sodaisy95

🧸🎈💙 · @sodaisy95

21st Dec 2018 from TwitLonger

i'm in love with you# #ดซชานแบค



: i'm in love with you (special)
: chanbaek
: #ดซชานแบค





แบคฮยอนนั่งอ่านบทความในโทรศัพท์ รู้ตัวดีว่าตอนนี้กำลังมีใครมองตัวเองอยู่บ้าง ทั้งผู้จัดการคนเก่งและเลขาคนดี ทั้งสองคนเอาแต่คุยกันเงียบๆ สลับกับมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ได้เป็นไปในทางลบอะไร สงสัยคงคุยเรื่องของเขาหรือไม่ก็เรื่องที่เกี่ยวกับเขา บางทีสองคนนี้ก็ชอบเอาชนะกันด้วยเรื่องที่ว่าเขาเคยทำอะไรให้บ้าง อย่างน้องแบคฮยอนเคยซื้อกระเป๋าเจ๊ คุณแบคฮยอนเคยซื้อรองเท้าให้ผม

“มีอะไรก็ถามได้ครับ ผมไม่ได้ว่าอะไร” เขามองคุณผู้จัดการกับเลขาที่กระซิบกันไปมองเขาไปอยู่นานแล้ว “ว่าไงครับ ?”
“เอ่อ โทษอิโดนะคะ มันไม่มีมารยาท” เจ๊จุนมยอนมีสีหน้าขอโทษขอโพยกับเขาที่ไม่ได้รู้สึกอะไร
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้นินทาคุณแบคฮยอน ผมนินทา...บอสอยู่”

วันนี้เขามาถ่ายโฆษณาน้ำอัดลมที่บริเวณช่วงถนนเส้นเล็กๆเส้นหนึ่งในโซล เป็นโฆษณาที่ตอนแรกมันไม่เกี่ยวกับเขาเลย แต่ว่าจงอินที่ตอนแรกเป็นต้นเรื่องของโฆษณานี้คุยกับทางเจ้าของแบรนด์ที่เสนองานให้ เป็นงานโฆษณาที่จะเน้นถ่ายจงอินกับตัวประกอบที่จะแสดงว่าเป็นเพื่อนกัน แต่จงอินก็ได้เสนอกลับไปว่า ถ้าได้ถ่ายโฆษณากับเพื่อนจริงๆก็คงดี เรื่องค่าตัวของแต่ละคนก็คุยกันได้ ขอแค่เราได้ถ่ายด้วยกันก็คงจะสนุกดีและก็สามารถขายความเป็นเพื่อนได้จริงๆ เลยเป็นโฆษณาแบบเพื่อนชวนเพื่อน แล้วก็ถามว่าคนนี้โอเคไหม คนนี้ถ่ายได้ด้วยรึเปล่า สุดท้ายก็มาถ่ายกันห้าคน มีทั้งความสัมพันธ์แบบเพื่อนแบบพี่น้อง นำเสนอเป็นโฆษณาที่ตัวเต็มยาวเกือบสามนาที

เจ้าของแบรนด์น้ำอัดลมนี้ก็ตกลงในสิ่งที่จงอินนำเสนอและค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก สุดท้ายเซ็นสัญญากับพวกเขาทั้งห้าคนเป็นเวลาสองปี รวมถึงงานอีเวนท์ต่างๆ ที่พวกเขาต้องไปทำให้ในอนาคตด้วย มีทั้งงานนำเสนอสินค้า งานแจกลายเซ็นต่างๆ

“ทำไมวะ มีอะไรเหรอ ?” จงอินที่เพิ่งแต่งหน้าทำผมเสร็จเดินมานั่งข้างๆเขาที่แต่งตัวเสร็จเป็นคนแรก “คยองซูนินทาเจ้านาย ?”
“ไม่ใช่หรอก นินทาบอส”
“มันก็เหมือนกันนี่...”
“ไม่เหมือน บอสน่ะคุณชานยอล เจ้านายน่ะฉัน”
“ยอมใจเพื่อนเลยว่ะ เป็นเมียรองประธาน—”
“ฉันเป็นแฟน ไม่ได้เป็นเมีย”
“นั่นไงอิโด ! จ่ายมาเลยย่ะสามหมื่นวอน บอกแล้วน้องแบคฮยอนของเจ๊ไม่ใช่คนที่จะได้ไปง่ายๆ !”
“อะไรอ่ะ ทำไมบอสผมเป็นคนไม่มีน้ำยา...” คยองซูล้วงมือหยิบกระเป๋าเงินทั้งน้ำตา “คบกันมา...จะครบรอบหนึ่งปีแล้วไม่ใช่หรอครับ ทำไมเป็นแบบนี้ ?”

เขายังไม่ทันตอบอะไร คนอีกสามคนที่ร่วมถ่ายโฆษณาตัวนี้ด้วยก็เดินมานั่งด้วยกัน พอทางกองถ่ายเห็นแบบนั้นก็บอกว่าอีกสิบห้านาทีพร้อมถ่าย ให้รอสักครู่

“ใครคบกันอีก พี่อยากรู้บ้าง ?” มินซอกลากเก้าอี้มานั่งข้างแบคฮยอน ได้ยินแต่คำว่าคบ เรื่องอื่นไม่ได้ยิน
“พี่อี้ชิงนั่นแหละ มีข่าวว่าคบกับนางแบบที่ไหน...” จงอินรู้ข่าวนี้ดี นอนเปิดทีวีฟังผ่านๆแล้วได้ยิน
“คยองซูกับเจ๊มานั่งตรงนี้มา ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” เขาบอกคยองซูกับเจ๊จุนมยอนที่พยายามรักษามารยาทในการแอบฟังอย่างเต็มที่แล้ว “ลากเก้าอี้มาเลย”
“ค่ะ ขอโทษนะคะ แต่ว่าเจ๊แบบ...คือเจ๊ก็อยากรู้ มาสิอิโด ทำเป็นเงียบนะยะ !”
“เอ่อ...คุณอี้ชิงมีแฟนแล้วจริงๆเหรอครับ” คยองซูทำหน้าเหมือนถูกพรากของรักไปจากอก “ผม...”
“ถามเจ้าตัวเองก็แล้วกัน เดินมากับเซฮุนแล้วน่ะ”

พี่อี้ชิงกับเซฮุนที่แต่งตัวเสร็จแล้วกำลังเดินมาตรงที่ที่พวกเรานั่งอยู่ด้วยกัน คยองซูกับเจ๊จุนมยอนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นกุลีกุจอหาเก้าอี้ให้ดาราในดวงใจของตัวเอง เอาพัดพัดให้เขาที พัดให้พี่อี้ชิงกับเซฮุนที

“ตกลงมาดูแลใครเนี่ย แบคฮยอนหรือพี่อี้ชิงกับเซฮุน” จงอินแซวเลขากับผู้จัดการที่เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้ว่าอะไร” เขาโบกมือเชิงว่าไม่คิดอะไรจริงๆ ก่อนที่จะกลับไปให้ความสนใจกับคนที่อยู่ในโทรศัพท์

