรอ”

“รีบกินแล้วไปอาบน้ำเถอะ เราน่ะชอบเล่นน้ำเพลิน กินข้าวเช้าก็ต้องรีบยัดเพราะจะไม่ทันรถ ทำมาเป็นพูดดีนะ”

“เปล่าสักหน่อย! ที่แบครีบยัดเพราะว่าคุณพ่อทำไข่อร่อยต่างหาก”

แบคฮยอนใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการอาบน้ำ เขาเล่นอยู่ในอ่างอาบน้ำกับเป็ดสามตัว บับเบิ้ลบาธกลิ่นมะพร้าว นั่งร้องเพลงอยู่ในนั้นจนอาเข้ามาเคาะประตู บอกว่าแถวสแควร์รถติดมากนะท่านผู้นำ อย่างน้อยก็ต้องออกจากบ้านล่วงหน้าก่อนถึงเวลานัดครึ่งชั่วโมง เขาถึงได้ลุกขึ้น เอาผ้าเช็ดตัวห่อตัวแล้วออกมาเลือกเสื้อผ้าในตู้ เกือบจะคว้าชุดนอนมาใส่เพราะความเคยชิน แต่สุดท้ายก็เลือกเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงขาสั้นประมาณเข่า คว้าของจำเป็นก่อนจะวิ่งลงไปข้างล่างทั้งหัวเปียก ๆ พอคุณพ่อเห็นแบบนั้นก็ไม่อนุญาตให้ไป สั่งให้คุณอาไปหยิบไดร์เป่าผมมาเป่าให้เขาจนกว่าจะแห้งถึงจะยอมให้ออกจากบ้านได้

กว่าจะกลับรถแล้วมาติดไฟแดงอยู่ตรงนี้ ตัวเลขดิจิตอลบนรถก็บอกเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบเจ็ดนาทีแล้ว

“ผู้นำเลือกเพลงได้รึยัง ที่จะเอาไปให้เพื่อนเลือกต่อน่ะ”

“ยังเลย เพลงที่ชอบมันเยอะมากๆ เสียใจแทนเพลงที่ไม่ถูกเลือก” รถบนถนนเยอะมากจนแบคฮยอนกังวล “คุณอา ทำไมรถไม่ขยับ?”

“ท่านผู้นำครับ เราติดไฟแดงอยู่ และนี่คืนวันเสาร์ อาเตือนแล้วว่ารถมันเยอะมาก”

ถ้าแบคฮยอนไปสาย ชานยอลจะโกรธไหมนะ อีกอย่างเขาไม่รู้ว่าในสแควร์ที่กว้างใหญ่นั้น ชานยอลไปนั่งอยู่ตรงไหน ยืนอยู่ตรงไหน หรือเดินอยู่ตรงไหน ถ้าเกิดว่าจะไปสายขึ้นเพราะตามหาชานยอล เขาจะโดนว่าว่าไม่ได้เรื่องรึเปล่า

“คุณอา ปกติแล้วเวลานัดกันที่สแควร์ จะไปเจอกันตรงไหนเหรอ?”

“อืม...น้ำพุ หน้าร้านขายขนมที่กินยาวสี่บล็อก อาเคยนัดกับเพื่อนแค่ตรงนั้น เพราะใครก็รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน” คุณอาสุดหล่อหันมายิ้มให้เขา “ทำไม ท่านผู้นำนัดเพื่อนว่าให้ไปเจอที่สแควร์รึไง ต่อให้เป็นคนน่ารัก เดินสามวันก็ไม่เจอเพื่อนหรอกนะ”

“งั้นแบคควรจะไปนั่งที่น้ำพุใช่ไหม?”

“ลงเดินเร็วท่านผู้นำ ถ้าจะรอให้อาวนไปถึงข้างหน้า เราคงจะได้เจอเพื่อนตอนสามทุ่ม”

แบคฮยอนตัดสินใจลงจากรถเมื่อคุณอาจอดรถชิดขอบทางให้ ทางที่ลงเองก็เป็นส่วนหนึ่งของสแควร์ เพียงแต่มันยังไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของพื้นที่ที่ทางสแควร์มี เขาเดินผ่านร้านขายรองเท้าที่ทำให้ต้องเดินย้อนกลับมา จ้องรองเท้าสีลูกกวาดผ่านกระจกกั้นร้าน มันน่ารักดีได้มองเห็นสิ่งที่ได้อยากได้ในมุมมองที่เราเอื้อมไม่ถึง สองสามวันถัดจากนี้ไปคงจะไม่อยากได้มันแล้ว แต่มันก็คงจะเป็นรองเท้าในแบบที่ชื่นชอบอยู่เสมอ ถัดจากร้านขายรองเท้าเป็นสารพัดร้านเสื้อผ้าที่ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก เวลาที่มาซื้อเสื้อผ้า แบคฮยอนจะมากับคุณพ่อไม่ก็คุณอา ไม่เสียเงินเองแถมยังมีคนช่วยเลือกให้ เป็นท่านผู้นำที่แสนยิ่งใหญ่

จุดนัดพบหน้าร้านขายขนมที่กินพื้นที่เทียบเท่ากับร้านขายเสื้อผ้าชื่อดังสองร้านของสแควร์แห่งนี้ ไม่มีใครที่หน้าตาเหมือนปาร์คชานยอลยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีสักคนที่จะเป็นชานยอลได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านซ้ายหรือด้านขวาก็ไม่มีชานยอล และเมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ช่องนาทีที่มีเลขสิบขึ้นอยู่นั้นทำให้แบคฮยอนรีบออกตัววิ่งไปยังจุดนัดพบที่สำคัญอีกแห่งตามที่คุณอาแนะนำมา น้ำพุสวยงามที่มีกามเทพสองตัวถือคันศรขึ้นฟ้าเป็นแนวทแยง เป็นจุดศูนย์กลางของสแควร์แห่งนี้ แบคฮยอนเคยมาโยนเหรียญที่นี่ทุกปีในวันคริสต์มาสอีฟ อธิษฐานให้สมาชิกบ้านบยอนทุกคนมีแต่รอยยิ้มและความสุขในชีวิต

แบคฮยอนทรุดตัวนั่งลงบนขอบฐานน้ำพุ กวาดสายตาไปทั่วเพื่อมองหาใครสักคนที่อาจจะเป็นปาร์คชานยอล บางทีชานยอลอาจจะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับปัญหารถติดในคืนวันเสาร์แบบที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้น การที่แบคฮยอนนั่งอยู่ตรงนี้ คงจะทำให้เราเจอกันง่ายขึ้น ชานยอลจะต้องหาเขาเจอแน่ๆ

