sodaisy95

🧸🎈💙 · @sodaisy95

16th Jun 2019 from TwitLonger

(os) simple beats : overflow #ดซชานแบค




♡♬
simple beats
: overflow
chanyeol x baekhyun
#ดซชานแบค






ชานยอลเฝ้ามองคนคนหนึ่งมาตั้งแต่ขึ้นระดับชั้นมัธยมปลาย

วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดแรงด้วยสาเหตุอันไม่อาจทราบได้ ทั้งที่แดดออกจ้า ฝนไม่ได้มีทีท่าว่าจะตก หรือไม่ก็ไม่มีวี่แววของปรากฏการณ์ธรรมชาติใด ๆ ทุกอย่างที่อยู่ในสายตาของเขานั้นปลิวไปตามแรงลม ใบไม้ที่ปลิวว่อน ผ้าใบที่ลู่ไปตามลม ผู้คนที่เดินตัวลีบ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเพื่อต่อสู้กับแรงนั้น รวมถึงเขาที่พลาดท่าทำผ้าพันคอที่กำลังจะสวมหลุดออกจากมือ ปลิวออกไปต่อหน้าต่อตาโดยที่เขาคว้ามันเอาไว้ไม่ทัน

ถ้าเกิดว่าปลิวไปติดบนยอดไม้สักต้น เขาคงลำบากน่าดู กว่าจะปีนขึ้นไปหรือกว่าจะเก็บมันได้ เขาคงจะไม่ทันรถประจำทางรอบสี่โมงสี่สิบห้านาที และนั่นคงทำให้...

แต่เขายังไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นหรอก เขายังไม่ทันได้คิด...

เพราะว่าใครคนหนึ่งที่คว้ามันเอาไว้ ก่อนที่มันจะลอยขึ้นไปตามแรงลม หันมาส่งยิ้มกว้างที่แสนจะตราตรึงใจในแบบที่เจ้าตัวคงไม่มีทางรู้ว่ามันมีผลต่อหัวใจคนมองมากเพียงไหน

‘ของนายใช่ไหม?’

‘...’

‘รับไปสิ’

ชานยอลเอื้อมมือไปรับมันมา รู้ว่าทำตัวหมือนเด็กไม่รู้จักโตที่กอดมันเอาไว้อย่างหวงแหนราวกับว่าจะมีใครมาเอามันไป พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที คนที่คว้าผ้าพันคอของเขาเอาไว้ได้ ก็เดินหันหลังจากไปเสียแล้ว

‘ขอบใจ...’

ไม่มีใครได้ยินมันนอกจากเขาเพียงแค่คนเดียว

แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่ได้คาดหวังว่าบยอนแบคฮยอนจะรู้จักเขาอยู่แล้วล่ะ

ชานยอลไม่ได้รู้จักแบคฮยอน แต่ใคร ๆ ก็รู้จักแบคฮยอนกันทั้งนั้น คนที่เป็นนักร้องเบอร์ต้นของโรงเรียน คนที่ยิ้มเก่ง คนที่ยิ้มรับและขอบคุณทุกคนที่มีขนมนมเนยมาฝากกันเสมอ คนที่แสนเฮฮาและเป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับเพื่อน คนที่แสนจะจิตใจดีแบบนั้น ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักอยู่แล้วล่ะ

แต่เขาก็ทำได้แค่เฝ้ามอง ทำได้เท่านั้นแหละ





♡♬






“เอาล่ะ จับฉลากเลือกที่นั่ง!” คิมจงอิน หัวหน้าห้องแสนอารมณ์ดีคนใหม่ประจำห้องมัธยมปลายปีสามห้องเอห้องนี้ “เร็วเข้า ลุกขึ้น!”

ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของชานยอลในโรงเรียนมัธยมแห่งนี้ เป็นที่เขาได้วนมาอยู่ห้องเอเป็นครั้งแรก ทั้งที่อยู่โรงเรียนนี้มาแล้วเป็นปีที่สาม แต่ก็มีเพื่อนหลายคนที่เขาไม่เคยพบเจอหน้ามาก่อน หรือบางทีอาจจะเคยเจอแล้วแต่เขาจำไม่ได้เองมากกว่า

ชานยอลเดินไปต่อแถวเพื่อจับฉลาก ด้านหน้าเขาเป็นจงแดที่กำลังหัวเราะคยองซู เพื่อนที่บ่นเสียงดังเพราะตัวเองจับได้ที่ตรงกลางแถวหน้าสุด เจ้าตัวบ่นใส่คิมจงอินไม่เลิก บอกว่าจะจับใหม่ แต่สุดท้ายก็เลิกบ่นไปเองเพราะจงอินไม่รับฟัง

ทุกคนจับฉลากไปเรื่อย ๆ รวมถึงบยอนแบคฮยอน คนที่เขารู้จักอยู่ในใจมาเนิ่นนาน คนที่ปีนี้เป็นปีแรกที่มีโอกาสได้มาอยู่ห้องเดียวกัน เจ้าตัวจับฉลากแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี เดินตรงไปนั่งแถวที่สี่นับจากหลังห้องขึ้นมา เป็นที่นั่งที่เกือบจะติดหน้าต่าง แต่เขาก็ต้องเบนสายตากลับมาก่อนเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังแอบมองอยู่

ใช่แล้วล่ะ ปีนี้เขาได้อยู่ห้องที่เรียกได้ว่าเป็นห้องที่รวมสารพัดคนที่คนในระดับชั้นเดียวกันนั้นรู้จักกันดี ทั้งคิมจงอินผู้นำแสนยิ่งใหญ่ โดคยองซูคนชอบบ่น ชอบใช้กำลังแก้ปัญหา คิมมินซอกคนรักสะอาด ชอบทำเวรตอนเย็นเป็นชีวิตจิตใจ คิมจุนมยอนคนที่ของกินของใช้ราคาไม่เหมือนการเป็นเด็กมัธยม โอเซฮุนนายแบบวัยรุ่นชื่อดัง จางอี้ชิงเด็กแลกเปลี่ยนจากเมืองจีน และคิมจงแด เพื่อนสนิทของเขาเอง

และนั่นหมายความรวมถึงบยอนแบคฮยอน นักร้องประจำโรงเรียนของเรา

“ชานยอล นายจับได้เลย” จงอินยิ้มให้เขาที่ล้วงมือเข้าไปในกระป๋องใส่ฉลาก พอจับขึ้นมาเขาก็กางออกดูว่าตัวเองได้นั่งตรงไหน

“ไหน ดูหน่อย” จงอินชะโงกเข้ามาดูด้วย “ข้างแบคฮยอนเลย ริมหน้าต่าง”

“ฉันอยากนั่งตรงนั้น!”

“หุบปาก โดคยองซู นายจับไปแล้ว”

เขาจับกระเป๋าของตัวเองแน่น อาการตื่นเต้นแล่นเข้าสู่กลางอกอย่างหาสาเหตุไม่ได้ หัวใจของเขามันเต้นแรงไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะเลี่ยงออกไปข้างนอกก่อนเพื่อตั้งสติหรือว่าจะขอสลับที่กับจงแดดีนะ หรือว่า... หรือว่า...

“หวัดดี” แบคฮยอนยิ้มกว้างให้เขาที่รีบวางกระเป๋าลงที่โต๊ะ ตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นว่าเขาจะไปเข้าห้องน้ำ ขอให้ได้ไปจากตรงนี้ก่อน แล้วจะเอาอย่างไรค่อยมาคิดอีกที

ไม่ปลอดภัย ทำไมชานยอลถึงได้โดนจับฉลากให้มานั่งข้างคนที่ชอบเล่า!

ใครจะ...ไม่ชอบบยอนแบคฮยอนบ้างล่ะ

ถ้าเกิดว่าใครได้มาเป็นเขา คนที่มีคนน่ารักที่สุดคนหนึ่งเก็บผ้าพันคอให้ คนที่ทำให้ตลอดเวลาที่เรียนที่นี่นั้น เขาไม่สามารถละสายตาไปจากคนคนนี้ในยามที่พบเจอกันได้เลย แล้วถ้าเป็นแบบนี้เขาจะห้ามตัวเองได้อย่างไร เขาจะทำอะไรให้เขาไม่แสดงอาการน่าสมเพชแบบนี้ออกไปได้บ้าง

ชานยอลเดินตามหลังของครูที่ปรึกษาประจำปีนี้เพื่อกลับเข้าไปในห้อง อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องพูดอะไรกลับใคร อย่างน้อย...เขาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ว่าเขาจะต้องนั่งกับบยอนแบคฮยอนไปตลอดทั้งเทอม

“นี่...” เขารู้สึกว่ามีอะไรมาจิ้มที่แขน “ฉันชื่อแบคฮยอนนะ”

“...”

“ชานยอล?”

ห๊ะ! เขาหันออกไปมองนอกหน้าต่างทันที อาการตื่นตระหนกกำลังเล่นงานเขาอย่างหนัก แบคฮยอนรู้ชื่อเขาได้อย่างไร แล้วทำไมถึงได้แนะนำตัวกับเขา ทำไมถึงต้องมาทำแบบนี้ หัวใจของเขา...

“นายมองอะไรเหรอ?” แบคฮยอนชะโงกหน้ามามองตามเขา “ท้องฟ้าเหรอ? สวยดีนะ”

ในใจของเขาตะโกนตอบกลับไปว่า ฉันหันหนีนายต่างหากเล่า! ทั้งที่หัวใจนั้นเต้นดังที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาทำได้แค่เงียบเท่านั้น

“แล้วนี่—”

“ครูพูดอยู่”

“อ้อ ขอโทษที” แบคฮยอนหัวเราะจนดวงตายิบหยี “ตั้งใจฟังเข้าล่ะ”

ชานยอลรู้สึกว่าแก้มของตัวเองคงเห่อร้อนขึ้นมาเพราะบยอนแบคฮยอน พูดออกมาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร ตั้งใจจะล้อเลียนกันรึเปล่า แต่เขาก็ตั้งใจฟังจริง ๆ นะ ถ้าเกิดว่าไม่ฟังก็คงไม่รู้ว่ากำหนดการของปีนี้มีอะไรบ้าง แบบนั้นคงจะจัดตารางการอ่านหนังสือ จัดตารางการเรียนพิเศษไม่ได้ เขาได้ยินเรื่องชมรม พูดถึงวิชาเลือก การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำไมบยอนแบคฮยอนถึงไม่ฟัง ทำไมถึงได้หันไปคุยกับ...โอเซฮุนแบบนั้นล่ะ?