baekhyun :
เดี๋ยวจะเริ่มถ่ายตอนสิบโมงสิบห้าครับ
คิดถึง ❤️

คุณป๋า 💕:
ป๋าก็คิดถึงหนูจ๋า
เย็นนี้เจอกันนะคะ

baekhyun :
ครับ

“น้องเขาถาม...ว่าที่อี้ชิงมีแฟนน่ะจริงรึเปล่า ?” มินซอกไม่ยอมให้ประเด็นนี้ผ่านไป “ตกลงยังไง ถึงหูนักข่าวแล้วโดนสัมภาษณ์นี่ เตรียมคำตอบอะไรไว้ ?”
“จะเตรียมอะไรล่ะ ก็ต้องตอบว่าไม่น่ะสิ” อี้ชิงถอนหายใจ “ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วมันเป็นข่าวได้ไงอ่ะพี่ ?”
“ก็เค้าชอบตอบว่าตัวเองสนิทกับพี่ แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าเราไปสนิทกันตอนไหนอ่ะ ถ่ายงานด้วยกันครั้งเดียวเอง”
“ใช่ไหมล่ะครับ ผมก็คิดอยู่ !” คยองซูห้ามใจตัวเองไม่ได้ “ทำมาเป็นบอกว่าสนิทกับคุณนักหนา ทำเหมือนว่าคบกัน ผมล่ะโกรธจริงๆ !”
“อิโด อิเว่อร์...”
“...ขอบใจนะคยองซู” อี้ชิงยิ้มให้แฟนคลับตาโตที่จ้องหน้ากันแล้วทำเหมือนหายใจไม่ออกทุกที “มีแฟนคลับอย่างเรา พี่ดีใจตายเลย”
“ผม...ผม...”
“อิโด ดมยาดมก่อน !” จุนมยอนเอายาดมจ่อจมูกน้องที่ตอนนี้ทำท่าเหมือนจะไม่ไหวแล้ว เหมือนตอนนี้ไม่มีอากาศหายใจ
“เออ แล้วนี่มาได้ไง ไม่ต้องทำงานหรอ ?” เซฮุนจำได้ว่าคนนี้เป็นเลขาคุณปาร์คชานยอล แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ คุณชานยอลก็ไม่ได้มาสักหน่อย
“บอสให้ผมมาดูแลเจ้านายครับ” คยองซูหันมาบีบนวดคุณแบคฮยอน “เผื่อขาดคนใช้งาน ผมเป็นเลขาสารพัดประโยชน์”
“พี่อี้ชิงมาถ่ายด้วยไง เลยขอตามมาด้วย ให้ช่วยขอคนแก่ให้”
“โถ่ คุณแบคฮยอนครับ...”
“ทำไมล่ะ ไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ อยากมาก็บอกว่าอยากมา ทำถูกแล้ว”

คุณป๋า 💕:
งั้นเดี๋ยวป๋าไปประชุมก่อนนะคะ
เดี๋ยวเสร็จแล้วทักไป
ป๋ารักหนูนะ ❤

baekhyun :
ผมก็รักคุณครับ

การถ่ายโฆษณาเริ่มจากจงอินก่อน ตามด้วยพี่มินซอก เซฮุน พี่อี้ชิงและเขาที่จบโฆษณาเป็นคนสุดท้าย เราจะโยนขวดน้ำอัดลมต่อกันเป็นทอดๆ แสดงออกถึงความสดชื่นและความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน ก่อนที่จะถ่ายเราก็ต้องมาเลือกก่อนว่าใครอยากถ่ายฉากไหน จงอินกับเขาเป็นคนที่เลือกไม่ได้เพราะอยู่ฉากต้นกับฉากสุดท้าย ส่วนอีกสามคนนั้นกำลังแย่งกันอยู่

“ฉันอยากปั่นจักรยาน” อี้ชิงเลือกแล้ว “จักรยาน”
“งั้นฉันเอาฉากร้านดอกไม้ ไม่อยากวิ่ง” มินซอกไม่อยากขยับตัวเท่าไหร่ เลี่ยงไม่ใช้แรงได้ก็เลี่ยง
“อ้าว...แล้วผมได้เลือกอะไรอ่ะ ?” เซฮุนได้แต่ยืนรอฉากเหลือที่พี่ไม่เอา “โห พวกพี่อ่ะ...”
“อะไร บ่นอะไร เป็นเด็กเป็นเล็กก็วิ่งไป พวกพี่แก่แล้ว วิ่งไม่ไหว”

ส่วนฉากของแบคฮยอนนั้นก็แค่รอรับขวดน้ำอัดลม แล้วก็ดื่มมันพร้อมกับทำสีหน้าสดชื่นสุดใจ แค่นั้นก็เรียบร้อยแล้ว น้ำอัดลมยี่ห้อนี้เขาก็กินบ้างแล้วแต่โอกาส มันก็อร่อยดีแล้วก็เป็นทางเลือกทางหนึ่งเวลาขาดน้ำตาล

“เพื่อน...ยังไม่เป็นเมียคุณชานยอลจริงๆอ่ะ ?”
“จะมาสนใจอะไรวะ” เขารำคาญจงอินที่แหย่ไม่เลิก
“เอ้า กูกับเซฮุนมองคุณชานยอลเหมือนมองตัวเองอ่ะ ผู้ชายเหมือน—”
“คุณชานยอลไม่เหมือนพวกแก”
“โอ้โห...”
“เค้าให้เกียรติฉันมากกว่าที่พวกแกคิดเยอะ ไม่ต้องมาแหย่แล้ว ไม่คุย”
“ไอ้เซฮุนมึงดูเพื่อนมึงดิ กูว่ามันเกินไปว่ะ”
“น้องแบคขา คุณชานยอลโทรมาค่ะ !”

เจ๊จุนมยอนวิ่งเอาโทรศัพท์ที่เขาฝากไว้มาให้ ยังเหลือเวลาก่อนเข้าฉากอีกสองนาที คุณชานยอลก็ยังอุตส่าห์โทรมา

“ครับผม”
(หนูจ๋า ตั้งใจทำงานนะคะ ป๋าเป็นกำลังใจให้)
“คุณชานยอลก็ตั้งใจทำงานนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้เหมือนกัน”
(ป๋ารักหนูนะคะ...)
“ผมก็รักคุณ รักมากๆเลย” เขาพูดไปยิ้มไป “ได้ยินเสียงผมแล้ว ไปประชุมได้แล้วนะครับ”
(ค่ะ ตอนเย็นจะไปรับ รอป๋าด้วยนะคะ)
“ผมก็รอคุณอยู่คนเดียวแหละครับ” เขาหันไปเห็นเพื่อนกับพี่ๆทำหน้าเหมือนจะอาเจียน “ถ่ายโฆษณาก่อนนะครับ...”
(ค่ะ แล้วเจอกัน...)

เขาได้แต่มองเพื่อนๆพี่ๆ ที่เอาแต่คุยกันว่ารักนะ รักนะ ตั้งแต่เขามีความรักก็เอ่ยปากแซวทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องของเขากับคุณชานยอล

“ตอนนั้นอะไรนะ ที่ไปออกรายการที่ฉายวันอาทิตย์สองทุ่มน่ะ !” มินซอกถามทุกคนที่อยู่ตรงนั้น “ที่โดนถามเรื่องกระแสสังคมพูดเรื่องมีแฟนอายุมากกว่าสิบเก้าปี”
“ผมจำได้ !” จงอินยิ่งกว่าแม่น จำได้ขึ้นใจ “ที่ตอบว่า...เพราะว่าผมรักเค้าครับ แค่นั้นจริงๆ”
“เงียบๆกันได้ไหมเนี่ย...” แบคฮยอนไม่ได้เบื่อ แต่ไม่อยากจะฟังเท่าไรนัก
“ต่อให้ใครจะว่าอะไร...” เซฮุนไม่ยอมจบ “แต่ผมมีความสุขมากเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน”
“และเพราะว่าเป็นแบบนั้น...” พี่อี้ชิงยิ้มก่อนจะมองมาที่เขา “ชีวิตของผมเลยต้องมีเค้าครับ”
“ถ่ายโฆษณาครับ !”

ตอนที่จงอินถ่ายเขาก็ไปซ้อนจักรยานพี่อี้ชิง ปั่นเล่นกันตรงส่วนที่ไม่ได้ใช้ถ่ายทำ เอาน้ำอัดลมยี่ห้อที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ในวันนี้มาแบ่งกันกินกับเซฮุน ไปดูคนจัดฉากจัดดอกไม้ ขอเค้าทำบ้างเลยได้ยืนจัดกับพี่มินซอก พอจงอินถ่ายเสร็จมันก็มาเอาน้ำอัดลมมาดื่ม มายืนดูเอาจัดดอกไม้ในส่วนที่ไม่ได้ใช้เล่นๆ

“ขอโทษนะครับ ดอกไม้อันนี้ได้ใช้ไหม หรือว่าต้องเอาไปคืน...”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้ใช้ ถ้าคุณแบคฮยอนอยากได้ก็เอาไปได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ” เขายืนเลือกดอกไม้ตรงหน้า “สวยจัง ลองจัดช่อไปให้คุณชานยอลดีกว่า แกว่าเค้าจะชอบไหม ?”
“ถ้ามาจากนาย เคยมีคำว่าไม่ชอบด้วยรีไง”
“อันนี้น่ารักจัง เอาอันนี้ดีกว่า หรือว่าเอาอันนี้...”