แต่ไม่เลย...ชานยอลหาเขาไม่เจอ

ความกังวลใจทำให้แบคฮยอนไม่เป็นสุข เขาไม่รู้ว่าชานยอลอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเขาเป็นฝ่ายที่หาชานยอลไม่เจอหรือว่าไปให้ชานยอลเจอไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนนี้ชานยอลจะโมโหหรือโกรธกันไปแล้วรึยัง แต่แบคฮยอนไม่กล้าจะโทรหามินซอก บอกให้บอกเซฮุนว่าขอช่องทางการติดต่อของชานยอลหน่อยได้ไหม มินซอกซ้อมฟุตบอลเหนื่อยและต้องการการพักผ่อน เซฮุนเองก็เหมือนกัน เขาคิดถึงเพื่อนอีกคนคือคยองซู แต่ตอนนี้คงกำลังอ่านหนังสือ มันไม่ควรมีใครต้องมาลำบากกับเขา แต่ชานยอลอยู่ที่ไหนกัน

จะเป็นอะไรไปรึเปล่านะ เป็นห่วงเหลือเกิน ถ้าอีกฝ่ายประสบอุบัติเหตุระหว่างมาที่นี่ มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าชานยอลจะอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่สิ...คิดอะไรแบบนั้นไม่ได้นะแบคฮยอน ชานยอลจะไม่เป็นอะไรหรอก ชานยอลอาจจะแค่หาเขาไม่เจอ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

แบคฮยอนนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา มองร้านค้าที่เปิดไฟสว่าง ท้องฟ้าที่ไร้ดวงดาวในแบบที่เป็นมาตลอดเพราะแสงไฟจากเมืองหลวงที่สว่างเกินไป เขาคิดจะเดินตามหาชานยอล แต่ถ้าเจ้าตัวมาที่นี่แล้วเราคลาดกัน ถ้าเป็นแบบนั้นจะทำอย่างไร แบคฮยอนไปไหนไม่ได้หรอก ต้องนั่งอยู่ตรงนี้ นั่งรอชานยอลมาหา

โทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมาในกระเป๋ากางเกงทำให้ตกใจ แต่พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าเป็นคุณพ่อที่โทรมาเป็นครั้งที่สามด้วยความเป็นห่วงท่านผู้นำคนนี้

(จะกลับหรือยัง?)

“ยัง แบค...กำลังสนุกเลย” แบคฮยอนจะลงโทษตัวเองด้วยการไม่กินช็อกโกแลตหนึ่งสัปดาห์ เพราะเขากำลังโกหกคุณพ่ออยู่ “ชานยอลบอกว่า...กำลังสนุกเหมือนกัน”

(อย่าเกินห้าทุ่มนะ พ่อให้ได้แค่นั้น เข้าใจนะดับเบิ้ลบี?)

“เข้าใจครับ บอกคุณอาว่ามารับแบคตอนห้าทุ่มได้เลย”

รอยยิ้มหายไปเมื่อวางสายจากคุณพ่อ เขากังวลมากขึ้นทุกนาทีที่นั่งอยู่ตรงนี้ นับจากเวลานัดนี่ก็ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงกับอีกสามสิบห้านาทีแล้ว ชานยอลอยู่ที่ไหนกัน ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดมันจะต้องไม่เป็นแบบนั้น ถึงจะหยุดคิดเรื่องร้ายๆไม่ได้ แต่เขาก็ภาวนาอยู่ในใจ ขออย่าให้มันเป็นแบบนั้นเลย

ภาพในหัวของแบคฮยอนนั้นมีเหตุการณ์แสนสาหัสอยู่เต็มไปไปหมด รถชนจนตัวลอย มอเตอร์ไซค์เฉี่ยวแล้วรถชนอีกที กำลังเดินมาแล้วล้มไปบนถนนโดนรถเหยียบ หรือว่าทางออกจากบ้านเปลี่ยวแล้วโดนดักซุ่มแทงจนเป็นแผลเหวอะ ตอนนี้นอนหายใจรวยรินอยู่ที่พื้น คุณพ่อบอกเขาว่าผู้ร้ายจะเริ่มเล็งเหยื่อในช่วงคนพลุกพล่านตอนสองทุ่ม กำจัดเหยื่อที่เล็งไว้ทีละคน ทีละคน จนเหลือคนสุดท้ายที่โดดเดี่ยวมากที่สุด เข้าถึงง่ายและท่าทางอ่อนแอ คนแบบนั้นแหละที่จะโดนทำมิดีมิร้ายในช่วงเวลาสี่ทุ่มพอดี

ชานยอลไม่ใช่คนอ่อนแอ เข้าถึงง่ายยิ่งแล้วใหญ่ มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าเกิดว่ามากันหลายสิบคนแล้วชานยอลจะสู้ได้ไหม มันจะเป็นอย่างไรถ้าชานยอลจะต้องเจ็บตัว หรือว่าแบคฮยอนควรจะบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อดีนะ บอกคุณอาว่าให้ไปช่วยชานยอลหน่อย ถึงเราจะไม่รู้ว่าชานยอลอยู่ที่ไหน แต่อย่างน้อยแบคฮยอนก็รู้ว่าชานยอลอยู่ในเกาหลีใต้ เราจะต้องหาเจอแน่ ๆ

แบคฮยอนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ตั้งใจว่าจะโทรศัพท์กลับไปหาคุณพ่อ แต่สิ่งที่หยิบออกมาได้กลับเป็นเหรียญเงินห้าร้อยวอนกลมเกลี้ยงหนึ่งเหรียญ เหรียญที่ทำให้เขากำมันไว้แนบอก อธิษฐานอยู่ในใจว่าขอให้ชานยอลปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ชานยอลจะไม่โดนรถชน ไม่โดนมอเตอร์ไซค์ชน ไม่โดนใครทำร้าย ไม่...

“ทำอะไร?”

เขาโยนเหรียญลงไปในน้ำ หันไปตามเสียงที่ได้ยิน ตอนนั้นเองที่แบคฮยอนรู้ได้ว่าความดีใจมันเป็นอย่างไร มันเหมือนมีใครมาจุดพลุที่กลางอกของเขา และมันส่งผลให้แขนทั้งสองข้างไปเกาะอยู่ที่เอวของคนที่ถามเขาว่าทำอะไร

“ชานยอล!” ความดีใจมันเต็มตื้นไปหมด “ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม เจ็บตรงไหนรึเปล่า เราเป็นห่วงแทบแย่ กลัวว่านายจะเป็นอะไรไป!”

“...”

“เรากลัวไปหมด กลัวว่า...เรากลัว...” แบคฮยอนเงยหน้ามองคนที่ไม่พูดอะไร “กลัวว่านายจะไม่มา”

“ก็มาแล้วไง” ชานยอลผลักแบคฮยอนออกให้ห่างจากตัว มองกันด้วยสายตาเรียบเฉย “ไม่ได้เป็นอะไร”

“นายจะให้เราช่วยอะไรเหรอ? ตอนนี้...สามทุ่มสี่สิบห้าแล้ว ยังทันอยู่ไหม แต่ว่าคุณอาของเราจะมารับตอนห้า—”

“ไปนอนด้วยดิ”

“นอนที่ไหน ที่นี่นอนไม่ได้นะ ตอนกลางคืนมันหนาว”

“ไอ้เบ๊อะ ฉันหมายถึงจะไปนอนบ้านนาย” ชานยอลทำหน้าเหมือนโมโหกันอีกแล้ว แล้วใครจะไปเข้าใจ อยู่ ๆ ก็บอกว่าจะไปนอน เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไปนอนที่ไหน “ไง?”