เขารับตารางเรียนต่อมาจากคิมมินซอกที่นั่งอยู่ด้านหน้า เอื้อมมือออกไปรับ ไม่ทันเห็นว่าแบคฮยอนเองก็ยื่นมือไปเหมือนกัน กลายเป็นว่ามือของเขากับมือของแบคฮยอน...แตะกันนิดหน่อย แค่เล็กน้อยแต่ว่านะ...แตะมือไปแบบนั้น ตอนนี้ถ้ามีระดับเตือนภัยเขาคงอยู่ที่ระดับเจ็ด อันตรายมากขึ้นทุกที

“นายนี่นะ...” แบคฮยอนหัวเราะอยู่ข้าง ๆ เขา “ชักมือกลับเร็วขนาดนั้น มือฉันมันทำไมกัน?”

“เปล่า...”

“อ่ะ ตารางเรียน” แบคฮยอนเลื่อนกระดาษมาตรงหน้าเขาก่อนจะส่งให้ที่นั่งข้างหลังต่อไป

ถ้านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปสงสัยความลับเขาจะแตกเข้าสักวัน ทำไมถึงต้องมานั่งตรงนี้ ไปขอสลับที่กับคยองซูดีไหมนะ ถ้าทำแบบนั้นคยองซูต้องดีใจมากแน่ ๆ ส่วนเขาก็จะได้มีสมาธิเรียนหนังสือ ไม่ใช่เอาแต่พะว้าพะวงจนไม่เป็นอันทำอะไรแบบนี้

อาจจะดีกับตัวแบคฮยอนเองด้วย เพราะถ้าเทียบกันแล้วคยองซูสนิทกับแบคฮยอนมากกว่าเขาเยอะเลย เขาไม่เคยคุยกับแบคฮยอนด้วยซ้ำ ที่พูดไปทั้งหมดสองคำถ้วนไม่ถือว่าเป็นการคุยเพราะว่ามันไม่ใช่ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเขาก็แค่ตอบก็เท่านั้น

หลังจากเรื่องตารางเรียนแล้วเขาก็สนใจแต่กระดาน ปาร์คชานยอลคนนี้มาเพื่อเรียนหนังสือ ปกติแล้วก็ใช่ว่าเขาจะตั้งใจทะลุเมฆอะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่าเพื่อนสนิทอย่างจงแดนั้นแทบจะนั่งอีกฟากของห้องก็ว่าได้ เขาเลยไม่มีทางเลือกนอกจากมองตรงไปที่กระดานแล้วหันไปทางซ้ายก็เท่านั้น ส่วนทางขวานั้นต้องห้าม

“...นี่ ขอลืมยางลบหน่อยสิ”

“...”

“ฉันหยิบนะ?” แบคฮยอนหยิบยางลบของเขาไปใช้ก่อนจะเอามันกลับมาวางที่เดิม “ขอบใจมาก”

ตั้งใจเรียนเข้าไว้ปาร์คชานยอล ตั้งใจเรียนเข้าไว้

“ข้อนี้คิดแบบนี้ถูกไหมอ่ะ ฉันไม่แน่ใจเลย”

“...”

“ทำถึงข้อหกแล้วเหรอ ขอดูข้อสี่หน่อยสิ ตอบแบบนี้ถูกรึเปล่า?”

เขาดันสมุดไปที่โต๊ะของอีกฝ่ายที่ยิ้มให้เขาจนดวงตาทั้งสองข้างยิบหยี มองวิธีทำข้อสี่ของเขากับของตัวเองสลับไปสลับมา นั่นแหละนะ ก็เป็นคนที่สดใสมากขนาดนี้แล้วใครจะไปทำใจไม่ชอบได้ ขนาดจงแดที่ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากวันพีชยังบอกว่าแบคฮยอนน่าคบเลย

“ทำไมอันนี้ถึงได้แบบนี้อ่ะ ฉันคิดแล้วมันเป็นแบบนี้...”

“...”

“เฮ้?” แบคฮยอนเอานิ้วห้านิ้วมากางที่หน้าเขา “ชานยอล?”

“กะ...ก็เอาตัวนี้” เขาจิ้มดินสอไปที่กระดาษ “มาคูณกับตัวนี้ไง”

“อ้าว แล้วตัวนี้ล่ะ?”

“ตัว...นั้นคูณตอน...ตอนที่ได้ผลคูณจากตัวนี้”

“เอ้อ...ใช่” แบคฮยอนมองตามดินสอของเขาก่อนจะยิ้มออกมา “นั่งข้างนายนี่โชคดีชะมัด”

“...”

“เทอมที่แล้วฉันได้นั่งกับคยองซู มันโง่กว่าฉันอีก ล่มจมทั้งคู่”

งั้น...ที่เขาจะไปขอคยองซูสลับที่ มันไม่ใช่ความคิดที่ดีใช่ไหม?

“ไอ้จงอินมันแอบหึงด้วยนะ เทอมนี้คยองซูเลยโดนเลย นั่งหน้าสุดอยู่ในสายตา”

“จับฉลาก...ไม่ใช่เหรอ?”

“ก็จับทุกคนแหละยกเว้นคยองซู รายนั้นน่ะโดนแกล้ง” แบคฮยอนพยักเพยิดไปทางคยองซูที่จะนั่งกับใครไปไม่ได้นอกจากจงอิน หัวหน้าห้องที่ส่วนสูงก็ไม่ใช่น้อยก็ยังอุตส่าห์ไปนั่งข้างหน้า แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเขาเท่าไหร่หรอก

“อืม...”

“อ่ะ ขอบใจนะ” แบคฮยอนเลื่อนสมุดกลับมาให้เขาก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำของตัวเองต่อไป

ถ้าอย่างนั้นจะมีใครอีกนะที่เขาพอจะสลับที่ได้ จะทำใจกล้าไปขอนายแบบวัยรุ่นอย่างเซฮุนสลับที่ ก็ดูเหมือนว่าที่ที่เซฮุนได้มันเป็นที่ทำเลทองของห้อง แต่ถ้าจะสลับกับพวกผู้หญิงที่คงจะเต็มใจสุดฤทธิ์แบบนั้นเขาก็ไม่อยากทำ

เฮ้อ...เขานี่มันจริง ๆ เลย ทำไมถึงต้องมานั่งตรงนี้นะ

นอกจากเรื่องความรู้สึกของเขา เรื่องที่ต้องคิดไม่ต่างกันคือการที่ต้องแสดงออกไป รอบตัวของบยอนแบคฮยอนมีแต่ผู้หญิงมารักมาชอบ เมื่อปีที่แล้วเจ้าตัวก็เป็นแฟนกับรุ่นพี่คนหนึ่งในโรงเรียน แต่ก็เหมือนจะเลิกกันไปเพราะอะไรสักอย่างที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะพอรู้ว่าอีกฝ่ายมีคนรักเขาก็เจ็บอยู่ในอก มารู้อีกทีจงแดก็เล่าให้เขาฟังว่าบยอนแบคฮยอนเลิกกับแฟนแล้ว เพื่อนของเขาคนนี้ไม่ได้รู้หรอกว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร แต่มันก็แค่เล่าเพราะเป็นเรื่องที่ฟังมาเท่านั้น

แต่ชานยอลก็เป็นแค่ผู้ชายที่สูงเฉียดหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ในขณะที่บยอนแบคฮยอนนั้น ดูท่าจะมีใจรักใจชอบกับคนที่ตัวเล็กกว่าตัวเอง แต่มันก็ไม่เป็นไรหรอก เขาชอบเพราะว่าเขาชอบ ไร้เหตุผลที่อยากจะครอบครอง มีบ้างที่เคยคิดว่าถ้าได้เป็นมากกว่าเพื่อนก็คงจะดี แต่เขาก็ไม่ได้หวังให้มันเป็นจริงหรอก

เพราะเพียงแค่เขาได้เห็นหน้า เขาทั้งมีความสุขและตื่นเต้นในหัวใจ

ถ้าเป็นแบบนั้น...แค่ได้รู้จักกัน เขาก็สุขใจแล้ว





♡♬





“ได้ยินว่าเล่นกีตาร์ได้...จงแดบอกมาน่ะ”

ช่วงเปลี่ยนคาบเรียนจากวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาสังคม ชานยอลที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ของตัวเองอยู่เงยหน้าขึ้นมาเพราะประโยคของคนที่นั่งอยู่ข้างเขา คนที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้าเสมอเวลาคุยกับใคร รวมถึงเขาด้วย

เกือบสองสัปดาห์มาแล้วที่ได้เริ่มต้นชั้นปีใหม่ เริ่มจะคุ้นชินกับการมีบยอนแบคฮยอนนั่งอยู่ข้าง ๆ บางครั้งต้องช่วยเหลือในเรื่องเรียน เรื่องของใช้ บางทีก็ชวนเขาที่แทบจะจมโต๊ะไปแล้วคุย แถมยังมาถามอีกว่าเป็นอะไรเนี่ย แล้วจะให้ตอบอะไรได้ เขาก็ต้องส่ายหน้ากลับไปเชิงว่าไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น ทั้งที่หูของเขาแทบจะไหม้อยู่แล้ว

“ตกลงเล่นได้รึเปล่า?”

เขาหันไปมองจงแดที่ชูนิ้วโป้งกลับมาให้ เพื่อนคนนี้นี่นะ...

“ก็พอ...เล่นเป็น” มันเป็นงานอดิเรกคลายเครียดจากการเรียน เขาไม่ได้เก่งแต่ก็พอเล่นได้บ้าง “เป็นนิดเดียว”

“ก็คือ...” บยอนแบคฮยอนลากเก้าอี้เข้ามาใกล้ ทำเอาแทบจะลุกหนีกระโจนออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ตั้งสติได้ทัน “ฉันอยู่วงดนตรีโรงเรียน เป็นนักร้องนำน่ะ แล้วทีนี้มือกีตาร์วงฉันจะออก เพราะว่าจัดตารางอ่านหนังสือกับการเล่นดนตรีให้ไปด้วยกันไม่ได้ ก็เลยอยากจะชวนให้ไปลองเล่นดูน่ะ”

“...”

“ทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว” แบคฮยอนหัวเราะเขา “ทำไมเหรอ คุยกับฉันทีไรทำหน้าแบบนี้ทุกที กับคนอื่นไม่เห็นจะเป็นเลย”

ก็คนอื่น...ไม่ได้เหมือนแบคฮยอนสักหน่อย

“ฉัน...เล่นไม่เก่ง” เขาคงทำไม่ได้หรอก “คงจะ—”

“ถึงบอกว่าให้ไปลองดูก่อนไง” แววตาสดใสทำให้หัวใจของชานยอลอ่อนยวบ “ลองไปนะ ถ้าเป็นนายเราก็คงจะเข้ากันได้ดี นายต้องเข้ากับวงของฉันได้แน่ ๆ”

“...”

“เถอะนะ ช่วยหน่อยนะ”

“แบคฮยอน!” เสียงเรียกชื่อคนที่ทำหน้าตาน่าสงสารใส่เขาอยู่นั้นทำให้ตัวเขาเองหันไปมองด้วย โอเซฮุนยืนอยู่หน้าประตูห้อง เรียกแบคฮยอนให้ออกไปข้างนอก “ลงไปซื้อน้ำเป็นเพื่อนหน่อย”

“ได้ ๆ” แบคฮยอนหันไปตอบเพื่อน หันมาส่งยิ้มกว้างให้เขาที่ไม่อยากจะมองเลย เพราะมันทำให้ใจสั่น “ลองคิดดู แต่อยากให้ตกลงนะ”

แล้วปาร์คชานยอลจะทำอะไรได้บ้างล่ะ?

เขาลองคิดทบทวนในแง่ของการยอมรับและปฏิเสธ เริ่มจากเรื่องที่ไม่ดีก่อน ถ้าเกิดว่าเขาปฏิเสธ แบคฮยอนจะคิดอย่างไร แบคฮยอนจะเสียใจไหม จะผิดหวังหรือเปล่า คิดเพียงเท่านี้เขาก็คิดได้ว่าควรจะหลับหูหลับตาตกลงไปก่อน เพราะหนึ่ง นั่นคือบยอนแบคฮยอน สอง เขาปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเกิดว่ามันจะทำให้แบคฮยอนผิดหวัง

เจ้าตัวอุตส่าห์มาชักชวนเขา คงจะมีความไว้ใจกันไม่มากก็น้อย หรือไม่ก็อาจจะหาใครไม่ได้จริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์นึกถึงกัน ถึงจงแดจะแนะนำมา แต่แบคฮยอนก็เชื่อในคำแนะนำนั้น

คิดไปแล้ว...ชานยอลก็รู้สึกตื่นเต้นและเขินไม่น้อยเลย

“ว่าไง?” แบคฮยอนกลับมาในห้องเรียนพร้อมกับขวดน้ำหนึ่งขวดและคุณครูวิชาสังคมที่เดินเข้ามาพร้อมกัน “ชานยอล?”

“จะ..เอ่อ..จะไปลองดู”

“จริงนะ!” แบคฮยอนถลาเข้ามาจับแขนเขา ทำเอาหน้าเห่อร้อนไปหมด “งั้น...เย็นนี้ว่างไหม? ลองไปเล่นดู”

“กะ...ก็ได้”

“ยอดเยี่ยม!”

นี่เขา...เดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกันนะ?

ถึงจะไม่มีแบคฮยอน แต่เขาก็คิดว่าห้องที่เขาได้มาอยู่ปีนี้เป็นห้องดีจริง ๆ จงอินที่มีตำแหน่งหัวหน้าห้องการันตีสองปีซ้อนนั้นเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม คยองซูที่ถึงจะบ่นเก่งแต่ก็พูดอะไรตรง ๆ เป็นตัวแทนการพูดอะไรแทนคนทั้งห้อง มินซอกที่ทำให้ห้องสะอาด จงแดกับอี้ชิงที่สร้างเสียงหัวเราะ จุนมยอนกับเซฮุนที่เป็นหน้าตาของห้อง เขาที่เป็นคน...ธรรมดาคนหนึ่ง

และแบคฮยอนคนที่สดใสที่สุดเท่าที่เขาเคยได้พบเจอใครมา

“ที่จริง ฉันมาคิดดูแล้วนะ” แบคฮยอนสะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมจากห้องเรียนไปทันทีที่เลิกเรียน ทั้งที่ตัวเขานั้นยังไม่ได้เก็บดินสอเข้ากระเป๋าเลย “นายลองมาเล่นกับฉันก่อนก็ได้ คิดซะว่า...ออดิชั่น?”

“...”

“เล่นดนตรีที่ไหนถึงจะดี กลางสวน ท่ามกลางธรรมชาติ หรือว่าในตึก ห้องดนตรี นายชอบแบบไหน?”

“ที่ไหนก็ได้...”

“ชานยอลจะไปกับแบคฮยอนใช่ไหม ฉันเอาจงแดไปหารค่าไก่ทอดด้วยนะ” คยองซูตะโกนมาจากหน้าห้อง กอดคอเพื่อนสนิทของเขาที่มีสีหน้าอิ่มเอมใจเพราะไก่ทอด

“ใช่ ชานยอลไปกับฉัน!”

“โถ ช่างมีความพยายาม” จงอินยิ้มล้อแบคฮยอน “ก็บอกเค้าไปสิว่าคิดมาก กลัวเค้าจะไม่ชอบ เอาเรื่องกีตาร์มาอ้างว่ะ ไอ้หมา”

“เฮ้ย เปล่านะ” แบคฮยอนโบกมือเป็นพัลวัน ในขณะที่เขานั้นหันไปมอง “คือ...ไปเอากีตาร์ก่อนนะ เจอกันข้างล่าง หน้าตึก”

ยอมรับว่าประโยคของจงอินทำเอาเขาไปไม่เป็นเหมือนกัน แบคฮยอนจะคิดมากอะไร กลัวจะไม่ชอบอะไร เขาทำอะไรที่ทำให้แบคฮยอนคิดแบบนั้นหรือ?

“เห็นมันมาบ่น ว่านายไม่ชอบคุยกับมัน” เซฮุนพูดกับเขาสะพายกระเป๋าขึ้นหลัง “คนแบบนั้น ทำใจโดนไม่ชอบไม่ได้หรอก”

นั่นเป็นเพราะว่าเขา...เขินต่างหาก ไม่เคยจะไม่ชอบ ใจของเขาน่ะ คิดถึงแต่แบคฮยอนด้วยซ้ำ

ทำให้คิดมากเกินไปแล้วอย่างนั้นสินะ

“ชานยอลมันก็แค่คุยกับคนอื่นไม่เก่ง” จงแดแก้สถานการณ์ให้เขา “ก็ชวนมันคุยหน่อยก็แล้วกัน”

“งั้นก่อนไปมาลบกระดานก่อน แบคฮยอนมันรอได้”

เขาไปช่วยมินซอกลบกระดาน เพราะว่าเขาตัวสูงจึงไม่ต้องลำบากยืดตัวเพื่อเช็ดให้ทั่ว เขารีบเช็ดแต่ก็ใช่ว่าสักแต่ว่าทำ พอเสร็จแล้วก็บอกลาเพื่อนที่ยังคงอยู่ในห้อง รีบวิ่งลงไปข้างล่างเพื่อไปหาแบคฮยอน คนที่เหมือนจะคิดมากเกินไปในสิ่งที่เขาทำทั้งหมด อย่างที่เซฮุนว่า คนอย่างแบคฮยอนคงจะทนไม่ได้เวลาที่มีใครไม่ชอบ เจ้าตัวคงจะคิดว่าตัวเองผิดอะไร และเขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย

ชานยอลเห็นแบคฮยอนกำลังเดินมาพร้อมกับกีตาร์ตัวใหญ่ที่คงไปขอยืมมาจากชมรมดนตรีสากล ผู้ชายตัวเล็กคนนี้ยิ้มน้อย ๆ ให้เขา บอกว่าต้องเอาไปคืนก่อนห้าโมงครึ่ง มารีบเล่นกันนะ

แบคฮยอนเดินนำเขาไปยังที่นั่งข้างตึกมัธยมปลายปีสาม ที่ที่มีที่นั่งสำหรับนักเรียนภายในโรงเรียน มีทั้งคนที่มานั่งเล่นหรือนั่งทำอะไรกันสักอย่าง เขาเองก็เคยมานั่งทำการบ้านกับจงแดตรงนี้ จำได้ว่าตอนนั้นมีคนมาซ้อมเป่าทรอมโบน ฟังไปทำการบ้านไปก็เป็นอะไรที่สนุกดี

“แบคฮยอน...” เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียกชื่อนี้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะทำเป็นไม่ได้ยิน

“...นายชอบเพลงแบบไหนก็เล่นอันนั้นก็ได้ เพลงที่ชอบเป็นพิเศษหรือเพลงที่—”

“ฉันไม่ได้ไม่ชอบนายนะ”

“...”

“ก็แค่...” หัวใจเต้นแรงมากก็เท่านั้น “...ไม่กล้าคุยด้วย”

“ทำไมถึงไม่กล้าคุยด้วยล่ะ ฉันน่ากลัวเหรอ?” แบคฮยอนมีสีหน้าตกใจ “ฉันไม่น่าคบใช่ไหม หรือว่าทำอะไรให้นาย—”

“ไม่ใช่แบบนั้น คือ...คือมันอยู่ที่ฉันเอง” มันเป็นความผิดของเขาเอง “อย่าคิดมากเลย”

“อย่าคิดมาก?” แบคฮยอนทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “จะไม่ให้คิดได้ยังไง?”

“...”

“ไม่รู้นะ แต่...นายชอบทำเหมือนไม่อยากคุยกับฉัน ไม่อยากตอบ ฉันพยายามแล้วแต่นายก็ดูไม่ชอบฉันจริง ๆ ฉัน...ถ้าเกิดว่าทำให้นายไม่ชอบ แต่เพราะว่าเรานั่งเรียนข้างกันแล้ว ฉันก็จะนับนายเป็นเพื่อน นายมีอะไรอยากให้ฉันปรับปรุงไหม?”