ฉากของเขาเป็นฉากต้องหันไปตามเสียงเรียกของพี่อี้ชิง จากนั้นก็รับน้ำอัดลมที่โยนสูงๆเพื่อถ่วงเวลาให้เขารับได้ ก่อนจะเปิดมันยกดื่ม แล้วก็ถ่ายฉากจบ แต่ก็ต้องถ่ายฉากดื่มแยก สปอตโฆษณาสั้นๆ โปสเตอร์โปรโมท ระหว่างที่คนอื่นกำลังถ่ายนั่นถ่ายนี่ เขาก็มาถ่ายโปสเตอร์ของตัวเองที่ม้านั่ง ถ่ายทั้งแบบมองกล้อง แบบสดชื่น แบบที่ยิ้มกว้างๆ เอาไว้ให้เจ้าของผลิตภัณฑ์ได้เลือกว่าอยากใช้อันไหน

“ตอนไปถ่ายตรงนั้นยิ้มให้กว้างเลยนะ เจ้าของแบรนด์เขารีเควสมา อยากให้เธอยิ้มเยอะๆ”
“เข้าใจแล้วครับ” เขายิ้มรับคำสั่ง เตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายโฆษณาต่อจากพี่อี้ชิงที่กำลังปั่นจักรยานอย่างตั้งใจ
“น้องแบคฮยอนขา ข้อความค่ะ”
“อ่า...ครับ” เขารับโทรศัพท์มาจากเจ๊ “ฝากดูด้วยนะครับว่าเค้าเรียกเมื่อไหร่ เผื่อผมไม่ได้ยิน”

คุณป๋า 💕:
เสร็จแล้วค่ะ
หนูเสร็จรึยังคะ ?

baekhyun :
ยังเลยครับ
แต่ก็ต้องเสร็จก่อนสี่โมง
คุณชานยอลมาเลยก็ได้ครับ

คุณป๋า 💕:
งั้นเดี๋ยวป๋าเคลียร์เอกสารก่อน
แล้วจะไปรับนะคะ
ไม่สายแน่นอน

baekhyun :
ขับรถดีๆนะครับ
เป็นห่วง ❤️

ตอนที่เขาถ่ายโฆษณา มีตอนที่เกือบรับขวดไม่ได้แล้วหน้าตื่น พอรับได้แล้วก็หันไปยิ้มกว้างกับเพื่อนกับพี่เพราะว่ามันตลก แต่ผู้กำกับกลับชอบ สั่งให้เก็บไว้ก่อนแล้วให้เขาถ่ายใหม่อีกรอบในแบบที่ไม่มีหน้าตื่นๆ เอาไว้ให้เจ้าของเลือก

“โยนให้สูงกว่านี้ได้ไหมครับ ผมแขนสั้น รับไม่ทัน” แบคฮยอนบอกกับทีมงาน “หรือว่าจะโยนไกลๆให้ผมวิ่งไปรับ ?”
“โยนสูงๆเลยครับ มันวิ่งไม่เป็น ขาสั้น”
“ไอ้จงอิน...”
“เอ้า โยน !”

เขาถ่ายโฆษณา รับๆโยนๆยิ้มๆอยู่จนได้ กว่าจะถูกใจผู้กำกับก็เล่นเอาจนเหงื่อตก แต่ตอนที่ได้มาถ่ายช็อตพูดสโลแกนสินค้าด้วยกันนั้นสนุกมาก เด็กวัยยี่สิบห้านั้นตะโกนแข่งกัน ส่วนคนวัยสามสิบนั้นได้แต่พูดพอเป็นพิธี ยิ้มสวยๆให้กล้องที่ถ่ายอยู่

“ดีมากทุกคน !”
“ขอบคุณครับ !”

เราทั้งห้าคนโค้งขอบคุณทีมงานทุกคนที่ได้ร่วมงานกันในวันนี้ เขาเดินกอดเอวพี่อี้ชิงกลับไปยังจุดที่เป็นที่พักกองของเรา ตรงที่มีเจ๊จุนมยอนกับคยองซูยืนอยู่ และมีผู้ชายที่ทำเขายิ้มกว้างออกมาจากใจ ละมือออกจากเอวพี่ชายคนสนิทเพื่อรีบวิ่งไปหา

“เบาหน่อยจ้า เดี๋ยวจะสะดุดหัวใจตัวเองล้ม”
“โอเซฮุน !” เขาหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อน ก่อนจะหันมายิ้มให้ผู้ชายที่อยู่ในชุดสูทสำหรับทำงาน คนที่ในมือถือดอกกุหลาบดอกใหญ่ดอกสวยอยู่หนึ่งดอก ดอกที่ย้ายจากมือของอีกคนมาอยู่ในมือของเขา “มานานรึยังครับ ?”
“ก็ทันเห็นหนูจ๋าวิ่งไปวิ่งมานั่นแหละค่ะ เหนื่อยไหมคะ ?”
“ไม่ครับ สนุกดี” วัยยี่สิบห้ายังทำให้วิ่งสนุกอยู่ “ผมจัดดอกไม้ไว้ให้ด้วย เดี๋ยว...จงอิน เห็นดอกไม้ฉันไหม ?”
“แล้วในมืออะไร ไม่ใช่ดอกไม้เหรอ ?”
“หมายถึงดอกไม้ที่จัดไว้”
“อ๋อ ในมือมันคือความรักสินะ พี่มินซอก ดอกไม้แบคฮยอนอยู่ไหนอ่ะ ?”
“อยู่นี่ๆ เดินมาเอา”

เขาถอนหายใจใส่เพื่อนที่เดินไปหยิบดอกไม้ให้ก็ยังแซวไม่เลิก เขากับคุณชานยอลคบกันมาเกือบจะหนึ่งปีแล้ว วันแรกมันเคยล้อยังไง วันนี้มันก็ยังล้อแบบนั้น

“ไม่เป็นไร ป๋าว่าตลกดี” คุณชานยอลบอกเขาที่ทำหน้าเบื่อๆ “ของของหนูจ๋าอยู่กับป๋าแล้วนะ ที่จุนมยอนไม่มีแล้ว”
“ครับ...นี่ไง ผมจัดเองเลยนะ สวยไหมครับ ?” แบคฮยอนรับดอกไม้มาจากจงอิน ส่งให้คุณแฟนวัยสี่สิบสี่ที่ยังหล่อไม่เปลี่ยนไปจากวันแรกที่รู้จักกัน
“สวยค่ะ ขอบใจมากนะคะ” คุณชานยอลยิ้มรับดอกไม้ของเขา ถึงเราจะเป็นผู้ชายกันทั้งคู่ แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไรที่เขาจะเป็นฝ่ายให้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นอะไร ถ้าได้มีโอกาสให้กันก็เป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น
“ครับ”

พอถ่ายโฆษณาเสร็จเราก็แยกย้ายกันกลับ บอกลาคนในกอง ผู้กำกับ ตากล้อง เพื่อนและพี่ทั้งสี่คนไปกินข้าวกันต่อ รวมถึงเจ๊จุนมยอนกับคยองซูที่ได้ติดไปด้วยเพราะพี่มินซอกเอ่ยปากชวน ส่วนเขาไปกับคุณชานยอล คนที่นัดกันเอาไว้ว่าวันนี้เราจะทำข้าวผัดกิมจิกับซุปเต้าเจี้ยวกินด้วยกัน แล้วก็จะทำเมนูไก่สักเมนู แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี

เพราะคุยกันไว้ว่าจะให้คุณชานยอลมารับ วันนี้เขาเลยไม่ได้ขับรถมาเอง อาศัยให้เจ๊จุนมยอนมารับแทนเพราะยังไงก็ต้องผ่านอยู่แล้ว ไม่ได้สร้างปัญหาให้ลำบากอะไร ช่วงแรกเขาก็ไม่อยากให้คุณชานยอลมาหาเพราะกลัวจะเหนื่อย แต่พอคนแก่ทำหน้าหงอยเหมือนเด็กโดนขัดใจ เดินไหล่ตกเข้าห้องนอนไปนอนกอดหมอนข้างเขาก็ทนไม่ได้ เลยต้องเดินไปบอกว่าถ้าอยากมาก็มา อยากให้มาเหมือนกันแต่กลัวเหนื่อย แต่ถ้ามาไหวก็มาได้ครับ คนแก่งอนเก่งเลยหันมากอดเขาแทนหมอนข้าง นอนซุกกันตลอดคืน

คุณชานยอลเป็นลูกชายคนเล็ก ส่วนเขาเป็นลูกชายคนเดียว มีบ้างที่ทะเลาะกันเพราะความเอาแต่ใจของตัวเอง แต่ไม่ถึงห้านาทีที่ขึ้นเสียงใส่กันในประโยคแรก ไม่เขาหรือคุณชานยอลก็จะยอมเดินไปกอดอีกฝ่ายก่อน แล้วพอเรากอดกันแล้วพูดคุยกันดีๆ หาจุดที่อยู่ตรงกลางระหว่างกันได้ ความสบายใจระหว่างกันก็เกิดขึ้น เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่ามันยากกับการคบคนต่างวัยกัน ยิ่งมากปียิ่งลำบาก แต่พอได้ทำความเข้าใจกับความรู้สึกตรงนี้จริงๆแล้ว เขาถึงได้รู้ว่ามันอยู่ที่ใจทั้งนั้น ถ้าเราเปิดใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าอะไรก็จะผ่านไปได้เสมอ

ถึงจะมีเรื่องที่ต่างกันเยอะ แต่ถ้าพบเจอกันคนละครึ่งทาง เขาว่าความรักจะทำให้เราหาหนทางที่จะไปต่อได้เอง

“หนูจะแวะซื้อของตรงนี้หรือจะไปซื้อแถวห้องคะ ?” คุณชานยอลหันมาถามขณะที่เรากำลังขับรถกลับห้องกัน
“แถวห้องดีกว่าครับ ที่นั่นคุ้นกว่า” ซื้อของในที่คุ้นเคย รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง “ใบที่เขียนว่าต้องซื้ออะไรบ้างอยู่ไหนครับ คุณเอาไปดูเมื่อเช้าแล้วเอาไว้ไหน ?”
“...”
“กระเป๋าเงินหรอครับ หรือว่าเอาไว้ใน...คุณชานยอล ?”
“ป๋า...เอ่อ...จำไม่ได้แล้ว”
“...”
“คือ...โถ่ ป๋าลืมเอาไว้ไหนก็ไม่รู้ หนูจ๋าอย่าโกรธป๋าเลยนะ ป๋าผิดไปแล้ว เดี๋ยวจะช่วยๆนึกนะว่าต้องซื้ออะไรบ้าง” คนแก่ทำหน้ารู้สึกผิด ทำเหมือนว่าถ้าเขาบอกว่าโกรธมากน้ำตาจะต้องไหลลงมาอย่างแน่นอน
“คุณนึกยังไม่ออกเลยว่าเอาใบไปทิ้งไว้ไหน แล้วจะนึกออกได้ยังไงว่าต้องซื้ออะไรบ้าง ผมนั่งรื้อของตั้งนาน กว่าจะรู้ว่าต้องซื้ออะไรมาให้คุณกินคุณใช้ !”
“หนูจ๋าอ่ะ...”
“...”
“อย่าเงียบสิคะ ว่าป๋าอีกก็ได้เแต่อย่าเงียบเลยนะคะ เรามาช่วยคิดกันใหม่ ป๋าจะคิดให้หนักเลย”
“คิดว่าเป็นใบเสร็จแล้วก็ไปทิ้งอีกตามเคย” เขาหันไปดุคนขี้หลงขี้ลืม “ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ดูก่อนว่ามันคือกระดาษอะไร ไม่ใช่เห็นยาวๆก็เอาไปทิ้งหมด !”
“อย่าดุสิคะ ป๋าจำได้นะว่าเราต้องซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วก็น้ำยาทำความสะอาดครัว”
“คุณนี่...เดี๋ยวจะสั่งน้ำมันปลาให้กิน เผื่อจะความจำดีขึ้นบ้าง” ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ยังไม่ทันจะห้าสิบก็ลืมเก่งเหมือนเป็นอัลไซเมอร์ “วางของไปทั่ว จะไม่ว่าเลยถ้าจำได้ว่าเอาไปวางไว้ไหน แต่นี่อะไร จำไม่เคยได้”
“แต่อย่างน้อยป๋าก็จำได้ว่ารักหนูจ๋านะคะ รักที่สุด...”
“ต้องซื้อน้ำยาล้างจานด้วย”
“ทำไมหนูไม่ตอบป๋าล่ะ หนูไม่—”
“ผมก็รักคุณครับ แต่มาช่วยผมคิดก่อนว่าต้องซื้ออะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นผมโกรธจริงๆนะ”

เขาใช้โทรศัพท์ในการช่วยเตือนความจำในครั้ง นอกจากน้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาทำความสะอาดครัว น้ำยาล้างจาน เขาต้องซื้อน้ำยาซักแห้งด้วย ต้องซื้อไข่แพ็คใหญ่เพราะคุณชานยอลชอบกินไข่สองฟองในตอนเช้า ทุกวันที่ตื่นมาเขาเลยต้มแกงต้มซุปให้กินกับไข่พร้อมข้าวอีกถ้วย กลัวเหมือนกันว่าจะเบื่อเข้าสักวัน แต่ทุกวันที่เห็นมีแต่รอยยิ้ม เหมือนเด็กที่ลุ้นว่าวันนี้จะได้กินข้าวกับอะไร มีอะไรให้กินกันนะ เห็นแบบนั้นทีไรก็มีแรงจะตื่นมาทำอะไรให้กินทุกเช้า ต่อให้ไม่ได้นอนเขาก็จะทำให้ ทำเสร็จแล้วค่อยไปนอนก็ยังไม่สาย

ส่วนเรื่องน้ำมันปลา คงต้องลองไปหาดูว่ายี่ห้อไหนที่กินแล้วได้ผลจริงๆ

“สำลีไงคะ หนูบอกป๋าเมื่อวานว่าสำลีจะหมด”
“ครับ” เขาพิมพ์ลงในโทรศัพท์ “ยาสระผม...”
“ธัญพืชอบกรอบของหนูไง ป๋ากินชิ้นสุดท้ายไปเมื่อเช้า”
“ธัญพืชอะไรครับ ?”
“ก็...ที่วางอยู่หลังตู้เย็นไงคะ รู้นะว่าเหลือชิ้นสุดท้ายก็เลยเอาไปซ่อน—”
“ตลกรึไงครับคุณชานยอล มันหมดอายุแล้ว !” แบคฮยอนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองได้ยินอะไร “ผมยังไม่ได้ทันได้ทิ้ง...คุณนี่นะ ปวดท้องบ้างไหมครับ ?”
“...ก็ไม่นะคะ”
“มันหมดไปเมื่ออาทิตย์ก่อน คุณไม่ปวดท้องแน่นะ ถ้าปวดรีบบอกเลยนะครับ”
“ค่ะ...คือ...ป๋าไม่รู้ ไม่ได้ดู...”
“ผมผิดเองแหละครับ เดี๋ยวซื้อยาไว้ก่อนดีกว่า ซื้อเกลือแร่ด้วย”