“ก็ได้” มินซอกก็ชอบมานอนบ้านแบคฮยอนเวลาที่ซ้อมฟุตบอลดึก เพราะว่าบ้านของเขามันใกล้กว่าบ้านของมินซอกเยอะ “นาย...โอเคไหม?”

แบคฮยอนรู้ว่าตัวเองไม่ควรจะถาม แต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ไม่ทัน สิ่งที่เพิ่งพูดออกไปนั้นทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่ามันไม่ควรสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่าเราไม่ได้สนิทกันเลยแม้แต่น้อย ความจริงเขาก็คิดว่าชานยอลเป็นเพื่อน แต่บางทีชานยอลคงไม่ได้คิดอย่างที่เขาคิด แต่ไม่รู้สิ...แบคฮยอนมองข้ามแววตาไร้ความสุขของชานยอลไปไม่ได้ คุณพ่อเคยบอกว่าคนมีความทุกข์ต้องช่วยเหลือ มีความเศร้าต้องบรรเทาให้มีความสุข

“นายอยากกินไอศกรีมไหม?” แบคฮยอนคิดว่าของหวานจะเยียวยาทุกสิ่ง “เราเลี้ยงเองนะ”

“ไม่” ชานยอลปฏิเสธกัน แต่แบคฮยอนคิดว่าถ้าไปซื้อด้วยกันชานยอลอาจจะอยากกินขึ้นมาก็ได้

“เราเดินไปซื้อได้ไหม เราอยาก—”

“จะไปก็ไป ฉันไม่ไป”

เพราะชานยอลดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เจ้าตัวนั่งลงบนฐานน้ำพุด้วยท่าทางตั้งมั่น หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดโดยไม่สนใจว่าแบคฮยอนกำลังยืนอยู่ตรงนี้ แต่...เดี๋ยวเขาไปซื้อคนเดียวก็ได้

ร้านไอศกรีมคงปิดหมดแล้ว เพราะตอนนี้ใกล้จะถึงสี่ทุ่มที่เป็นเวลานอนของแบคฮยอน แต่เขากลับเดินเตร็ดเตร่อยู่ริมถนน เดินเข้าร้านสะดวกซื้อที่มีคนใช้บริการไม่ขาดสายเพราะเป็นทำเลย่านชุมชน แบคฮยอนเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้ไอศกรีม ปกติแล้วไม่เคยลังเลที่จะหยิบไอศกรีมปลาตัวใหญ่สอดไส้ถั่วแดงขึ้นมา แต่วันนี้เขากลับต้องมายืนจ้องบรรดาไอศกรีมในตู้ เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าชานยอลชอบกินอะไร ถ้าเกิดว่าไม่ชอบถั่วแดงแต่ชอบไส้วิปครีมเหมือนคยองซูล่ะ หรือว่าจะชอบแบบที่มีซอสช็อคโกแลตตรงกลางมากกว่า หรือชอบแบบหวานเย็นที่เป็นรสผลไม้ หรือว่าจะชอบไอศกรีมรสรัมลูกเกดแบบที่คุณอาของแบคฮยอนชอบ แต่ที่นี่ไม่มีรัมลูกเกดนี่หน่า

สุดท้ายแบคฮยอนก็ตัดสินใจหยิบไอศกรีมปลาอ้วนไส้ถั่วแดงขึ้นมาสองชิ้น ถ้าเกิดว่าชานยอลไม่กิน เขาค่อยเอากลับไปแช่ตู้เย็นที่บ้านก็ได้ แล้วค่อยเดินมาใหม่อีกทีถ้าเกิดว่าชานยอลยอมบอกว่าชอบกินไอศกรีมแบบไหน รสอะไร แบคฮยอนจะเดินมาซื้อให้อีกอัน ถ้าเกิดว่ามันจะทำให้ชานยอลรู้สึกดีขึ้น

ชานยอลทำหน้าเหมือนตอนที่คุณพ่อเครียดเรื่องงานที่ไม่เป็นไปตามคาดหมาย ตอนที่คุณอาโดนผู้หญิงคนที่หนึ่งพันสี่ร้อยแปดสิบห้าหักอก ตอนที่มินซอกกินข้าวไม่ลงเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังฟอร์มตกในการเตะฟุตบอล และตอนที่คยองซูสอบไม่ได้อันดับที่หนึ่งในวิชาสังคมเพราะตอบผิดไปสองข้อ

ชานยอลกำลังมีสีหน้าที่ไม่ดี และแบคฮยอนไม่ชอบมันเลย

“เราซื้อมาฝาก...” แบคฮยอนยื่นไอศกรีมปลาไปตรงหน้าชานยอลที่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ “นาย...เป็นอะไรรึเปล่า?”

“...”

“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ เราอาจจะช่วยได้นะ นายลองเล่าให้เราฟังหรือว่าบอกแค่ปัญหาอย่างเดียวก็ได้ หรือว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งเลิกกับแฟน นายเสียใจใช่ไหม เราปลอบคุณอาบ่อยเลยเรื่องนี้ บอกว่าผู้หญิงไม่ได้มี—”

“หยุดพล่ามสักที!” ไอศกรีมหลุดออกจากมือของแบคฮยอนเพราะชานยอลปัดมันทิ้ง เจ้าตัวลุกขึ้นยืนจนเขาต้องถอยออกไปหนึ่งก้าวเพราะไม่รู้ว่าชานยอลจะทำอะไร “เป็นห่าอะไรนักหนาวะ ไม่สบายใจแล้วมึงช่วยเหี้ยอะไรได้ จะมายุ่มย่ามอะไรนักหนาเรื่องคนอื่น สาระแน!”

แบคฮยอนเดินถอยหลังเพราะชานยอลก้าวเข้าหา เม้มปากกลั้นเสียงร้องในตอนที่ถูกมือใหญ่ผลักหัวอย่างแรงจนเหมือนฟาดมือลงมา เขาไม่อยากให้ชานยอลรู้ว่าเจ็บ ชานยอลอาจจะกำลังมีปัญหาในใจอยู่ก็ได้

“มึงอยากรู้นักใช่ไหม อยากรู้มากใช่ไหม ไอ้แบคฮยอน ไอ้ตัวน่ารำคาญ!” มือของชานยอลฟาดลงมาจนหัวของแบคฮยอนสะบัดอีกด้าน “กูทะเลาะกับแม่ แม่ด่ากู มึงช่วยอะไรได้ไหม มึงช่วยได้รึเปล่า!”

“เราไม่มีแม่”

“...”