“ไม่มี...” แบคฮยอนดีมากแล้ว ไม่มีอะไรต้องแก้ไขทั้งนั้น เป็นตัวของตัวเองให้เขาเห็นนั้นดีที่สุด “ฉันไม่ได้ไม่ชอบ ก็แค่...คุยไม่เก่ง”

“ไม่จริงหรอก เห็นตอนคุยกับจงแด...น้อยใจเลย”

“มะ...มะ...ไม่ ๆ กับจงแดคือเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม—”

“ถ้าไม่ได้ไม่ชอบ ก็ต้องคุยกันเยอะ ๆ นะ”

“อื้ม...”

“โอเค” รอยยิ้มแสนสดใสส่งมาถึงเขา “ถ้าอย่างนั้นก็ซ้อมดนตรีกัน ไปกินข้าวกันด้วยนะเย็นนี้ ฉันจะเลี้ยงนายเอง!”

เอาเข้าจริงถ้าเป็นเมื่อสามสิบนาทีก่อนเขาคงจะปฏิเสธ แต่ในนาทีนี้เขาคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ที่คิดจะปฏิเสธเพราะเขาไม่เป็นตัวเองเลยเวลาที่อยู่กับแบคฮยอน เขาไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้แต่มันก็ห้ามการกระทำของตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเกิดว่ามันจะทำให้คนที่เขาชอบคิดมาก วันนี้ก็จะพยายามให้มากขึ้นก็แล้วกัน

เขานั่งดูเพลย์ลิสกับแบคฮยอนในโทรศัพท์ของเจ้าตัว มันทำให้ตื่นเต้นพอสมควร รวมถึงดีใจที่ได้รู้จักไลฟ์สไตล์ของคนคนนี้มากขึ้น แบคฮยอนเป็นคนฟังเพลงทุกแนว มีทุกแบบในเพลย์ลิสต์ของตัวเอง เขาตอบคำถามของแบคฮยอนที่ว่าชอบเพลงแบบไหน แล้วก็ลองเล่นเพลงที่ตัวเองชอบเล่นเวลานั่งอยู่ว่าง ๆ หรือเบื่อจากการเรียนหนังสือให้แบคฮยอนฟัง ตอนที่ได้ยินเสียงร้องเพลงคลอตามมา...เขาเล่นผิดเลย

“นายตกใจเสียงฉันรึไง?”

“...”

“จริงดิ เสียงฉันมันไม่เพราะเหรอ หรือว่าเมื่อกี้มันเพี้ยน?”

“ไม่ใช่ ฉันก็แค่...” ชานยอลพูดไม่ออก “ฉันผิดเอง ขอโทษที”

“จะขอโทษทำไมเนี่ย คิดมากแล้ว” คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขายิ้มตาหยี หัวเราะจนริมฝีปากกลายเป็นสี่เหลี่ยม “นาย...ดูตรงนั้นสิ”

“...”

“ไม่รู้ว่านายจะจำได้รึเปล่า ฉันเคยเก็บผ้าพันคอให้นายด้วยนะ แต่มันก็หลายปีมาแล้วล่ะนะ ถึงวันนี้จะลมพัดไม่แรงเหมือนวันนั้น แต่ท้องฟ้าเป็นแบบนี้เลย”

“วันนั้นนาย...ใส่เสื้อกันหนาวสีน้ำตาล...”

“จำได้เหรอ?” คนถามหันมามองหน้าเขาที่พยักหน้าตอบรับ “เหนือความคาดหมายนะเนี่ย ตอนแรกนึกว่าจำกันไม่ได้ ทำหน้าไม่รู้จักกันซะขนาดนั้น ฉันเสียเซลฟ์นะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น” ความรู้สึกทำไมมันพูดยากแบบนี้นะ “ฉันก็ไม่รู้ไงว่านายจะจำฉันได้รึเปล่า ก็เลย...”

“โอเค เอาเป็นว่าเราจำกันได้ ถ้าอย่างนั้น...เราก็รู้จักกันมานานแล้วนะ! ไปกัน! ชานยอลเพื่อนรัก! ไปกินแกงไก่เผ็ด ๆ กันดีกว่า ฉันเลี้ยง!”

เขากลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ตอนที่เราต่างคนต่างยืนขึ้น แบคฮยอนทำท่าเหมือนอยากจะกอดคอเขา แต่ด้วยความสูงที่ต่างกันนั้นทำให้สภาพมันน่าจะออกมาทุลักทุเลพอสมควร คนที่ตัวเล็กเกินไปนั้นได้แต่แย่งกีตาร์ไปจากมือเขา บ่นแบบไม่ได้ตั้งใจนักว่าจะสูงไปไหน ไอ้มือกีตาร์คนใหม่

เขา...ได้เข้าร่วมวงดนตรีนี้แล้วสินะ

ร้านแกงไก่เผ็ด ๆ ของแบคฮยอนนั้นเป็นร้านหลังโรงเรียนที่เขาเคยเดินผ่านบ่อยครั้งแต่ไม่เคยเข้ามากินเหมือนในวันนี้ อาจะเป็นเพราะว่าเลิกเรียนเมื่อไหร่ ใจของเขามันตรงกลับบ้านอย่างเดียว เขาชอบอยู่บ้าน ชอบกลับบ้าน ได้นอนอยู่ที่บ้านมีความสุขที่สุด เว้นแต่จะมีนัดกับจงแด แต่ว่าเราก็ไม่เคยได้มาร้านนี้ด้วยกันเลยสักครั้ง

มันจึงกลายเป็นประสบการณ์ในการมาร้านนี้ครั้งแรก และได้ออกมานอกโรงเรียนกับแบคฮยอนเป็นครั้งแรก เขาจะไม่ลืมวันนี้เลย

“อร่อยมากเลยนะ เคยมากินไหม?” แบคฮยอนถามเขาที่ส่ายหน้ากลับไป “ไม่เคยเลยเหรอ?”

“ฉัน...ไม่ค่อยอยู่ตอนเย็นน่ะ ส่วนมากก็กลับบ้านเลย”

“อ้าว แล้วถ้ามาซ้อมดนตรีด้วยกันนายอยู่ได้ไหม?”

“ได้ ฉัน...ก็แค่ไม่อยู่เองน่ะ ไม่มีใครว่าอะไร”

“โอเค” แบคฮยอนพูดพร้อมกับชูมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์โอเค “ไม่ได้ไม่ชอบฉันจริงๆ นะ?”

“จริง ๆ” เขาเผลอหลุดยิ้มออกมา ทำไมแบคฮยอนถึงได้น่ารักจังนะ “ทำไมถึงจะต้องไม่ชอบด้วยล่ะ นาย...”

เป็นคนน่ารักที่สุด...เท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย

“ฉันทำไมเหรอ?”

“ไม่มีอะไร”

“เนี่ย มีความลับอ่ะ!” ท่าทางของแบคฮยอนทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรง มันเป็นอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ชานยอลไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

“ไม่มีอะไร จริง ๆ กินข้าวเถอะ ขอบคุณครับคุณป้า” เขาบอกคุณป้าที่เอาแกงเผ็ดไก่มาให้เขากับแบคฮยอน พร้อมกับข้าสองถ้วยและเครื่องเคียงต่าง ๆ “กินเถอะ...”

“งั้น...พรุ่งนี้มาซ้อมดนตรีกับฉันนะ”

“ได้”

“วันมะรืนด้วยนะ”

“โอเค”

“วันต่อ ๆ ไปด้วยนะ ทุกวันเลย” แบคฮยอนพูดก่อนจะซดน้ำแกงเผ็ด ๆ เข้าปาก ตามด้วยข้าวหนึ่งช้อนโต ๆ “เราจะซ้อมกันตั้งแต่เลิกเรียนจนถึงห้าโมงก็พอ แต่ซ้อมทุกวันเลยนะ ถ้านายไม่ได้ไม่ชอบฉันจริง ๆ ก็ต้องซ้อมได้แหละนะ”

“แต่ก็นั่งเรียนข้างกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“หมายความว่าไง เพราะว่านายโดนบังคับให้นั่งข้างฉันเหรอ?”

“ไม่ใช่แบบนั้น แบคฮยอนอย่าคิดแบบนั้นนะ”

“ก็พูดอะไรอ่ะ คิดได้แบบนั้นนั่นแหละ”

“ฉัน...” เขาพูดไม่ได้อีกว่าชอบแบคฮยอนเข้าให้แล้ว ตั้งแต่วันนั้น “...คือว่าฉันน่ะ—”

“แปปนึงนะ ฉันขอคุยโทรศัพท์ก่อน”

ขอบคุณที่มีคนโทรมา ทำให้แบคฮยอนเดินเลี่ยงออกไปและเขาที่พอจะได้มีเวลาหายใจกับเค้าบ้าง ความจริงแล้วใจเขามันไม่สัมพันธ์กับสมองเลย สมองบอกเขาว่าเรากำลังเข้าสู่ช่วงแห่งความกดดัน เราควรจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ร่างกายเกิดสภาวะไม่ปกติ แต่หัวใจกลับบอกเขาว่าแบคฮยอนเป็นคนสำคัญ ช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สุด

“โทษที แฮรินโทรมาน่ะ” แบคฮยอนกลับมานั่งที่โต๊ะ “ผู้หญิงนี่เอาใจยากเนอะ”

“...”

“รุ่นน้องน่ะ ฉันคุย ๆ อยู่”

“อืม...” ชานยอลรู้สึกเหมือนมีใครมากระชากหัวใจของเขาไป

“พรุ่งนี้นายลองไปซ้อมกับวงก่อนนะ ฉัน...ต้องไปกับแฮรินน่ะ”

“ฉันเข้าใจ”

“งั้นเรากินข้าวกันดีกว่า อร่อยเนอะ”

ทั้งที่เขาบอกตัวเองมาตลอด ว่าแค่เราได้ใกล้กัน เขาก็สุขใจแล้ว

แต่ความรู้สึกของชานยอลในตอนนี้ ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกเจ็บที่หัวใจมากจริง ๆ





♡♬





“ชานยอล ขอยืมยางลบ—ขอบใจนะ”

“เก็บเอาไว้เถอะ ฉันมีอีกก้อน”

“โอเค” แบคฮยอนรู้สึกว่าตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาต้องถอยทัพชั่วคราว ถ้ามันถึงขั้นที่ว่าชานยอลมียางลบก้อนใหม่มาให้เขาใช้เพื่อที่จะไม่ให้เขายืมยางลบแล้วล่ะก็...นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้ว “งั้น...เย็นนี้ไปกินแกงไก่เผ็ด ๆ กับฉันไหม? เลี้ยง!”