อยากจะดุเหมือนกันว่าไม่เคยดูอะไรเลย แต่ก็เข้าใจว่าคนอายุมากอย่างคุณชานยอลว่าคงจะลืมเรื่องง่ายๆในชีวิตไปเสียหมด ถามเขาว่าปากกาป๋าอยู่ไหนทั้งที่ถืออยู่ในมือก็ถามมาแล้ว รีโมททีวีก็หาไม่เจอเพราะเอาไปวางไว้ในครัวตอนเดินไปหยิบขนม มันคงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องช่วยดูช่วยจัดการ ว่าแล้วก็เคืองกันไปเปล่าๆ ดูแลกันให้ดีน่าจะดีกว่า ยกเว้นเรื่องชอบมองกระดาษทุกอย่างเป็นใบเสร็จ เรื่องนี้รับไม่ไหว

“หนูจ๋า...โกรธป๋าไหมคะ ?” คุณชานยอลหันมามองหน้าเขาเล็กน้อย “ป๋าขอ—”
“ไม่โกรธครับ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
“...”
“เราอยู่ด้วยกันมาก็จะครบปีแล้ว ถ้าจะโกรธก็คงโกรธไปนานแล้วล่ะครับ แต่ที่บ่นก็เพราะว่า...บางทีผมก็แค่อยากบ่นเพราะมันไม่ได้ดั่งใจ แต่ไม่โกรธหรอกครับ ไม่เคย”
“ป๋านี่รักคนไม่ผิดจริงๆ สวรรค์บันดาลแท้ๆ”
“แต่ถ้าเอากระดาษไปทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ก็กลับไปนอนบ้านตัวเองเลยหนึ่งอาทิตย์ ทำโทษ”
“แฟนป๋าทำไมตอนดุยังน่ารัก...”
“คุณชานยอล ฟังที่ผมพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย !”

เขาบอกให้คุณชานยอลจอดรถที่ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า เพราะว่าด้านล่างนั้นเป็นมาร์เก็ตให้ได้เดินเลือกซื้อของกินของใช้ หาที่จอดใกล้ๆกับทางเข้าจะได้ไม่เดินกันไกล โชคดีที่ตอนกำลังวนหามีคนออกพอดี เราเลยได้ที่จอดในแบบที่เดินไม่ถึงยี่สิบก้าวก็ถึงประตูทางเข้าแล้ว

“วันนี้คนเยอะจัง หนูโอเครึเปล่าคะ ให้ป๋าไปซื้อคนเดียวก็ได้นะ หนูไปหาร้านเงียบๆนั่งรอ...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็คนคนหนึ่ง มาซื้อของเข้าห้องมันผิดตรงไหน” เขาเข้าใจว่าคุณชานยอลเป็นห่วง แต่เขาก็ต้องกินต้องใช้เหมือนคนทั่วไป ต้องมาซื้อของกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
“แต่หนูเป็นคนของสังคม...”
“อ้าว ผมไม่ใช่ของคุณชานยอลเหรอครับ ?”
“หนูจ๋าเป็นของป๋าค่ะ ไปซื้อของกัน เดี๋ยวป๋าเข็นรถให้”

โซนแรกที่ผ่านจะเป็นโซนของสดต่างๆ ตอนที่เข็นรถผ่านส่วนที่เป็นเบเกอรี่ คุณชานยอลก็หยิบขนมปังฝรั่งเศสมาหนึ่งแถว เขาเลยเดินไปเลือกอะโวคาโดมาให้ เห็นส้มสวยดีก็เลยหยิบมาหกเจ็ดลูก เอาไว้แกะกินตอนดูทีวีก็เพลินเหมือนกัน

“หนูจ๋าเอามะเขือเทศไหมคะ เอาไว้กินตอนท่องบท ?” คุณชานยอลหันมาถามเขาพร้อมกับการเลือกมะเขือเทศราชินีที่อยู่ในกล่องพลาสติกขนาดกลาง
“เอาครับ สองกล่องเลย” เขากำลังให้ความสนใจกับองุ่นอยู่ “เอาอันนี้ไหมครับ แบบไร้เมล็ด เวลาดูหนังก็กินองุ่นแทน จะได้ไม่ต้องกินขนม”
“...”
“ไขมันก็เยอะ โซเดียมก็เยอะ...”
“ไปดูผักกันดีกว่าค่ะ เอามันฝรั่งไหม ทำสตูว์ไงคะ ?”
“ทำเป็นหูทวนลมนะคุณ หยิบขนมมาใส่รถจะหยิบออกให้หมดเลย”
“โถ่...” คนแก่ทำหน้ามุ่ย แต่วันนี้เขาจะไม่ใจอ่อน “เอาองุ่นด้วย เอาขนมด้วยได้ไหมคะ ?”
“ไปเลือกมันฝรั่งเถอะครับ เอาแครอทมาด้วยสักสองหัว เดี๋ยวผมเลือกองุ่นให้”

เสร็จจากผักเขาก็ไปดูเต้าหู้อ่อน หยิบมาสามแพ็คเพื่อใส่ซุปในวันนี้และแกงอื่นๆในวันต่อไป ส่วนคุณชานยอลนั้นอยู่ในโซนขายเนื้อสัตว์ ก้มๆเงยๆอยู่กับไก่ที่ขายเป็นแพ็คให้เลือกหยิบได้ตามน้ำหนัก

“หนูจ๋าคะ อกไก่กับสันใน...”
“เอาสันในก็ได้ครับ มันนุ่มกว่า เดี๋ยวผมเอาเอ็นออกให้” เขารู้ว่าคุณชานยอลไม่ชอบเอ็นที่อยู่ในสันในไก่ “แต่เอาอกมาสองชิ้นนะ เดี๋ยวเอาไว้ผมทำสเต็กให้กิน”
“แล้วไก่วันนี้ล่ะคะ ไก่อบไหม ป๋าอยากกินไก่แบบที่มันอยู่ในร้านที่เราไปกินซี่โครงบาร์บีคิวด้วยกัน”
“ไก่นิวออลีนส์เหรอครับ ?” แบคฮยอนพอจะนึกออก เพราะสั่งมาหกชิ้น คุณชานยอลกินไปแล้วห้า “ก็ได้ครับ แต่ไม่เอาปีกนะ หนังเยอะ”
“สะโพกได้ไหมคะ เอาแบบที่เค้าหั่นแล้ว”
“ได้ครับ อยากกินเท่าไหร่ก็หยิบมาเลย ตามผมไปดูปลาด้วยนะ”

เขาเลือกปลาสดให้พนักงานแล่ให้สำหรับมื้อกลางวันของวันพรุ่งนี้ที่เราไม่ต้องไปทำงานกันทั้งคู่ เลือกอาหารทะเลพอประมาณสำหรับมื้อเย็น ส่วนในวันอื่นๆเขาเลือกที่จะไปดูเนื้อปลาแช่งแข็ง กุ้งแช่แข็ง ถึงแม้จะไม่สดแต่ก็พอใช้ได้ เพราะว่าเราไม่ค่อยมีเวลามาซื้อของมากนัก

“หนูจ๋าๆ ป๋าอยากกินอันนี้” คนแก่หยิบเนื้อล็อบเตอร์แช่แข็งออกมาจากตู้ ยื่นมาให้เขาดู
“ผมทำไม่เป็น ไปบอกคนครัวที่บ้านนะครับ ให้เค้าทำให้”
“ป๋าอยากกินฝีมือหนูจ๋านี่หน่า เอาไปผัดกับเนยแล้วปรุงรสเฉยๆก็ได้ เป็นกับข้าวรสมือแฟนจ๋า”
“...เดี๋ยวผมเอาไปทำสลัดให้ดีกว่า” ถ้าแฟนอยากกิน แบคฮยอนจะทำก็ได้ “เอาไว้ทานหลังออกกำลังกายเสร็จนะครับ”
“หนูจ๋าของป๋านี่สุดยอดจริงๆ เอาแซลมอนรมควันด้วยนะคะ”
“ได้ครับ...” เขาหันไปมองในรถเข็น เพื่อดูว่ามีของสดอะไรที่ต้องซื้ออีกไหม ตอนนั้นเองที่เขาเห็นถุงสีแดงเข้มโผล่ออกมาจากใต้ถุงถั่วงอก เพ่งอยู่นานจนสุดท้ายต้องเอื้อมมือไปดึงมาดูว่ามันคืออะไร “คุณ-ชาน-ยอล ! อะไรเนี่ย เบคอนสไลด์บาร์บีคิว ?!”