“แต่จะพยายามช่วยให้ได้นะ แม่ของชานยอล...ว่าอะไรเหรอ?”

มือของชานยอลค้างอยู่กลางอากาศ เช่นเดียวกับสายตาที่ค้างอยู่ตรงหน้าของแบคฮยอนด้วย

“ทำไมมึง...ไม่มีแม่?”

“คุณพ่อบอกว่า...แม่ไปรักคนอื่นแล้ว ก็เลยต้องไปอยู่กับเค้า” แบคฮยอนไม่ได้เจ็บเท่าไหร่กับเรื่องนี้ เขาเป็นท่านผู้นำที่มีทั้งคุณพ่อและคุณอาเป็นลูกน้อง นั่นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว “แต่ฉันจำแม่ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนั้น...ก็ไม่เป็นไร”

ความเงียบก่อเกิดขึ้นเมื่อชานยอลไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาในสิ่งที่เขาพูดออกไป เจ้าตัวได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าของเขา ท่าทางผิดแปลกไปจนในใจของแบคฮยอนนึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง หรือว่าเรื่องที่เขามีไม่แม่นั้นจะทำให้ชานยอลโกรธเขากว่าเดิม ถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะทำอย่างไร

แบคฮยอนไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย เขาเกลียดความเงียบที่อาจนำมาซึ่งความทะเลาะเบาะแว้ง มันอึดอัดจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว เขาทนมันไม่ไหว

“เจ็บไหม?” คำถามของชานยอลทำให้แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองตรงที่ยืนอยู่ตรงหน้า หลังจากหยุดสายตาไว้ที่เสื้อยืดสีดำมานานหลายนาที

“อะไรเหรอ?”

“อย่าเอ๋อนัก! ...ที่ฉันตีนายไป”

“อ๋อ เราไม่เป็นไร ชานยอลล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า?”

“จะไปเป็นอะไรได้ไงวะ...” คนตอบมีท่าทีหงุดหงิดอีกครั้ง “ยกมือขึ้น”

“จะให้เรายกมือทำไม?”

“ตีฉัน ให้ตีคืน” ชานยอลก้าวเข้ามาใกล้เขามากกว่าเดิม “ฉัน...”

“ไม่เอาหรอก ชานยอลเอาไอศกรีมไปกินนะ ซื้อมาฝาก” แบคฮยอนยัดไอศกรีมใส่มือของชานยอล หันไปหาไอศกรีมอีกชิ้นที่คงตกอยู่ที่พื้น เขาไม่รู้ว่ามันตกไปไกลมากแค่ไหน เพราะมัวแต่สนใจชานยอลอยู่ “...ไอศกรีมไปไหน?”

“อะไร?”

“ไอศกรีมน่ะ อีกชิ้นไปไหน มันต้องอยู่ตรงนี้สิ” แบคฮยอนหาไอศกรีมไม่เจอ “ไม่ได้นะ แล้วจะกินอะไร...”

“คงมีคนหยิบไปแล้วมั้ง เอาอันนี้ไปกินก็ได้”

“ไม่เอา อันนี้มันของชานยอล”

“งั้นกินด้วยกัน”

แบคฮยอนได้ไอศกรีมมาไว้ในมือจากการแบ่งปันของชานยอล ไม่รู้ทำไมเพียงแค่อีกฝ่ายทำแบบนี้ เขาถึงได้กินไอศกรีมไปดีใจไป พอชานยอลถามว่ามีอะไร เขาก็ส่ายหน้าทั้ง ๆ ที่ยิ้มอยู่ โดนชานยอลผลักไหล่ด้วยแต่ว่าครั้งนี้มันเหมือนการหยอกมากว่าที่จะตั้งใจรังแกกัน

“ชานยอลจะไปนอนบ้านเราจริง ๆ ใช่ไหม?”

“ให้ไปรึเปล่า?”

“ให้ไปสิ แน่นอนอยู่แล้ว”

“...” แบคฮยอนสบตากับชานยอลที่มองหน้าเขาเหมือนตั้งใจจะพูดอะไร “ขอโทษจริง ๆ นะ ที่อารมณ์เสียใส่ ฉันไม่ควรทำกับนายแบบนั้น เรื่องที่ตีนายก็ด้วย”

“ไม่เป็นไร เราไม่โกรธ”

“จะไม่ทำอีก โอเคไหม?”

“โอเค” พอได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มออกมาได้ “ชานยอลไม่ต้องห่วงนะ เรารู้ว่าชานยอลเป็นคนดี”

“...”

“ขอบคุณจริง ๆ ที่ให้เราอยู่ชมรมดนตรีสากลด้วยนะ เราสัญญาว่าเราจะตั้งใจร้องเพลงให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ชานยอลต้องอายหรือว่าผิดหวัง เพราะว่าชานยอลให้โอกาสเรา เราขอบคุณมากจริง ๆ”

“นายนี่มัน...เออ จะเลิกอคติเหมือนกัน”

“ชานยอลน่ารักที่สุดเลย”

“อย่ามาพูดแบบนี้!”

“อ้าว ไม่ได้เหรอ” แบคฮยอนกลัวชานยอลจะโกรธ เขาไม่ได้ตั้งใจ “เราขอโทษนะ ชานยอลอย่าโกรธเรานะ”

“ไม่โกรธหรอก แต่...อย่ามาทำหน้าแบบนี้”

“แบบไหน เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย”

เอาเข้าจริงแบคฮยอนก็ไม่รู้ว่าหน้าในแบบที่ชานยอลไม่ชอบเป็นแบบไหน สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่ให้ชานยอลพาเดินไปยังจุดที่คุณอาจอดรถอยู่เพราะว่าเขาไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน แนะนำให้คุณอารู้จักชานยอล บอกว่าวันนี้ชานยอลจะไปนอนด้วยเพราะ...ชานยอลพูดเรื่องซ้อมดนตรีขึ้นมา แบคฮยอนก็เลยตัดสินใจเงียบเรื่องชานยอลมีปัญหากับที่บ้าน บางทีถ้าชานยอลยังไม่พูดมันก็คงจะเป็นสิ่งที่แบคฮยอนพูดไม่ได้ เขาควรจะต้องเงียบ ๆ เอาไว้

คุณอาไม่ได้ว่าอะไรแถมยังให้กีตาร์มายืมอีกต่างหากเพราะว่าแบคฮยอนไม่มีเป็นของตัวเอง หลังจากที่เรากลับมาถึงบ้านและท่านผู้นำอย่างแบคฮยอนก็วิ่งไปกอดพ่อและบอกราตรีสวัสดิ์เรียบร้อยแล้ว เขาก็มานั่งอยู่กับชานยอลในห้องนอนสี่เหลี่ยมของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี หรือว่าจะทำตามที่ชานยอลบอกเรื่องซ้อมดนตรีจริง ๆ

“ชานยอล...อยากเลือกเพลงไหม?”