“แทฮาพูดเมื่อวานว่ามีซ้อมคอร์ดสำคัญ”

“เอ่อ...ใช่ ขอโทษที”

มันจะมีอะไรแย่ไปกว่าการที่เพื่อนร่วมห้องที่นั่งเรียนข้างกันไม่คุยด้วยอีกนะ ไม่สิ...ชานยอลไม่ได้ไม่คุยกับเขา เพียงแค่มันห่างเหินมากเกินไป เกินกว่าวันแรกที่ได้นั่งข้างกันเสียอีก

เหมือว่ามันจะดีแต่แล้วมันก็กลับแย่ลง เขาคิดเอาไว้ว่าการพูดคุยแบบเปิดอกและการได้ไปกินข้าวด้วยกันสองคนนั้นมันอาจจะทำให้เราสนิทสนมกันมากขึ้นได้บ้าง เพราะถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว ผู้ชายทุกคนที่เรียนอยู่ในห้องม.ปลายปีสามเอนั้นสนิทกับเขาหมด ยกเว้นชานยอลเพียงคนเดียวที่เราไม่เคยได้คุยกันมาก่อน แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้นะ เขายังคิดไม่ตกเลยจริง ๆ

ทั้งที่พูดว่าไม่ได้ไม่ชอบเขา แต่ทำไมถึงได้เย็นชาใส่เขาจัง ถึงจะได้มาอยู่วงดนตรีเดียวกัน เข้ากับสมาชิกวงทุกคนได้เป็นอย่างดี แต่เข้ากับเขาไม่ได้คนเดียวแบบนี้...มันไม่ใช่สักหน่อย

เขาทำอะไรพลาดไปนะ

หรือว่า...มันเป็นความเกรงใจเกินกว่าที่จะบอกเขาว่าไม่อยากคุยด้วย

“เป็นไร ทำหน้าเหมือนปวดท้อง”

“เปล่า” แบคฮยอนเอาตะเกียบเขี่ยหมูผัดกิมจิที่เป็นอาหารกลางวันไปมา “ชานยอลเกลียดฉัน”

“บ้าหน่า มันจะไปเกลียดนายทำไม จงแดบอกฉันว่าชานยอลแค่พูดไม่เก่ง”

“ฉันก็ว่าจริงนะ ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่” คยองซูเห็นด้วยกับสิ่งที่จงอินพูด “เราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนี่ ทำไมถึงต้องคุยอีกแล้ว”

“นั่นดิ คิดมากอะไรนักหนาวะ” เซฮุนที่วันนี้ไม่มีงานนั้นมาโรงเรียนตามปกติ “ฉันว่าเพื่อนก็ปกติ ไม่เห็นจะมีอะไร”

“มีแต่พวกนายไม่รู้ต่างหาก” แบคฮยอนมองคนที่นั่งอยู่ไกลออกไป กำลังนั่งกินข้าวอยู่กับจงแด “ฉันทำอะไรผิดไปนะ”

“ก็บอกว่าไม่ต้องคิดมากไง”

“พวกนายไม่เข้าใจฉันอ่ะ ฉัน...”

“อยากรู้จักกับชานยอลตั้งแต่ตอนเก็บผ้าพันคอให้ วิ่งหน้าตั้งแถมเอื้อมสุดตัว...”

“อย่ามาแซวนะเว้ย!” แบคฮยอนอยากจะเอามือทุบหัวเพื่อน “ตอนแรกมันเหมือนจะดี แต่มันแย่ลงทุกวันเลย เวลาซ้อมดนตรีก็คุยแต่กับแทฮา คุยกับยองจุน ทำไมอ่ะ เพราะเล่นดนตรีเหมือนกันเหรอ ฉันเป็นนักร้องนำนะ สำคัญเท่ากันนั่นแหละ”

“งั้นก็ถามสิ”

“ถามชานยอล ชานยอลก็ตอบว่าไม่มีอะไรนั่นแหละ ถามจงแดแล้ว...จงแดก็ตอบว่าไม่มี”

“แล้วเรื่องน้องแฮรินเป็นยังไงบ้าง?” จุนมยอนถามเขาที่ถอนหายใจหนักกว่าเดิม “มันแย่ขนาดนั้นเลย?”

“เลิกคุยแล้ว ไปกันไม่ได้ว่ะ”

“ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าไปคุย ไม่เชื่อเพื่อน”

“โอเค ขอโทษ” แบคฮยอนผิดเองที่ไม่ฟังที่เพื่อนบอกว่าไม่ต้องไปตอบรับยอมคุยกับน้องเค้าหรอก ยังไงก็ไปกันไม่ได้ “ช่างมันเถอะเรื่องนั้นน่ะ ตกลงชานยอล...โกรธอะไร”

“เรื่องนี้ก็ช่างมันเถอะ นายน่ะ...คิดมาก”

ไม่จริงสักหน่อย ถ้าเกิดว่ามันปกติเขาก็ต้องรู้สึกปกติ แต่ว่านี่มันไม่ได้ปกติสักหน่อย แต่พอถามไปแล้วชานยอลก็ยิ้มกลับมาแล้วก็ตอบว่าไม่มีอะไร ไม่เคยมีอะไรเลย

ช่วงบ่ายชานยอลก็ไม่ได้คุยกับเขา มีบ้างที่เขาถามเรื่องแบบฝึกหัดแล้วชานยอลก็ตอบตามปกติ แต่ที่มันไม่ปกติมันก็มี นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ น่าหงุดหงิดตัวเองชะมัดเลย!

วันนี้มีซ้อมดนตรีต่อตอนเย็น ที่จริงมันก็มีทุกวันอย่างที่เขาเคยบอกชานยอลไป เพียงแต่เรายุบวันศุกร์ทิ้งเพราะมันควรจะเป็นวันที่ได้เที่ยวเล่นอย่างสมบูรณ์แบบ

แต่ก็นะ...ขนาดรอไปซ้อมดนตรีด้วยกันชานยอลยังไม่รอเลย ปล่อยให้เขาตั้งหน้าตั้งตาลบกระดานตามคำสั่งของมินซอก หันมาอีกที...หายไปแล้ว

แต่สิ่งที่เขาไม่อยากเห็น รู้สึกว่าไม่น่าเลย และมันทำให้จงอินกับคยองซูพยายามกลั้นขำไม่หยุด ก็คือแฮรินที่ยืนอยู่ข้างนอกห้องตอนนี้ บอกว่าพี่แบคฮยอนคะ มีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยค่ะ

ไม่น่ามีอะไรจะต้องคุยกันแล้วมั้ง เขาว่าเขาพูดชัดเจนแล้วนะ

“มีอะไรรึเปล่า แฮริน?” แบคฮยอนพยายามสุภาพ และในขณะเดียวกัน เขาก็ควรที่จะมีรอยยิ้มติดใบหน้าเอาไว้เสมอ

“เรา...คือว่าฉันทำอะไรผิดไปเหรอคะรุ่นพี่ ถ้าเกิดว่าฉันทำอะไรไม่ดี ฉันจะแก้ไขมันให้ดีขึ้นนะคะ แต่ว่าเรา—”

“ไม่ แฮริน มันไม่ใช่แบบนั้น” เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรให้มันไม่ใจร้าย “พี่คิดว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่...คือพี่เปิดใจให้เรานะ แต่เราไปกันไม่ได้หรอก”

“...”

“พี่ขอโทษ แต่เราอย่าชอบพี่เลย คงจะมีใครสักคนที่เข้ากับเราได้ แล้วก็รักเรา”

“แต่ฉัน...ฉัน...ฮึก...ชอบรุ่นพี่”

“ขอโทษจริง ๆ นะ แฮริน”

แบคฮยอนทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนี้ เขาไม่กล้าทำแม้แต่จะยกมือขึ้นแตะไหล่หรือช่วยอะไรรุ่นน้องที่กำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้าได้เลย เขาพยายามแล้วแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชอบรุ่นน้องตรงหน้าเลยสักนิด แม้ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่ใจร้ายเกินไปหน่อยสำหรับจิตใจของคนคนหนึ่ง แต่เขาก็ทำดีที่สุดได้เท่านี้จริง ๆ

และทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ ตอนที่แฮรินวิ่งหนีไปพร้อมกับน้ำตาที่แอบแก้ม เขาได้แต่ถอยไปยืนพิงกำแพงตึกโรงเรียน อะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์เป็นลบมักจะทำให้รู้สึกแย่เสมอเลย

“...โอเครึเปล่า?”

“ชานยอล...” เขาหันไปมองคนที่ยืนอยู่ทางขวามือของเขา ก่อนหน้านี้คงจะยืนอยู่ข้างหลัง แล้วคำถามแบบนั้น...ได้ยินหมดเลยหรือ “ไม่ได้ลงไปซ้อมแล้วเหรอ?”

“ยัง...ฉันเอาหนังสือไปคืนห้องสมุดมาน่ะ”

“อ๋อ...โอเค” ทำตัวไม่ถูกเลย จะพูดอะไรดีนะ “ลงไปซ้อมพร้อมฉันไหม?”

“นายโอเครึเปล่า?”

“...”

“ไม่เป็นไรนะ?”

“ฉันไม่เป็นไร” เขายิ้มให้ชานยอล “ก็แค่รู้สึกแย่น่ะ ที่ทำคนร้องไห้ มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นใช่ไหมล่ะ”

“มันเป็นเรื่องธรรมชาติถ้าเราจะทำให้ใครเสียใจไปบ้าง อย่าโทษตัวเองเลย”

“แล้วนายล่ะ?” เขามองหน้าชานยอลที่สบตาเขาอยู่เหมือนกัน ถึงจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา แต่แบคฮยอนก็รู้สึกว่าเขาจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ “ฉัน...ทำอะไรให้นายโกรธรึเปล่า หรือว่านายไม่ชอบใจอะไรฉัน ฉันทำอะไรเหรอ?”

“นายก็ไม่ได้ทำอะไรนี่...”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายต้องเมินฉันล่ะ?”

“...”