“ก็ป๋าอยากกิน...”
“ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าของพวกนี้โซเดียมมันเยอะ ผงชูรสก็แน่นไปหมด ไขมันมันจะอุดตันเส้นเลือดแล้วคุณจะ—”
“นะคะ...”
“...”
“แค่แพ็คเดียวเอง มีแค่สองชิ้น คนละชิ้นกับหนูจ๋า แบ่งโซเดียมกับไขมันกันนะคะ เป็นรสชาติของคู่รัก”
“...”
“หน่านะ ป๋าไม่ได้กินมาตั้งนานแล้ว ให้ป๋ากินเถอะนะหนูจ๋านะ”
“ไปหยิบฟักทองให้หน่อยครับ เอาไว้ผมนึ่งให้กิน” เขาตัดสินใจวางเบค่อนลงในรถเข็น คำว่าไม่ได้กินมาตั้งนานทำให้เขายอมวางมันลงที่เดิม บางทีเขาก็ไม่ควรจะใช้ไม้แข็งมากเกินไป ถึงจะอยากให้รักสุขภาพ แต่บางครั้งมันก็มีบ้างที่เราอยากจะกินอะไรแบบนี้ เขาเองยังชอบกินไก่ทอดเลย
“ได้เลยค่ะ !”

กับผู้ชายคนนี้ เขาไม่เคยจะใจแข็งได้เลยสักที ไม่ว่าจะเป็นเมื่อสองปีที่แล้วหรือในวันนี้ เขาก็อดจะใจอ่อนกับทุกอย่างที่คุณชานยอลขอไม่ได้ ยิ่งเห็นว่ายิ้มเห็นว่าหัวเราะ เห็นแล้วก็รู้สึกอยากตามใจ ถึงเขาจะเป็นคนที่ชอบให้คนอื่นมาตามใจเหมือนกัน แต่คุณชานยอลทำให้เขาคิดว่าเราต่างคนต่างเอาใจใส่กัน คงดีกว่าการที่รอให้ถูกตามใจอยู่ฝ่ายเดียว

“นี่ๆ” คุณชานยอลกลับมาแล้วพร้อมกับฟักทองครึ่งลูก “มีเด็กผู้หญิงยืนมองหนูจ๋าอยู่ด้วยล่ะ หนูหันไปยิ้มให้หน่อยสิ”
“ครับ ?”
“เห็นดึงแขนเสื้อแม่อยู่นานแล้ว อยากถ่ายรูปกับหนูแน่ๆเลย ป๋าก็เคยเป็นแบบนั้น ป๋าดูออก”

แบคฮยอนหันไปมองตามที่คุณชานยอลบอก ก็เห็นเด็กผู้หญิงวัยไม่เกินสิบแปดปีกำลังมองเขาอยู่ พอเลือกที่จะส่งยิ้มให้เขาก็มองเห็นถึงอาการดีใจ ก่อนที่เด็กคนนั้นจะวิ่งเข้ามาหา ถามเขาว่าขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ

“ได้ครับ” เขายิ้มให้อย่างเป็นกันเอง ก่อนที่คุณชานยอลจะอาสาถ่ายรูปให้ คุณแม่ของน้องเองก็มาถ่ายรูปกับเขาเหมือนกัน
“เป็นแฟนคลับนะคะ ซื้อบัตรแฟนมีตแล้วด้วยค่ะ เกือบจะไม่ได้ไปแล้ว บัตรหมดเร็วมากๆ” แฟนคลับคนนี้ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “รักคุณแบคฮยอนนะคะ”
“ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับ” เขายินดีอย่างที่สุด “เจอกันที่แฟนมีตนะครับ”
“ค่ะ รักนะคะ !”
“ครับ...”
“เอ่อ...ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ ?”

พอมีคนแรกแล้วก็ต้องมีคนต่อๆไป แต่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร กลับมีความสุขเสียอีกที่ได้ทำอะไรเพื่อคนที่ชื่นชอบเขา คุณชานยอลเองก็ดูมีความสุขกับการเป็นตากล้อง บอกให้ชูสองนิ้ว บอกให้เปลี่ยนท่า บอกให้ขยับเข้ามาชิดกัน

พอเสร็จจากตรงนั้นเขาก็เดินมาหาธัญพืชอบกรอบกับซีเรียลน้ำผึ้ง รวมถึงช็อคโกแลตที่เอาไว้กินเวลาเหนื่อยๆ ส่วนคุณชานยอลนั้นเข็นรถตามมาพร้อมกับแอปเปิ้ลไซเดอร์สองขวด มาช่วยกันดูช็อคโกแลตที่ต่อให้ดูยังไงเขาก็เลือกซื้อแบบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นกับซีซอลท์อยู่ดี

“คุณชานยอลครับ ป๊อปคอร์นกล่องเดียวก็พอ” เขาบอกคนที่กำลังหยิบป๊อปคอร์นรสชีสใส่รถเข็นสองกล่อง
“ป๋าตัวใหญ่นะ ต้องกินสองกล่องสิ”
“กล่องนึงมีสามซอง ทำกินได้ตั้งสามครั้งนะครับ”
“แต่หนูจ๋ายังหยิบช็อคโกแลตมาสองอันเลย”
“...”
“ก็ได้ค่ะ ป๋าเอากล่องเดียวก็ได้”

คนแก่เอาป็อปคอร์นรสชีสกลับไปวางไว้บนชั้น ก่อนจะเดินงอนเข็นรถเข็นไปอีกช่องนึง ให้เขาต้องเดินไปหยิบกล่องป็อปคอร์นกล่องเดิมลงมา เดินตามเอาไปใส่ในรถเข็นเหมือนเดิม ถ้าอยากซื้อก็คงต้องให้ซื้อ เอาไว้ค่อยห้ามเวลาจะทำกินว่าอย่ากินบ่อยนัก

“หนูจ๋าน่ารักที่สุดในโลกเลย” คุณชานยอลยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขาป็อปคอร์นมาวางให้
“อันนี้อะไรครับ...ขนมอบกรอบรสปลาหมึก ?”
“ป๋าเคยกินครั้งนึง อร่อยดี...”
“ไปกินตอนไหนครับ ?”
“กินกับฮายูล...”
“คุณชานยอล เลิกแย่งขนมหลานกินสักที !” แบคฮยอนชักจะโมโห แต่ก็พยายามเย็นลง ท่องไว้ว่าคุณชานยอลเป็นพวกเห็นขนมแล้วอดไม่ได้ จะต้องได้กินสักชิ้น “ข้าวเกรียบฟักทองได้ไหมครับ ?”
“...ก็ได้ค่ะ ป๋าชอบเหมือนกัน”
“มันฝรั่งทอด...”
“เอาอันนี้ค่ะ !” คุณชานยอลหยิบฟริโต้เลย์รสเชดด้าชีสถุงใหญ่ที่อยู่ชั้นบนลงมาใส่รถเข็น “แล้วก็เอา...”
“อันนี้ครับ” เขาวางลอเรนซ์เนเชอรัลรสพาร์มีซานใส่รถเข็น “ใช้น้ำมันดอกทานตะวันด้วย วัตถุดิบจากธรรมชาติ กลูเตนฟรี”
“แต่ว่าอันนี้...”
“ผมรู้ว่ามันแข็งกว่า แต่ว่ามันดีกว่านะครับ คุณอยากกินผมก็ให้กิน ไม่อยากอยู่ด้วยกันนานๆเหรอครับ กินอะไรไม่รักตัวเองเลย”
“...ป๋ารักหนูจ๋าค่ะ”
“ผมก็รักคุณชานยอลมากๆครับ เรากินอันนี้กันนะครับ ถ้าเอายี่ห้อนี้ให้ซื้ออีกถุง เอารสอะไรเลือกมาเลยครับ”
“เอา...ซีซอลท์แอนด์เปปเปอร์” คุณชานยอลหยิบมันฝรั่งมาอีกถุง “ถ้าอยู่กับหนูจ๋า...อะไรก็อร่อยค่ะ”
“ครับ” นอกจากจะรักกันมากแล้ว ก็ยังให้ท้ายเขาและจีบเขาเก่งที่สุดในโลก “เอาข้าวอบกรอบไหมครับ ?”
“เอาสิคะ ของโปรดหนูจ๋านี่หน่า”
“จำได้ด้วย นึกว่าจำได้แค่ฟริโต้เลย์”
“แหม...งอนป๋าหรอคะ ที่ป๋าจำแม่นที่สุดในโลกคือสัดส่วนสะโพกหนูค่ะ”
“คุณชานยอล !”