“เอามาสิ”

“จริงเหรอ!” เขาดีใจมาก ตอนแรกชานยอลบอกให้เขาไปเลือกมาเอง แต่ตอนนี้จะช่วยกัน “อันนี้นะ ดีมากเลยนะ”

“นายชอบ?”

“อื้อ!”

“งั้นก็เล่นเพลงนี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปแกะคอร์ดมาก่อน แล้วเราค่อยมาลองเล่นด้วยกัน”

“แล้วเพลงอื่นล่ะ?” แบคฮยอนชอบหลายเพลงเลย ถ้าจะให้ร้องแค่เพลงเดียว เขาก็กลัวว่าเพลงที่เขาชอบเพลงอื่นจะเสียใจ

“ทีละเพลงสิ ใจคอจะให้แกะทุกเพลง จะเอาเวลาที่ไหนไปทำอย่างอื่น” ชานยอลเอ็ดเขาที่ตัวลีบลงเล็กน้อยแต่ก็ตั้งตรงใหม่เพราะว่าเจ้าตัวดูไม่ได้ว่าเขาจริง ๆ เหมือนว่าจะพูดไปอย่างนั้น

“งั้นเดี๋ยวเราหาคอร์ดให้ในเน็ตนะ ชานยอลลองเล่นดู”

“อยากทำอะไรก็ทำ”

“งั้นเราร้องเพลงนะ ร้องให้ชานยอลฟังก่อนไง”

“ตามสบาย” ชานยอลตอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเขา “แบคฮยอน...”

“อะไรเหรอ?”

“ขอโทษ ที่ทำนายแบบนั้น”

“...”

“ฉันไม่ควรทำแบบนั้นกับนาย ขอโทษ”

“เราไม่เป็นไร ชานยอลเครียดใช่ไหม เราก็เคยทุบหมอนเหมือนกัน ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ”

“นายนี่...”

“...”

“จริง ๆ เลยนะ”

ชานยอลเป็นคนแรกที่ไม่ใช่คนในครอบครัวและเพื่อนสนิทอีกสองคนที่ได้ฟังเขาร้องเพลง และเสียงกีตาร์ที่คลอไปด้วยนั้นทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจ ไม่เคยมีใครนอกจากคุณอาที่เล่นกีตาร์ให้เขาได้ร้องเพลงมาก่อน
ช่วงเวลาที่ได้สบสายตากับชานยอล

แบคฮยอนรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะลอยขึ้นไปบนฟ้าเลย





♡♬





“ไปสนิทกันตอนไหน?”

“อะไรเหรอ?”

“ดับเบิ้ลบี ทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ” คยองซูแกล้งเอามือทุบหัวเขาที่ยิ้มกลับไป “ชานยอลไง ทำไมเป็นแบบนั้น”

“เออ นั่นสิ ได้ยินตอนคุยกันแล้วงงเลย” มินซอกเองก็แปลกใจเหมือนกัน “คือฉันเคยได้ยินตอนชานยอลคุยกับเซฮุนก็แปลกใจแล้วนะ แต่พอได้ยินชานยอลคุยกับนายเหมือนที่คุยกับเซฮุนแล้วฉันแปลกใจกว่าอีก”

“ชานยอลเป็นคนดีนะ” เขาบอกกับเพื่อนที่ทำหน้าไม่เชื่อกัน “จริง ๆ ชานยอลดีมากเลย คอยช่วยเรื่องดนตรี การบ้านชานยอลก็ช่วยนะ แนะนำหนังสือ เลิกซ้อมดึกก็อยู่รอคุณอาด้วยกัน”

“แบคฮยอน คนทั้งโรงเรียนเรียกว่าจอมวายร้ายนะ”

“ไม่จริง เราเชื่อในสิ่งที่เราเห็น”

แบคฮยอนอยู่ชมรมดนตรีสากลกับชานยอลมาร่วมครึ่งเดือนแล้ว เราไม่ได้พบเจอกันมากในเวลาเรียนเพราะเราต่างคนต่างอยู่กันคนละห้อง เพียงแต่ในช่วงสัปดาห์ให้หลัง ชานยอลจะมายืนรอเขาที่หน้าห้องหลังเลิกเรียน แล้วเราจะไปซ้อมดนตรีด้วยกัน สามวันต่อสัปดาห์หรือน้อยกว่านั้น แล้วแต่ว่าเราจะสะดวกในช่วงเวลาไหน

ชานยอลโทรมาหาแบคฮยอนเป็นบางที และบางครั้งเขาก็โทรหาชานยอลแล้วก็แอบคุยกันไม่ยอมนอนจนถึงตีสาม คุยเรื่องดนตรีที่เราต่างคนต่างก็ชื่นชอบในรูปแบบเดียวกัน รวมถึงการโทรมาหาเขาตอนตีหนึ่ง บอกว่าออกมาเปิดประตูให้หน่อย จนสุดท้ายก็ต้องยอมพูดกับคุณพ่อว่าชานยอลมีปัญหา ท่านผู้นำอย่างเขาต้องให้ที่พึ่งพิง จะไม่นิ่งดูดายเด็ดขาด เพราะแบบนั้น...เราถึงได้สนิทกันมากขึ้นล่ะมั้ง

มันทำให้เขาได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนหนึ่ง...ที่ถึงแม้ว่าจะเคยพูดจาใจร้าย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว

“มันตีนายใช่ไหม มันบังคับนายแน่ ๆ”

“ไม่ใช่แบบนั้น ชานยอลไม่ตีเราหรอก” เขาส่ายหน้าให้คยองซู ถึงแม้ว่าจะเคยโดนตี แต่ว่ามันผ่านมาแล้ว “เป็นเพื่อนกันนะ”

“มีอะไรมาฟ้องเลยนะ จัดการให้!”

“อื้อ!” เพื่อนเป็นห่วงแบคฮยอนเสมอ มีเพื่อนน้อยแต่รักกัน แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว “ไปแล้วนะ วันนี้มีซ้อมร้องเพลงใหม่”

“มันยังไม่มารอเลยนี่”

“อ้าวเหรอ...” แบคฮยอนชะโงกหน้าออกไปมองนอกห้องเมื่อได้ยินมินซอกบอกแบบนั้น “งั้น...ไปซื้อไส้กรอกก่อนดีกว่า ถ้าเจอชานยอลฝากบอกด้วยน้าว่าเจอกันที่ห้องซ้อมเลย”

“นายก็ส่งข้อความไปสิ สนิทกันแล้วมีเบอร์กัน”

“คยองซูอ่ะ” เขายิ้มก่อนจะกอดแขนเพื่อนเอาไว้ “พรุ่งนี้เจอกันนะ”

แบคฮยอนไม่ค่อยได้กินไส้กรอกเท่าไหร่นับแต่วันที่เริ่มไปห้องซ้อมกับชานยอล เพราะว่าเขาไม่กล้าพูดว่าจะไปซื้อไส้กรอกนะ กลัวชานยอลจะว่าว่าเค้าไม่ให้เอาเข้า กินแล้วซอสก็เลอะปาก