“นั่น! เมินกันจริง ๆ ใช่ไหม!” แบคฮยอนไม่อยากทำหน้าโกรธเลย แต่ว่าห้ามตัวเองไม่ได้ “ทำไมล่ะ!”

“ฉัน...งี่เง่าไปเองแหละ” ชานยอลเบือนหน้าหนี หลบสายตาของเขา “ขอโทษนะ แบคฮยอน”

“ไม่ยกโทษให้!” ชานยอลจะรู้ไหมว่าเขาคิดมากอยู่เป็นอาทิตย์ จะรู้ไหมว่ามันรู้สึกแย่มากแค่ไหน “นาย...”

“ขอโทษ”

“ก็บอกว่าไม่ยกโทษให้ไง!” เขาเดินกลับเข้าไปในห้องเรียน เดินตรงเข้าไปคว้ากระเป๋านักเรียนของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ ในใจเอาแต่คิดว่าจะรีบลงไปที่ห้องซ้อมดนตรีข้างล่าง คนที่จงใจเมินเขาแบบนั้นทั้งที่เขาไม่มีความผิดอะไรด้วยซ้ำ คนแบบนั้นน่ะ...จะเป็นเพื่อนกันยังไง เป็นไม่ได้หรอก! “เฮ้ย ไปแล้วนะ”

“เออ เจอกันพรุ่งนี้” เพื่อนบอกลาเขาที่เดินออกจากห้อง ไม่สนใจคนที่คว้ากระเป๋าแล้วเดินตามเขามา เขารู้ว่าชานยอลตามเขาทุกฝีก้าว ถึงจะพูดว่าขอโทษและเขาที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมฟังเท่าไหร่นัก ถ้าเมินเขาแล้วจะมาสนใจทำไม นับจากวันนี้เขาก็จะไม่สนเหมือนกัน

“แบคฮยอน”

“...”

“แบคฮยอน ฉันขอโทษจริง ๆ”

“ก็บอกว่า—”

“ฉันรู้ว่านายไม่ยกโทษให้ แต่ฉัน...”

“ฉันไม่สน!”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ว่าฉัน...มัน...”

“ก็บอกว่าฉันไม่สนไง!”

“ฉันก็แค่ชอบนาย!”

“...”

“ฉัน...ขอโทษ” ชานยอลก้าวถอยหลังห่างออกไปจากเขา เบือนหน้าหนีเพื่อซ่อนความรู้สึกที่อยู่ภายใน “ขอโทษจริง ๆ”

แบคฮยอนกล้าพูดเลยว่ามันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้แต่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้น เขาไม่แม้แต่จะส่งเสียงออกจากลำคอหรือก้าวเท้าเดินออกไปได้ สิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้คือการมองตามคนที่เดินหันหลังจากเขาไปอีกทาง

ใช้เวลาหลายนาทีกว่าที่เขาจะตั้งสติได้ มันยากนักที่จะทบทวนและทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่แบคฮยอนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยแต่เขาก็ต้องยอมรับมันว่าหูของเขานั้นไม่ได้แว่วไป ชานยอลบอกว่า...ชอบเขา?

บอกว่าชอบเขา ชอบบยอนแบคฮยอนคนนี้

เพราะว่าแบบนั้น...ก็เลยทำตัวแปลกไป ตอนที่รู้ว่าเขาคุยกับคนอื่นอยู่สินะ ตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวด้วยกัน ถ้าเกิดว่าไม่ได้พูดออกไปแบบนั้น เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้ หรือว่า...มันจะเป็นความผิดของแบคฮยอนครึ่งหนึ่งกันนะ?

ความรู้สึกของแบคฮยอนเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น คำที่บอกว่าไม่ยกโทษให้หรือว่าไม่สนอีกแล้วมันจางหายไป เขาเองก็เคยมีความรู้สึกแอบชอบใครเหมือนกัน และมันก็เจ็บที่ใจน่าดูเลยเวลาที่รู้ว่าคนที่เราชอบ เค้าก็มีคนที่เค้าชอบเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้...ชานยอลไม่ควรที่จะต้องรู้สึกเจ็บอะไร เพราะว่าเขาไม่ได้ชอบใครนี่

ตอนแรกเขาเดินหนีมาเพราะว่าเขาโกรธ แต่ตอนนี้ชานยอลเดินหนีเขาไปแล้ว ทำไมถึงต้องเดินหนีไปด้วยนะ ฃานยอลโกรธเขารึไง

ลงไปซ้อมดนตรีแล้วเขาจะพูดอะไรดีนะ แต่อันดับแรกเขาต้องยิ้มให้ชานยอลก่อน เป็นสัญญาณว่าเราจะไม่ทะเลาะกันแล้ว เขาจะไม่โกรธชานยอล แล้วชานยอลก็จะไม่เมินเขาด้วย

แต่...

“อ้าว ชานยอลไปไหนล่ะ?”

“ไม่รู้นะ ยังไม่เห็นมันมาเลย” แทฮาที่เทสต์เครื่องดนตรีอยู่ตอบเขาที่เดินเข้าไป “มันมาซ้อมไหมวันนี้?”

“ต้องมาดิ ก็นัดไว้แล้ว” เพื่อนอีกคนพูด “แบคฮยอนโทรตามดิ้ ไม่ออกจากห้องมาด้วยกันไง?”

“ก็ออกมาด้วยกันนะ แต่...ชานยอลเดินมาก่อนอ่ะ นึกว่าจะมาซ้อมก่อน” เขาไม่รู้จริง ๆ “เอายังไงดีล่ะ มันต้องซ้อมนี่ คอร์ดสำคัญของนายน่ะ”

“งั้นเอาไงล่ะ มันก็คงมีธุระสำคัญของมัน”

“ซ้อมไปก่อน ให้มันมาตามทีหลังก็ได้ มันเก่งอยู่”

“ฉันจัดการเอง!” เขาส่งเสียงดังไปกลางวง “ฉันจัดการได้”

“เออ งั้นหน้าที่นายละกัน ตามให้ไอ้ชานยอลมันด้วยนะ”

“ได้เลย!”

แบคฮยอนไม่รู้หรอก คนอย่างเขามันไปตายเอาดาบหน้าอยู่แล้ว ถึงจะร้องเพลงไปตามคอร์ดที่เพื่อนเล่น แต่ในหัวของเขาคิดถึงแต่เรื่องของคนที่วันนี้ไม่ยอมมาซ้อมกีต้าร์ ถ้าไม่ยอมมาเล่นดนตรีด้วยกันแบบนี้ โทรไปก็คงจะไม่รับเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะต้องโทรไปหาจงแดแทน ถามว่าหลังเลิกเรียนแบบนี้ ชานยอลจะไปไหนได้บ้างเหรอ...นอกจากบ้าน

บ้านของชานยอลอยู่ที่ไหนกันนะ?

(ฮัลโหล)

“จงแด นี่แบคฮยอนนะ” เขาโทรหาจงแดตอนที่กำลังเก็บของอยู่ในห้องซ้อม ลาเพื่อนเป็นภาษากายเพราะคุยโทรศัพท์อยู่

(อ้อ แบคฮยอนเหรอ มีอะไรรึเปล่า?)

“ฉัน...อยากรู้ทางไปบ้านชานยอลน่ะ”

(บ้านชานยอลเหรอ นายจะไปทำไม?)

“วันนี้ชานยอลไม่ได้มาซ้อมน่ะ ฉันก็เลย...”

(อ๋อ เรื่องดนตรี ๆ สินะ เดี๋ยวฉันส่งข้อความไปให้)

“โอเค ขอบใจนะ!”

แบบนี้มันแปลกไหมนะ? เขารู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองมากเลย แต่พรุ่งนี้ถ้าไปทำตัวแปลก ๆ ที่โรงเรียน ไม่มีวันรอดพ้นสายตาของจงอินกับคยองซูอยู่แล้ว ถ้ามันถามมากเข้าแล้วแบคฮยอนจะตอบอะไรล่ะ จะตอบว่าชานยอลชอบก็ไม่ได้อีกเพราะเขาไม่รู้ว่าชานยอลจะให้พูดไหม หรือว่าพูดออกไปไม่ได้

ก็มันเป็นความรู้สึกของชานยอลนี่ ถ้าชานยอลอยากจะบอกใคร มันก็คงเป็นเรื่องของชานยอล จะเอาไปพูดพล่อย ๆ ให้คนอื่นฟังคงไม่ได้หรอก

เมื่ออ่านข้อความที่จงแดส่งมาแล้ว เขาก็พบว่าบ้านของชานยอลนั้นไม่ได้ไปยากเลย มันเป็นย่านที่ใครก็รู้จัก เขาเพียงแค่ต้องเข้าให้ถูกซอย กดกริ่งให้ถูกบ้านเท่านั้นแหละ สิ่งที่เขาทำเลยเป็นการเดินไปตามทางในยามเย็น ฟังเพลงที่ชอบและเดินต่อไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็เดินเข้าซอยที่จงแดส่งมาให้ ชั่งใจเล็กน้อยแหละตื่นเต้นนิดหน่อยตอนที่วางนิ้วลงไปกริ่งบ้านเลขที่ 61/6

บยอนแบคฮยอนลงทุนทำขนาดนี้เลยนะ มันจะต้องออกมาดีนั่นแหละ!

“สวัสดีครับ” เขาโค้งให้ผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งที่มองแล้วก็รู้ว่าคงเป็นคุณแม่ของชานยอลแน่นอน “ผมมาหาชานยอลน่ะครับ”

“จ้ะ เข้ามาก่อนสิ” คุณแม่เปิดประตูให้เขา “ชานยอลกำลังกินข้าวอยู่เลย เรากินข้าวมารึยังจ๊ะ กินกับชานยอลไหม?”

“ยังเลยครับ” แบคฮยอนเป็นโรคหิวทันทีเมื่อรู้ว่ามีของกิน “แต่ว่า...เดี๋ยวผมขอคุยกับชานยอล—”

“ชานยอล มีเพื่อนมาหา” คุณแม่นำเขาเข้าไปในบ้าน ในส่วนที่มีโต๊ะอาหารสำหรับสี่คนตั้งอยู่

“แบคฮยอนเอง”

“แค่กๆ” เขาไม่รู้ว่าชานยอลกินอะไร แต่เจ้าตัวสำลักมันจนทั้งเขาและคุณแม่ตกใจ

“นาย เป็นอะไรรึเปล่า?!” เขาเข้าหาคนที่ดูเหมือนจะต้องการน้ำโดยเร็วที่สุด และมันก็เป็นเขาที่คว้าแก้วบนโต๊ะส่งให้ชานยอล “นายเป็นอะไรรึเปล่า?”