ตั้งแต่คุณชานยอลใช้ชีวิตแบบสองวันอยู่ที่บ้านห้าวันอยู่กับเขา เราก็ได้มานั่งคุยเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างจริงจังเพราะคุณชานยอลไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเล่นๆอีกต่อไป ตอนแรกเขาก็บ่ายเบี่ยงไม่อยากพูดเพราะเขาก็จ่ายได้ ไม่ได้มีปัญหากับการที่คุณชานยอลจะมาใช้ชีวิตอยู่ด้วย แต่สุดท้ายคุณชานยอลก็พาเขาไปเปิดบัญชีร่วม บอกว่าเราจะโอนเงินเข้ามาในบัญชีนี้ แล้วก็ใช้จ่ายค่าจิปาถะในการใช้ชีวิต ถ้าเกิดว่าไม่ใช้คุณชานยอลจะโกรธมาก พอเขาถามว่าโกรธมากคือเท่าไหนกัน คุณชานยอลบอกว่าจะเรียกเขาด้วยคำว่าเธอ ก็เลยต้องยอมเอามาใช้ แบ่งกันจ่ายคนละครึ่ง ตั้งแต่ค่าผ่อนคอนโดจนถึงค่ากระดาษทิชชู

“ยาสีฟันที่ห้องหมดรึยังครับ ?” เขาถามคุณชานยอลขณะเช็คของก่อนจ่ายเงิน
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่อันที่ใช้อยู่เหลือครึ่งหลอด”
“งั้นซื้อดีกว่า คุณรออยู่นี่นะ เดี๋ยวผมกลับมา” พอคิดจะซื้อยาสีฟัน ก็ได้น้ำยาบ้วนปากมาอีกขวดใหญ่ เดินกลับมาจนถึงที่ยืนอยู่ตอนแรกก็ไม่เห็นคุณชานยอล เพราะเจ้าตัวไปเข็นรถดูคุกกี้ที่กำลังจัดโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งอยู่ “อยากกินเหรอครับ ?”
“เปล่าค่ะ คิดถึงฮีจินกับฮายูล ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งด้วยนะ คนละกล่อง”
“ถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อให้ครบครับ ต้องให้ทุกคน”
“แต่ฮามินยี่สิบสองแล้วนะ ยังกินคุกกี้อยู่อีกหรอ ?”
“หกสิบก็กินครับ คุกกี้น่ะ” เขาหยิบมาทั้งหมดสี่กล่อง “ฮามิน ฮานึล ฮีจิน ฮายูล”

เคยมีครั้งหนึ่งที่เรานั่งดูหนังครอบครัวด้วยกัน

มันเป็นความรู้สึกที่ดีของการมีที่พึ่งพิงที่เรียกว่าครอบครัว ยามเราเศร้าหรือเจ็บปวดหรือในช่วงเวลาใด สิ่งที่เรายังมีก็คือครอบครัว...ที่ยังคงอยู่เพื่อเราเสมอ

‘หนูจ๋า...’
‘...’
‘อยากมีลูกรึเปล่าคะ ?’
‘ครับ ?’
‘ป๋าเอง...มีหลานตั้งสี่คน ป๋ารักหลานๆมากแต่ก็ไม่ได้อยากจะมีลูก ก่อนหน้าที่เรายังไม่เคยเจอกัน ป๋าเคยคิดว่าถ้าป๋าจะมีชีวิตคู่กับใครสักคน ป๋าก็ไม่อยากมีลูกอยู่ดี...แต่หนูจ๋า คิดยังไงกับเรื่องนี้คะ ?’
‘...’
‘วันนึงข้างหนูจะอยากมีครอบครัว มีลูกชายมีลูกสาวของตัวเองไหม ?’
‘ผม...ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน’ แบคฮยอนไม่เคยคิดจริงๆ ‘ถ้าเป็นความรู้สึกตอนนี้ ผมคิดถึงแค่คุณ แค่มีคุณ...ก็ไม่อยากได้อะไรอีก ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าผมจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่ที่มั่นใจคือในอนาคตของผมต้องมีคุณอยู่ เป็นความรักของผม...’

คุณชานยอลน้ำตาซึม บอกรักเขาทั้งคืนจนเขาร้องไห้ไปด้วย ตื่นมาเลยตาบวมกันทั้งคู่ ต้องทนเหม็นเขียวแตงกวาที่เอามาประคบตาเพื่อลดบวม ไม่อย่างนั้นจะไปถ่ายละครไม่ได้

หลังจากจ่ายเงินเสร็จเราก็ขนของมาขึ้นรถ ก่อนจะออกมาเขาแวะร้านขายยาเพื่อซื้อเกลือแร่ชนิดผงเอาไว้เผื่อคุณชานยอลปวดท้องเพราะกินของหมดอายุเข้าไป เรียงของใส่กระบะผ้าที่เขาเอามาตั้งไว้เพื่อที่ของจะได้เรียงกันเป็นระเบียบ ช่วยกันขนไปขึ้นลิฟต์ตอนขึ้นคอนโดทีละกระบะ สะดวกดีแถมไม่หนักมากด้วย ได้ช่วยกันถือ

“คุณชานยอล...”
“...”
“คุณชานยอลครับ”
“คะ ? มีอะไรรึ—”

เขาชะโงกหน้าเข้าไปจูบคนที่นั่งประจำอยู่ที่นั่งฝั่งคนขับ ยกมือขึ้นประคองช่วงคางของคนแก่กว่าที่ดูเหมือนว่าจะตกใจไม่น้อยที่เขาทำแบบนี้ แต่ก็จูบตอบกลับมา จนเขาเป็นฝ่ายผละออก จูบหนักๆลงไปอีกครั้งก่อนจะยิ้มให้คนแก่ที่ดูเหมือนว่าสติจะหายไปหมดแล้ว

“ทำไมครับ ?”
“เปล่าค่ะ...เปล่า...” คุณชานยอลดูเหมือนคนที่อยู่ในความฝัน “หวานจัง...”
“คุณชานยอล” ตาแก่ก็คือตาแก่อยู่วันยังค่ำ “ตั้งสติ”
“หนู...จูบป๋าทำไมคะ จะไล่ป๋าไปนอนบ้านข้อหาแอบหยิบเบคอนมารึเปล่า ป๋าไม่ยอมนะ”
“คุณนี่คิดอะไรเป็นเด็กไปได้ ผมให้ซื้อก็คือให้ซื้อ ไม่เอามาโกรธทีหลัง” แบคฮยอนถอนหายใจ “ผมก็แค่...ได้แต่คิดว่าจะไปหาคนดีๆอย่างคุณได้ที่ไหนอีก”
“ก็หาไม่ได้น่ะสิคะ ดีอย่างป๋าไม่มีอีกแล้ว !”
“ครับ ไม่มีแล้ว” เขายิ้มกว้างอย่างมีความสุข “ผมเลยโชคดีกว่าใครที่มีคุณไงครับ”

คุณชานยอลโน้มตัวเข้ามาจูบเขา เราจูบกันครั้งแล้วครั้งเล่า ผละออกแล้วจูบลงไปซ้ำๆ ถ่ายทอดและตกอยู่ในห้วงความรักซึ่งกันและกัน