เอาเข้าจริงเขารู้อยู่ในใจลึก ๆ ว่าชานยอลไม่ว่าหรอก แต่เขาก็แค่ไม่กล้าพูดนั่นแหละ พอไม่กินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกขาดอะไรไป แต่แค่วันนี้นึกอยากจะกินเท่านั้นแหละ

ระหว่างทางเดินไปข้างล่างเขาก็เจอกับเซฮุนเข้า เจ้าตัวลืมโทรศัพท์ไว้ใต้โต๊ะเลยจะขึ้นไปเอา พอถามว่าชานยอลไปไหน เซฮุนก็บอกว่าอยู่หลังตึก น่าจะคุยกับซูฮยอนอยู่ แบคฮยอนรู้จักซูฮยอนเหมือนกัน เป็นเพื่อนตัวสูงที่อยู่ชมรมบาส สนิทกับชานยอลเพราะเล่นกีฬาเหมือนกัน

ถ้างั้น...ไปหาชานยอลก่อนดีกว่า

แบคฮยอนเดินไปตามทางเดินที่เชื่อมกับด้านหลังโรงเรียนเพื่อไปยังส่วนที่เป็นชมรมเกษตรและชมรมกีฬาในร่ม เขาไม่รู้หรอกว่าชานยอลอยู่ไหน แต่ฝีเท้ากลับชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเพราะคุยกันอยู่ทุกวัน
แล้วเขา...ก็ได้ยินชื่อตัวเองด้วย

“แบคฮยอนน่ะเหรอ...ทำไมล่ะ?” เสียงนี้เป็นเสียงของชานยอล “เมื่อกี้ว่าไงนะ?”

“ก็ไม่ทำไมหรอก แปลกใจไม่ได้รึไง”

“แปลกใจอะไรวะ?”

“ดู...ไม่ใช่คนในแบบที่มึงจะสนิทด้วย” ซูฮยอนพูดไปหัวเราะไป “หรือว่าเค้าทำอะไรให้มึงได้”

“แบคฮยอนเนี่ยนะ? ทำอะไรได้ล่ะ ทำ...ให้ยิ้ม ทำให้สบายใจได้ล่ะมั้ง”

“ไอ้ห่า พูดอย่างกับคนมีความรัก”

“เอ้า มึงไม่รู้จักนี่ ก็กูคุยด้วยอยู่ทุกวัน ทะเลาะกับแม่ก็มาคุยกับแบคฮยอนเนี่ยแหละ น่ารักดี”

“ตอนแรกไหนบอกไม่ชอบ”

“ใครมันจะตอบตกลงคนไม่รู้จักให้มาเป็นภาระตัวเองวะ แต่ก็นะ...ตอนนี้รู้จักแล้วนี่”

เขาที่เป็นเจ้าของชื่อแบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองกำลังร้อนวูบวาบ หัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะด้วย ชานยอลพูดแบบนั้น...บอกว่าเขาน่ารัก แล้วก็...ทำให้ยิ้มได้

“ถึงว่า...ไม่ไปตีกับใครให้กูเห็นเลย”

“จริง ๆ เลยนะ จากทางที่จะไปมันต้องผ่านบ้านแบคฮยอน พอกูเห็นแล้วกูก็คิดว่า เออ...แวะดีกว่า ไปนอนฟังแบคฮยอนพูด แปปเดียวก็หลับแล้ว”

“ไอ้บ้านี่ ชอบแบคฮยอนรึไง?”

“...คงงั้นมั้ง”

“แบคฮยอน ไม่เดินเข้าไปอ่ะ?”

เสียงเซฮุนที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้เขาสะดุ้งสุดตัว พอหันกลับมาอีกทีก็สบสายตาเข้ากับชานยอลที่ยิ้มมุมปาก หันไปคุยกับซูฮยอนว่ามีคนแอบฟังด้วย

“เราไม่ได้แอบฟังนะ!” แบคฮยอนไม่ยอมรับ

“แล้วมายืนทำอะไร ทำไม่เดินเข้ามา”

“ก็เรา...เรา...แต่ไม่ได้แอบฟังนะ!” เขาตอบชานยอล “ไม่ได้ยินอะไรเลย”

“แล้วหน้าแดงทำไม?”

“เปล่า...นะ...” เขาก้มหน้างุด ได้ยินเสียงหัวเราะจากทั้งชานยอลแล้วก็ซูฮยอน ก่อนที่จะมีแขนหนัก ๆ มาพาดไหล่เขาไว้

“ไปซ้อมดนตรีกัน”

“อื้อ...”

แบคฮยอนเคยเดินจับมือคุณพ่อ เคยเดินจับมือคุณอา คยองซูหรือว่ามินซอกเขาก็จับมาหมดแล้ว แต่ในวินาทีนี้ที่ชานยอลจับมือเขาเอาไว้ ถามว่าเดินลงมาทำอะไร มันทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นไม่ปกติแล้ว

“มาซื้อไส้กรอก”

“แล้วไปโผล่อะไรตรงนั้น”

“ก็เซฮุนบอกว่าชานยอลอยู่ตรงนั้น ก็เลยจะไปหาก่อน” แบคฮยอนพูดความจริงนะ เป็นท่านผู้นำแล้วไม่โกหก แต่เรื่องที่ไปยืนฟัง...จะทำเป็นไม่รู้

“งั้นไปซื้อไส้กรอกกัน”

“กินได้ใช่ไหม?”

“แล้วทำไมจะกินไม่ได้?”

“ก็...วันนั้นชานยอลไม่ให้—”

“ช่างวันนั้น มันผ่านมาแล้ว”

ไส้กรอกชุ่มซอสมะเขือเทศสองไม้มาอยู่ในมือของเขาเพราะชานยอลเป็นคนซื้อให้ ก่อนที่เราจะพากันเดินขึ้นไปยังห้องซ้อมดนตรี เจอพี่ชุนมีที่ตอนนี้ไม่ว่าอะไรเขาแล้ว...ความจริง พอรุ่นพี่รู้ว่าเขามากับชานยอล รุ่นพี่ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

ที่จริงแบคฮยอนก็อยากให้ทุกคนยอมรับเขาในสิ่งที่เป็นเขา แต่ถ้าทุกคนจะยอมรับเขาเพราะชานยอลมันก็คงไม่เป็นไร เพราะเขาก็ชอบชานยอลเหมือนกัน

“...ชานยอล” แบคฮยอนเรียกคนที่กำลังปรับสายกีตาร์อยู่ตรงหน้าเขา “ขอบคุณนะ”

“อะไร?”

“ที่...บอกว่าคงงั้นมั้ง ตอนที่...ซูฮยอนถาม” เขาพูดไม่ถูก รู้แค่ว่าอยากขอบคุณ “ไม่ค่อยมีใครชอบฉันเลย”

“...”