“เปล่า ฉะ...ฉันไม่เป็นอะไร” ชานยอลทุบหน้าอกตัวเอง “ไม่...ไม่เป็นไร”

“เห็นหน้าฉันแล้วสำลักข้าวเลยเหรอ?” เขายิ้มทะเล้น ลบความบาดหมางในใจทิ้งไป “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

“...”

“นายจะเมินฉันต่อรึไง?”

“ไม่ใช่!” ชานยอลตอบเขาทันควัน “ฉัน...ก็แค่ตกใจน่ะ แล้ว...นายมาทำอะไร?”

“ฉันเอาคอร์ดที่เพื่อนซ้อมมาให้น่ะ ที่นายบอกฉันว่ามันสำคัญแล้วก็โดดซ้อมไง”

“ขอโทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ—”

“ฉันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” แบคฮยอนรู้สึกขัดเขิน แต่เขา...”แล้วก็ ไม่ได้โกรธแล้วก็ไม่ได้ไม่สนแล้วนะ”

“...”

“นายอ่ะ...”

“เอ่อ...แบคฮยอน...กินข้าวไหม?”

“ฉันกินได้เหรอ?” เขานั่งลงข้างชานยอล “กินสิ!”

ชานยอลบอกเขาว่าให้นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรทั้งนั้น ส่วนคุณแม่ของชานยอลนั้นก็ปล่อยให้เราอยู่กันสองคน แล้วชานยอลก็ปล่อยให้เขานั่งมองเจ้าตัวทำนั่นทำนี่อีกที ไม่นานนักเขาก็ได้ข้าวหนึ่งถ้วยมาพร้อมกับช้อนและตะเกียบ ตรงหน้าเขามีแกงเต้าเจี้ยวน่าอร่อย และมันทำให้เขาหยุดตัวเองที่จะคว้าช้อนมาถือเอาไว้ไม่ได้

“กินข้าวเสร็จแล้วทำไรอ่ะ?” เขาชวนชานยอลคุย “ทำการบ้าน?”

“อาบน้ำก่อนน่ะ แล้ว...ค่อยทำ”

“เหรอ ส่งการบ้านฟิสิกส์ให้หน่อยสิ ไม่อยากทำเลยอ่ะ”

“ดะ...ได้ เดี๋ยวส่งให้”

“นายกลัวฉันรึไง ทำต้องพูดติดอ่างด้วย”

“ไม่ได้กลัวสักหน่อย” ชานยอลตอบเขา ใบหูแดงก่ำ “ฉันก็แค่...”

“นายเขินฉันเหรอ?” เขาแหย่ชานยอลที่ขยับหนีเขา “ฮะ ๆ นายนี่...น่ารักจัง”

“...”

“แม่นายทำกับข้าวอร่อยจังเลย แล้วนี่...พรุ่งนี้ไปกินข้าวเช้าด้วยกันไหม? ฉันกินไม่ค่อยทันอ่ะ ตื่นสายตลอดเลย ต้องวิ่งหน้าตั้งไปโรงเรียน...”

“ก็เอาแต่เล่นเกม ไม่ยอมนอน”

“โหย นี่ว่าเหรอ” เขาทำหน้าบึ้งใส่ชานยอล “ก็มันสนุกนี่ ติดลมเลิกไม่ได้น่ะ ไม่เคยเป็นรึไง?”

“ก็ห้ามใจเอาไว้เล่นสุดสัปดาห์ จะได้ไม่กระทบเวลานอน”

“แหม ทีนายยังห้ามใจไม่ให้เมินฉันไม่ได้เลยนะ”

“...อะไรกันเล่า”

“ฉันก็พอรู้ว่านายเป็นคนน่ารักนะ แต่ฉัน...ไม่คิดว่านายจะเป็นคนน่ารัก แบบว่าน่ารักจังเลย เป็นชานยอลตัวโตที่น่า—”

“เงียบเลย พูดมากจัง”

“เอ้า” นี่แบคฮยอนกำลังชมอยู่นะ กำลังสาธยายถึงความน่ารักของชานยอลที่รู้สึกได้อยู่เต็มอก “ตกลงจะไปกินข้าวเช้าที่โรงเรียนกับฉันไหม?”

“นายมาไม่ทันหรอก เข้ารั้วโรงเรียนมาก็แปดโมงครึ่งแล้ว”

“เออ จริงด้วย เพราะว่าตื่นมาก็เจ็ดโมงสี่สิบห้าแล้วนี่เนอะ”

“เดี๋ยวฉัน...เอาใส่กล่องไปให้กินตอนโฮมรูม”

“จริงเหรอ!”

“อื้ม...”

“ชานยอล นายทำไมน่ารักจังอ่ะ น่ารักที่สุดเลย!”

“เงียบหน่า...”





♡♬





“โอ๊ย หมั่นไส้เว้ย”

“ชานยอล คนอื่นในห้องไม่ใช่เพื่อนนายรึไง นายทำมาให้มันกินคนเดียวเนี่ยนะ”

“ฉัน...” เขาพูดไม่ถูก “...ฉันแค่เอาใส่กล่องมา”

“ไม่ให้!” แบคฮยอนที่กินไข่ดาวเข้าไปทั้งฟองตะโกนลั่น “ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ”

“แหม ไอ้ตัวกระเปี๊ยก นายนี่มันจริง ๆ เลยนะ” เซฮุนคงหมดความอดทน “เป็นบ้ารึไง เดี๋ยวก็บอกว่าชานยอลไม่ชอบ ชานยอลเมิน ชานยอลไม่คุยด้วย ตอนนี้ตัวติดกันเป็นฝาแฝด”

“ฉันว่าแบคฮยอนคนเดียวมากกว่า ติดชานยอลน่ะ”

ชานยอลได้แต่นั่งเงียบฟังเพื่อนพูดคุยกัน ในขณะที่แบคฮยอนนั้นกำลังกินข้าวกล่องที่เขาแบ่งเอามาให้ด้วยความเอร็ดอร่อย เป็นเวลามากกว่าสองอาทิตย์แล้วที่เขาเอาข้าวมาให้แบคฮยอนกินตอนเช้าแบบนี้ เพราะเขารู้ว่าเจ้าตัวนอนดึกมากขนาดไหน ตื่นมาโรงเรียนยังไม่ค่อยทันเลย แรก ๆ ก็ไม่ค่อยมีใครสังเกตอะไร แต่พอนานวันเข้าก็โดนเพื่อนแซวแบบนี้ แต่แบคฮยอน...ก็เอาแต่บอกว่าไม่ต้องมายุ่งเลยนะ

‘มีคนมาชอบน่ะ มีความสุขมากเลยนะ’ แบคฮยอนบอกเขา ตอนที่เรานั่งซ้อมร้องเพลงอยู่ด้วยกัน ‘ยิ่งเป็นชานยอลแล้ว มีความสุขมาก ๆ เลย วะฮู้วววว!’

แบคฮยอนเป็นคนที่น่ารัก และ...เป็นบ้า ไปพร้อม ๆ กัน แต่ทั้งหมดนั่นมันก็เรียกว่าน่ารักนั่นแหละ เขายังคงรู้สึกเหมือนเดิมกับแบคฮยอนเสมอ ใจหนึ่งเขาโทษตัวเองว่าไม่น่างี่เง่าเลย แต่อีกใจก็บอกว่าดีแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้น...เขาคงไม่ขาดสติกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกไปแน่

แต่ถึงอย่างนั้น...ในวันที่ขาดสติ เขาทิ้งความกังวลไปไม่ได้เลย ชานยอลได้แต่คิดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาพังทุกอย่างลงไปแล้ว ทุกอย่างที่มันไม่เคยดีมาตั้งแต่ต้นและมันแย่ลงไปเพราะเขา เขาที่พูดคำนั้นออกไป ทุกอย่างมันจบลงไปแล้ว

จนกระทั่งแบคฮยอน...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมาหาเขาที่บ้าน ได้มานั่งกินข้าวด้วยกัน

“คิดอะไรอยู่?”

“อะไร?”

“นายนั่นแหละ อะไร” แบคฮยอนยิ้ม “วันนี้จะเล่นเพลงรักให้ร้องไหม?”

“พูดมากอีกแล้วนะ”

“ทำไมเดี๋ยวนี้ว่าเก่งจัง” เขาถูกแบคฮยอนดึงแก้มจนยืด “ตอนนั้นยังบะ...แบคฮยอน—โอ๊ย เจ็บนะ ชานยอลอ่ะ!”

“ขอโทษ! เจ็บมากไหม” เขาไม่ได้ตั้งใจจะทุบแบคฮยอนแรงขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าคนโดนทุบจะโอเวอร์แอคติ้งเหลือเกิน

“หลังหักแล้ว หลังหัก!”

“เดี๋ยวฉันทุบให้ ถ้าอยากหลังหักน่ะ!” คยองซูส่งเสียงมาจากหน้าห้อง

“ก็บอกว่าไม่ต้องมายุ่งไง!”