“ขอบคุณที่นายชอบฉันนะ”

“ใครไม่ชอบนาย?” ชานยอลมีท่าทีแปลกใจ “มีด้วย?”

“เยอะเลยล่ะ” แบคฮยอนไม่อายที่จะตอบ “เพราะว่าอยู่ลำดับที่เก้าสิบสาม...”

“ฉันบอกนายกี่รอบแล้วว่าอย่าใส่ลำดับให้ตัวเอง” ชานยอลเอายางลบที่อยู่บนหัวดินสอจิ้มจมูกเขา “นายเป็นที่หนึ่งในโลกของนาย”

“...”

“เข้าใจไหม ดับเบิ้ลบี?”

“เข้าใจ” เขาส่งยิ้มกว้างให้ชานยอล “เรามาซ้อมกันเถอะ!”

แบคฮยอนนั่งเลือกเพลงที่จะร้องในวันนี้ พอเลือกได้แล้วเราก็ซ้อมร้องแบบงู ๆ ปลา ๆ กันหนึ่งรอบเพื่อทบทวนจังหวะก่อนที่จะลองร้องจริง ๆ สิ่งหนึ่งที่สร้างกำลังใจให้เขานั้นคือการที่ได้ร้องคลอตามกีตาร์ของชานยอลไป ได้รับรอยยิ้มของคนที่เขาคิดว่าเล่นดนตรีเก่งที่สุดคนหนึ่ง พร้อมกับคำที่บอกว่าเก่งมาก ดีมากแล้ว

จอมวายร้ายมีจริงที่ไหน นั่นมันก็แค่เรื่องที่คนอื่นพูดกันไป ชานยอลเป็นจอมใจดีที่ดีกับเขามากต่างหาก ดีใจจังที่เราได้รู้จักกันแบบนี้

“ยิ้มอะไร?”

“มีความสุขนี่หน่า” แบคฮยอนก็แค่รู้สึกสุขใจ “ที่ชานยอลพูด พูดจริง ๆ เหรอ?”

“พูดอะไร?”

“ก็ที่พูดกับซูฮยอน”

“ไหนบอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลยไง”

“...” แย่แล้ว ท่านผู้นำ! “เราไม่ได้ยินนะ”

“ฮะ ๆ ไอ้คนนี้นี่...” ชานยอลยีผมเขาเสียจนยุ่งไปหมด อีกทั้งยังยิ้มตอนที่เห็นว่าเขาทำหน้าบึ้ง “แล้วฉันจะโกหกไปทำไม”

“...ไม่รู้สิ”

“ตอนนั้น...ฉันยอมรับว่าฉันทำตัวไม่ดีใส่นาย ยังโกรธอยู่รึเปล่า?”

“ไม่เคยโกรธเลย” คำตอบของเขาทำให้ชานยอลดึงเขาเข้าไปใกล้ “ทำไมเหรอ?”

“นายล่ะ?”

“เราทำไม?”

“เวลาอยู่กับฉันแล้วคิดอะไรบ้าง?”

“คิดเหรอ?” เขาพยายามนึกว่าตัวเองคิดอะไร “เราชอบอยู่กับชานยอล”

“...”

“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เหมือนว่าเราพูดภาษาเดียวกัน ทั้งเรื่องดนตรีหรือว่าเรื่องอื่น ๆ เราทั้งเรียนไม่เก่ง บางทีก็ตามไม่ทัน ชานยอลไม่เคยรำคาญเราเลย แล้วก็ยังช่วยเราทุกเรื่องด้วย เราดีใจมากเลยนะที่วันนั้นชานยอลบอกว่าจะไม่อคติแล้ว แล้ววันนี้ชานยอลก็บอกว่าอยู่กับเราแล้วสบายใจ ทำให้ยิ้มได้ เราน่ะ—”

แบคฮยอนนิ่งไปเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอุ่น ๆ ที่ประทับลงมาตรงมุมปาก ใจของเขากำลังเต้นไม่เป็นส่ำ เลือดต้องกำลังสูบฉีดขึ้นใบหน้าแน่ ๆ ชานยอลถึงได้กำลังหัวเราะเขาแบบนี้

“ทำอะไร...”

“ไม่มีใครเห็นหรอก” ชานยอลดึงแก้มเขา “อยู่กับนายแล้ว...ฉันสบายใจจริง ๆ นั่นแหละ ไม่เคยคิดมาก่อนเลย”

“...”

“ฉันก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้”

“...”

“เข้าใจรึเปล่าเนี่ย?”

“เข้าใจ...อะไรเหรอ?”

“ดับเบิ้ลบี จอมซื่อบื้อ”

“ไม่จริงนะ เราไม่ได้ซื่อบื้อ!” เขาเอากำปั้นทุบชานยอลที่เอาแต่ยิ้ม “ทำไมว่าเราแบบนั้นล่ะ!”

“ชมทั้งนั้น”

“ฮึ่ย! เราเป็นท่านผู้นำนะ”

“ครับ ท่านผู้นำ” เขาโดนดึงแก้มอีกข้าง “น่ารักที่สุดแล้ว”

แบคฮยอนมั่นใจมากว่าเขากำลัง...เขิน

เขายอมรับว่าปกติแล้วหัวใจของเขาก็ไม่ได้เต้นเป็นจังหวะที่สมเหตุสมผลนักเวลาที่อยู่กับชานยอล เพียงแต่ในวันนี้มันเกินไปมากแล้ว ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ เขาไม่ได้ซื่อบื้อเลยนะ เขาเคยเห็นคุณอาทำแบบนี้กับคนที่คุณอาบอกว่าเป็นแฟน แต่ว่าเขากับชานยอล...

โดนแกล้งรึเปล่า แบบนี้ไม่เอานะ

“วันนี้กลับยังไง?” ชานยอลถามเขาที่กำลังพักเส้นเสียงอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ซ้อมอะไรมากก็ตาม

“คุณอามารับ”

“วันนี้ไปนอนด้วยสิ ขี้เกียจกลับบ้าน”

“คุณแม่จะเป็นห่วงชานยอลนะ คุณพ่อด้วย”

“พ่อไปสัมมนา แม่ก็กลับดึก ฉันแปะโน้ตไว้แล้ว”

“แล้วแต่ชานยอลก็แล้วกัน...”

“เป็นอะ—ไม่ต้องบอกว่าไม่ได้เป็นเลย”

“ชานยอลแกล้งเราแน่ ๆ” เขากำลังหน้าบึ้ง ยกมือแตะมุมปากของตัวเอง “ตรงนี้...ที่ทำแบบนั้น”

“แกล้งอะไร จะให้ทำอีกรอบไหม?”

“ไม่เอา! เดี๋ยวเพื่อนเห็นนะ!”

เมื่อวานเราคุยกันไว้ว่าจะซ้อมจนถึงหกโมงเย็น แต่ในวันนี้เรานั่งกันอยู่ถึงห้าโมงครึ่งคุณอาก็มารับที่โรงเรียน เขาเลยต้องกลับบ้านมาพร้อมกับชานยอลที่ตามมาด้วย คุณอาของเขาเป็นคนวัยรุ่นจึงเข้ากับชานยอลได้ดี บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าชานยอลโตเกินวัยไปบ้าง ทั้งสองคนดูเข้ากันได้ดีในหลาย ๆ เรื่อง พอวันนี้ที่ชานยอลจะมานอนที่บ้าน คุณอาของเขาเลยมองว่ามันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะมานอนบ่อยจนสนิทกัน

ที่บ้านเขาไม่มีใครถามเรื่องปัญหาชีวิตของชานยอล ไม่มีใครว่าถ้าชานยอลจะมาอาศัยอยู่ด้วยในบางคืน คุณพ่อของเขาไม่เคยว่าอะไร ดีใจเสียด้วยซ้ำที่ท่านผู้นำของพ่อมีเพื่อนเพิ่ม

“เออ อาไปเจอนี่มา เราไปสมัครกันสิ” คุณอาส่งกระดาษให้เขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ชานยอลที่อยู่เบาะหลังก็ชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย “ลองดู”

มันเป็นโปสเตอร์การประกวดดนตรีระดับช่วงอายุสิบห้าถึงยี่สิบปี ไม่จำกัดการแสดงว่าจะแสดงอะไร จะร้อง จะเต้น จะมาเดี่ยว หรือจะมาคู่ หรือจะมาเป็นกลุ่มก็มีให้สมัครหลายแบบ

“แบค...ไม่กล้าหรอก” เขามองใบประกาศ “คนจะมาดูเยอะเลยนะ”

“ทำไมล่ะ ไปกับชานยอลนี่ไง”

“ชานยอลอยากไปเหรอ?”

“ถ้านายไป ฉันก็ไป” ชานยอลตอบเขา “ขอดูหน่อยได้ไหม?”

“ตอบแบบนี้ไม่ได้อยากไปนี่หน่า” เขาส่งใบประกาศให้ชานยอล “คุณอา แบคไม่ชอบคนเยอะ ๆ”

“ท่านผู้นำก็ร้องเพลงไปมองหน้าอาไปก็แล้วกัน อาจะยืนอยู่ข้างล่าง คุณพ่อด้วยนะ”

ชานยอลส่งโปสเตอร์กลับคืนให้เขา เราไม่ได้คุยอะไรกันเลยจนถึงบ้าน เป็นเรื่องปกติที่แบคฮยอนจะวิ่งไปกอดคุณพ่อก่อน จากนั้นก็จะขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชานยอลเองก็ตามไปสวัสดีพ่อของเขา ก่อนที่จะเดินเข้าห้องนอนของเขามาด้วยกัน

“ชานยอล อยากไปไหม?” เขาเอาโปสเตอร์แปะเหนือโต๊ะอ่านหนังสือด้วยเทปใส

“ไปกับนาย” ชานยอลก้าวมายืนข้างเขา “จะให้ฉันไปคนเดียวรึไง ตอนแรกมาขอให้ฟอร์มวงด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ได้จะให้ไปคนเดียวนะ ไม่ได้คิดแบบนั้น แค่คิดว่ายังไม่พร้อมหรอก” เขามองโปสเตอร์ที่แปะเอาไว้เรียบร้อยแล้ว “แต่ถ้าชานยอลอยากไป...”

“ถ้ายังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องไป”

“เอาไว้...ปีหน้าเราค่อยไปได้ไหม?” แบคฮยอนถามชานยอล “ตอนนั้น...ชานยอลจะเล่นกีตาร์กับเราอยู่ไหม?”

“เล่นสิ” ชานยอลวางมือลงบนหัวเขา ยิ้มให้บาง ๆ “ทำไมจะไม่เล่นล่ะ”

“ก็...ชานยอลอาจจะไม่ชอบเราแล้วก็ได้”

“แต่ตอนนี้ฉันก็ชอบนี่ นายจะคิดอะไรไปถึงตอนนั้นล่ะ”

“...”

“นายก็ชอบฉัน ใช่ไหมล่ะ?”

“...ก็ใช่ แต่...ชานยอลก็เป็นแฟนกับคนตั้งเยอะ ต้องเลิกชอบกันง่าย ๆ”

“พูดอะไรแบบนั้น ตีเลยนะ” เขาห่อไหล่เมื่อชานยอลยกมือขึ้นขู่ “ถ้าเลิกชอบแล้วนายจะโกรธฉันก็ได้ ให้คุณอามาต่อยเลยอ่ะ”

“จริง ๆ นะ คุณอาต่อยเจ็บนะ”

“เออ ไม่ได้ต่อยหรอก” ชานยอลหัวเราะ “ก็บอกแล้วไง...ว่าไม่เคยรู้สึกแบบนี้”

“งั้นปีหน้าไปเล่นดนตรีด้วยกันนะ!”

“ได้เลย”

“ชานยอลใจดีที่สุดเลย!”

แบคฮยอนรู้สึกโชคดีที่วันนั้นเขาไม่ถอยหนีจากชานยอลไป ถึงแม้ว่าจะกลัวและรู้สึกไม่ดีไปบ้าง แต่การเปิดใจมองใครสักคนเป็นสิ่งที่แบคฮยอนทำอยู่เสมอ เพราะว่าเขาเคยถูกคนมองไม่ดีและไม่ชอบหน้าทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร เขาเลยคิดว่าชานยอลไม่สมควรโดนอย่างที่เขาโดน ถ้าชานยอลไม่ดีจริง ๆ ชานยอลก็คงไม่มีเพื่อนที่ดีอย่างเซฮุน เพราะแบบนั้นเขาถึงได้อดทนต่อคำพูดของชานยอล...จนสุดท้ายก็ได้เจอกับคนที่ใจดีที่สุดในโลกคนหนึ่งคนนี้

สายตาของเขาสบเข้ากับชานยอล รอยยิ้มกว้างเริ่มเปลี่ยนเป็นอาการประหม่าเมื่อชานยอลโน้มใบหน้าเข้ามาหากัน แบคฮยอนรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มากกว่าจะถอยหนีเขารู้สึกว่าไม่อยากจะขยับไปไหน สุดท้ายก็หลับตาลงเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ และหัวใจที่เต้นดังเหมือนมีใครมาตีกลองในหัวใจ

“ท่านผู้นำ ล็อกประตูทำไม อามาตามไปกินข้าว!”

เพราะเสียงขออาทำให้เขาลืมตาขึ้นมาและเห็นชานยอลที่ชะงักไป ตอนนั้นเองที่แบคอยอนรู้สึกว่ากลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ สุดท้ายเสียงหัวเราะที่ประสานกันของเราก็ดังก้องทั่วห้องพร้อมกับเสียงทุบประตูของคุณอา

แบคฮยอนมีความสุขจังที่ได้รู้จักผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลคนนี้

เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นเลย



Reply · Report Post