ชานยอลไม่รู้ว่าแบคฮยอนคิดอย่างไรกับเขา เพียงแต่ในตอนนี้สิ่งที่เราเป็นมันดีที่สุดเท่าที่เขาจะจินตนาการได้แล้ว ในช่วงเช้าของทุกวัน แบคฮยอนจะนั่งกินข้าวอยู่กับเขาในคาบโฮมรูมโดยซื้อนมสตรอว์เบอร์รี่หรือนมรสกล้วยมาให้เขาเป็นการตอบแทน นั่งเรียนด้วยกันโดยที่แบคฮยอนชวนเขาคุยทุกห้านาที ยืมยางลบ ยืมไม้บรรทัด อันนี้ทำยังไง วันนี้กลางวันจะกินอะไร ต้องไปนั่งด้วยกันนะ ซื้อขนมไหม เรียนฟิสิกส์ในตอนบ่ายก็บอกว่าชานยอลช่วยแบคฮยอนด้วย ข้อนี้ทำไม่ได้ อันนี้ก็ทำไม่ได้

เมื่อสามวันก่อน จงอินมายืนกอดอกที่หน้าโต๊ะของพวกเขา ถามว่า...เป็นแฟนกันรึไง

พอเห็นแบคฮยอนยิ้มกว้าง เขาก็เลยยิ้มตาม

ไม่เป็นไรหรอก คราวนี้เขาจะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรจริง ๆ แล้ว ต่อให้จะมีใครเข้ามา อย่างน้อยแบคฮยอนก็ได้รับรู้ความรู้สึกของเขา แล้วเราก็จะเป็นเพื่อนกัน นั่นมันดีมากแล้วจริง ๆ

ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เขาก็ไม่ชอบมันเลยสักนิด และมันทำให้เขาคิดได้ว่าถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะคุยกับใคร แต่ถ้าเขายังได้คุยกับแบคฮยอนและได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แค่ได้เป็นเพื่อนกัน แค่นั้นก็ดีที่สุดแล้ว

“วันนี้เราอยู่ซ้อมกันสองคนนะ”

“ทำไมล่ะ?”

“พวกมันไปไหนกันก็ไม่รู้ มันก็ชวนแล้วล่ะ แต่ว่าฉันบอกว่าชานยอลกับฉันไม่ไป เราก็เลยจะซ้อมกันสองคน”

“งั้นวันนี้เราหยุดก็ได้” ถ้าเกิดว่าเพื่อนไม่มา แบคฮยอนจะได้หยุดพักด้วย “นายจะได้ไปพักผ่อน”

“ทำไมอ่ะ นายไม่อยากซ้อมกับฉันสองคนเหรอ?”

“...อยาก”

“อยากเหรอ!” แบคฮยอนยิ้มแป้น “งั้นไปซ้อมด้วยกันนะ”

“ไม่อยากพักเหรอ กลับบ้านไปพักก็ได้”

“ไม่เอา จะอยู่กับชานยอลน่ารัก ๆ” คำพูดของแบคฮยอนทำให้เขายิ้มออกมาอีกแล้ว ถึงคำว่าน่ารักมันจะฟังดูแปลก แต่ถ้าแบคฮยอนพูดก็โอเค “แล้วเราก็จะ...วันนี้นายไปกินข้าวบ้านฉันไหม ฉันเคยไปกินข้าวบ้านนายแล้ว นายยังไม่เคยไปบ้านฉันเลย”

“ฉันเกรงใจน่ะ” เขาอยากไปนะ แต่ก็รู้สึกเกรงใจ “ไม่เป็นไรหรอก”

“งั้น...พรุ่งนี้วันเสาร์...ไปไหนกันดี?”

“ทำไมต้องไปไหนล่ะ?” เขาไม่เข้าใจแบคฮยอน “นายอยากไปไหนเหรอ?”

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราไปอ่านหนังสือด้วยกัน มีเพื่อนคนอื่น ๆ ไปด้วย ชานยอลได้นั่งอยู่กับแบคฮยอนทั้งวัน ได้รู้ว่าแบคฮยอนไม่ชอบกินอะไรขม ๆ แตงกวาไม่กิน ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ดี แต่เขาว่ามันก็เรื่องปกตินั่นแหละ คนเรามันก็ต้องมีอะไรที่ชอบและไม่ชอบกินไปบ้าง นอกจากนี้...เขายังได้รู้เรื่องหัวใจของแบคฮยอนด้วย

‘นายรู้รึเปล่าว่าฉันเคยมีแฟนด้วยนะ’ แบคฮยอนคุยกับเขาที่พยักหน้ากลับไป บอกว่ารู้เพราะจงแดเล่าให้ฟัง ‘ตอนที่ฉันอยู่ปีสอง ถ้าไม่ลองคบรุ่นพี่ดูนี่ ไม่รู้เลยนะว่าเอาแต่ใจเก่งมากเลย เป็นสุดยอดเลยล่ะ ที่เลิกกัน...ก็คงเพราะฉันตามใจไม่ไหวแล้วล่ะมั้ง ฉันก็มีชีวิตของตัวเอง มีอะไรที่อยากทำเหมือนกัน’

‘...’

‘ฉันคุยกับคนก็เยอะ ดูเหมือนคนป็อปเลยนะ แต่ก็นั่นแหละ ไม่เห็นจะมีความสุขตรงไหน’ คนพูดถอนหายใจ ‘ถ้าเกิดว่าจะคบใครอีกนะ ฉันจะผลัดกันตามใจคนละเรื่อง อย่างเช่น...วันนี้ฉันอยากไปกินข้าวกับนาย นายตามใจฉันนะ’

‘...’

‘แล้วฉันก็จะตามใจนาย ให้นายเลือกว่าอยากจะกินอะไร แบบนี้ไง อยากกินอะไร เลือกเร็ว’

‘...พาสต้า’

‘จัดไป!’

แบคฮยอนเป็นคนน่ารักและยิ้มแย้มแจ่มใส ในขณะเดียวกันก็ชอบเสียงดังและหยุดตัวเองไม่ได้ บางทีก็อยากจะให้มีใครมาตามใจบ้าง ฟังแล้วมันก็เข้าใจอารมณ์คนที่ต้องตามใจคนอื่นตลอดเวลา บางทีใจมันก็คงมีอะไรที่อยากทำบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่ได้คบกับแบคฮยอนคิดอะไร แต่ถ้าเป็นเขา...แบคฮยอนคงเป็นคนที่เขาอยากจะตามใจ ทำให้ยิ้ม ทำให้หัวเราะเยอะ ๆ

“สองคนนั้นอย่าเพิ่งไปไหน ชานยอลมาลบกระดาน แบคฮยอนยกเก้าอี้ด้วย”

“ฉันอยากลบกระดาน!” แบคฮยอนไม่อยากยกเก้าอี้

“งั้นนายไปลบกระดาน เดี๋ยวฉันยกเก้าอี้ให้” เขาเดินไปยกเก้าอี้ ส่วนแบคฮยอนนั้นเดินยิ้มไปรับแปรงลบกระดานจากมินซอก ตั้งหน้าตั้งตาชั่วกันทำความสะอาดท่ามกลางเสียงทะเลาะของคิมจงอินและโดคยองซูที่ทะเลาะกันทุกวันเป็นเรื่องปกติ อีกห้านาทีต่อมาเดี๋ยวก็เดินกลับบ้านด้วยกัน

ชานยอลคุยกับจงแดเรื่องรายงานที่ทำคู่กันระหว่างยกเก้าอี้ พอหันไปถามแบคฮยอนเจ้าตัวก็บอกว่ายังไม่ได้ทำเพราะเซฮุนยังไม่ว่าง เขาเลยบอกจงแดว่าเดี๋ยวเริ่มทำคืนนี้ก็ได้ เดี๋ยวโทรไปหา

“นายจะคุยกับจงแดถึงกี่โมง โทรหาฉันด้วยสิ”

“...”

“เอ้า ทำไมล่ะ เดี๋ยวเล่นเกมรอ”

“มีอะไรรึเปล่า คุยกันตอนนี้ก็ได้” เขาบอกแบคฮยอนระหว่างที่เราเดินลงไปข้างล่างเพื้อไปซ้อมดนตรีด้วยกัน

“ฉันก็แค่อยากให้นายโทรหาอ่ะ โทรหาหน่อยสิ”

“โอเค เดี๋ยวโทรก็ได้” เขาเอง...ถ้าพูดแบบนั้น เขาก็คงอยากโทรเหมือนกัน “แต่ถ้าดึกก็ไม่ต้องรอนะ นอนไปก่อนเลย”

“ส่งข้อความมาสิ ไม่เอา นายก็รีบ ๆ คุย ฉันจะรอนะ”

“ฉันจะรีบ ๆ คุย” เขาตอบไปยิ้มไป “จะรีบโทรหานายนะ”

“ดีมาก นายนี่น่ารักจริง ๆ” แบคฮยอนยิ้มให้เขาเหมือนกัน “ความจริง...ฉันมาคิด ๆ ดูแล้ว...”

“...”

“นายอยากจีบฉันไหม?”

“พูดอะไรเนี่ย!”

“อ้าว ก็นายบอกว่าชอบฉันนี่หน่า” แบคฮยอนพูด “นายจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ หรือว่าอยากเป็นเพื่อนกันไป?”

“ไม่...ไม่ใช่แบบนั้น” ชานยอลไม่รู้จะพูดยังไง อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้คิดว่าแบคฮยอนจะพูดแบบนี้ “ฉัน...”

“หรือว่าที่เอาข้าวมาให้กินตอนเช้า...อันนั้นคือนายจีบฉันเหรอ ใช่แน่ ๆ ร้ายนักนะ“ แบคฮยอนหรี่ตา กำกำปั้นมาชกไหล่เขา

“ฉันก็แค่เอามาให้ กลัวนายจะหิว”

“อะไรอ่ะ ปฏิเสธเหรอ?!”

“ฉัน...” ทำไมเขาต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ “ฉันไม่รู้จะพูดยังไง แต่...นายหมายถึงว่าให้เราคุยกัน แบบนั้น...”

“แล้วแต่ นายชอบฉันนี่”

“...”

“เอาไง?”

“ก็...คุยกัน” ชานยอลต้องกำลังหน้าแดงแน่ ๆ เขาเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้ว “นายอยาก...คุยกับฉันไหม?”

“อยากสิ!” แบคฮยอนเหมือนคนที่กำลังจะหัวเราะออกมาแล้ว

“งั้น...คุยกันนะ”

ชานยอลทำใจกล้าแบมือไปตรงหน้าแบคฮยอน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าขีดจำกัดความสุขของคนเรามันจะมีได้มากเท่าไหน จนกระทั่งแบคฮยอนยกมือของตัวเองวางทับลงบนมือของเขา สอดประสานนิ้วของเราเข้าด้วยกันเพื่อให้การจับมือครั้งแรกของเรา...แน่นแฟ้นที่สุด

“คุยกัน...ฮะ ๆ เขินจัง”

แก้มของแบคฮยอนแดงเหมือนสตรอว์เบอร์รี่ แก้มและหูของเขาก็คงไม่ต่าง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องสนใจหรอก ตอนนี้เขารู้เพียงแต่ว่า...

มีความสุขที่สุดเลย



















Reply · Report Post