จนลืมไปว่าของสดข้างหลัง...กำลังรอให้เอาไปใส่ตู้เย็นที่ห้องอยู่







❥ —








“คุณชานยอลเอาของใส่ตู้เย็นนะครับ เดี๋ยวผมหุงข้าวก่อน”
“ค่ะ เดี๋ยวป๋าจัดการให้” ชานยอลยกกล่องของสดมาวางหน้าตู้เย็น “หนูจ๋าไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ป๋ายังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
“จะทุ่มนึงแล้วครับ กว่าจะได้กินก็สองทุ่ม ผมไม่อยากให้คุณเป็นโรคกระเพาะ” แบคฮยอนตอบกลับมาระหว่างการตวงข้าวใส่หม้อ ตวงน้ำ เอาใส่เครื่องแล้วกดหุงด่วน “ข้าวผัดเอาไว้กินวันอื่นนะ หยิบเต้าเจี้ยวให้หน่อยครับ”

เขากวาดสายตาทั่วตู้เย็นตู้ยักษ์เพื่อหาเต้าเจี้ยวให้แฟนคนดีที่ตอนนี้เตรียมหมักไก่แล้ว เพราะว่าจูบกันเพลินไปหน่อย รวมถึงการที่เขาหยุดตัวเองไม่อยู่ กัดคอหนูจ๋าไปอีกสองสามรอย แหย่เรื่องทะลึ่งตึงตังกันอยู่บนรถ รู้สึกตัวอีกทีก็เลยเวลาที่คิดกันไว้ไปเกือบสามสิบนาที แถมรถยังมาติดเพียงแค่จะออกไปถนนใหญ่ ทำเอาหนูจ๋าแทบจะลอยขึ้นมาบนห้อง เพราะกลัวจะทำกับข้าวไม่ทัน

“ไม่มีอ่ะค่ะ ป๋าหาไม่—”
“อยู่ข้างตู้เย็นครับ” เขาหาเต้าเจี้ยวที่ข้างตู้เย็นต่อ แต่ก็ไม่เห็นมีเลย เห็นแต่ขวดแยม กระปุกครีมชีส ขวดซอสมะเขือเทศ
“ข้างตู้เย็นก็ไม่—”
“มุมล่างขวาครับ”
“อ๋อ เจอแล้วค่ะ” ชานยอลหยิบขวดเต้าเจี้ยวมาตั้ง ตามด้วยเต้าหู้หนึ่งแพ็ค ส่วนสาหร่ายนั้นอยู่ตู้ของแห้ง แบคฮยอนคงหยิบเอง “หนูจ๋าให้ป๋าช่วยอะไรอีกไหมคะ ?”
“เก็บของแหละครับ อย่าปนกันนะครับ อ่านก่อน”

คราวที่แล้วเอาผงซักฟอกไปวางรวมกับน้ำยาถูพื้น โดนบ่นจนต้องพุ่งเข้าชาร์จ กอดไปจูบไปขอโทษไป ไม่ถึงสามครั้งหนูจ๋าก็กอดกลับมา แล้วก็บอกว่าคราวหลังให้เรียงให้ดี จะได้รู้ว่าอันไหนยังมีอันไหนหมดแล้ว

พอได้มาอยู่ด้วยกัน เขาก็ได้รู้ว่าหนูจ๋าทำงานบ้านเองด้วย ผ้าก็ส่งซักแต่ชุดที่ราคาแพงๆ อะไรที่ต้องซักอย่างถะนุถนอม ส่วนอย่างอื่นนั้นหนูจ๋าทำเองหมด พอเห็นทำแล้วมานั่งปาดเหงื่อก็ไม่ค่อยอยากให้ทำเท่าไหร่ แต่จะจ้างคนมาให้หนูจ๋าก็บอกว่าเปลือง เลยต้องมาช่วยหนูจ๋าถูพื้น ให้ได้มีเวลาเอาผ้าปูที่นอนไปซัก รีดเสื้อให้เขาใส่ไปทำงาน

เมื่อก่อนเขายังไม่เคยเข้าใจ ตอนที่ยังเอาแต่รักหนูจ๋าเขาก็ยังไม่เข้าใจ แต่พอได้มาใช้ชีวิตในแบบที่ตื่นมาเจอหน้ากัน เข้านอนไปพร้อมๆกันแบบนี้ เขาถึงได้รู้ว่าเวลาที่คนเราคิดอยากจะอยู่กับใครสักคนไปตลอดชีวิตมันเป็นยังไง คนที่อยากให้มาเป็นสิ่งที่เรียกว่าคู่ชีวิต ได้แต่คิดว่าถ้าอยู่ด้วยกันไปตลอดก็คงดี

“คุณชานยอล หายไปไหนครับ ?” หนูจ๋าร้องเรียกเมื่อเห็นว่าเขาหายเข้ามาในห้องซักรีดนานเกินไปแล้ว “คุณชานยอล ~”
“อยู่นี่ค่ะ เมาดาวน์นี่ไปหน่อย” เขาพับกล่องผ้าก่อนจะเอาไปวางไว้ที่ของมัน ให้ได้หยิบใช้ตอนจะไปซื้อของอีก “เอาไก่เข้าเตาอบแล้วเหรอคะ ?”
“ครับ คงไม่เข้าเนื้อเพราะรีบ แต่ก็กินได้แหละ” แบคฮยอนกำลังต้มเต้าหู้กับสาหร่ายด้วยไฟอ่อน แบ่งเต้าเจี้ยวมาใส่ตะแกรง เตรียมละลายลงหม้อ “เรียงของเรียบร้อยนะครับ ?”
“ยิ่งกว่าเรียบร้อยค่ะ หนูเห็นแล้วจะต้องอึ้ง”
“ฮะๆ คุณนี่...” แบคฮยอนเงียบไปเพราะเขากดจูบลงที่หลังคอ “อะไรครับ...”
“รักหนูจัง...”
“จะอ้อนเอาอะไรครับ ไปปืนเขานี่ห้ามนะ ไม่ต้องมาพูดให้ได้ยิน”
“เปล่าค่ะ...”
“หรือว่าหิวแล้ว รออีกแปปเดียว จะเสร็จแล้วครับ”
“ป๋าจีบหนูติดได้ยังไงนะ เหมือนฝันอยู่เลย...”
“ผมต่างหากที่ได้คุณกลับมาได้ยังไงกัน” แบคฮยอนตอบกลับมา “ดีใจทุกวันที่ได้เจอกันเลย”

ไม่ให้รักมากขึ้นทุกวันยังไงไหว...รักจะตายอยู่แล้ว

“ตอนแรกหนู...คิดยังไงกับป๋าคะ ?”
“ตอนไหนครับ ?”
“ตอนที่ป๋าแสดงออกว่าจะจีบหนู...”
“ผมเกลียดคุณยันเงาเลย ชื่อก็ไม่อยากได้ยิน”
“อ้าว...”
“แต่ผมมาคิดดูแล้ว ผมก็เปิดรับคุณเข้ามาเรื่อยๆ หาแจกันมาใส่ดอกไม้ที่คุณให้ ถึงขั้นซื้อสมุดมาสะสมการ์ดที่คุณเขียน ผมว่าผมก็ชอบคุณพอสมควรล่ะนะ แต่ว่าผมไม่อยากชอบไง ผมก็เลย...ทำกับคุณแบบนั้น”
“ป๋าหล่อใช่ไหมล่ะคะ เห็นแล้วมันอดใจไม่ไหว” เขารู้ดีเหมือนกันว่าทำไว้เยอะ “ถ้าหนูเกิดปีเดียวกับป๋า ถ้าป๋าอายุเท่าหนู หรือห่างกันน้อยกว่านี้...”
“ไม่เอาครับ ถ้าเป็นแบบนั้นจะเป็นคุณป๋าของผมได้ยังไงกัน”
“...”
“จะไม่มีหนูจ๋าด้วยนะ ยอมได้เหรอ ?”
“ยอมไม่ได้ค่ะ ไม่ได้เด็ดขาด !”
“ยอมไม่ได้ก็ไปกินข้าวกันนะครับ ตักข้าวให้หน่อยครับคุณชานยอล”

เขาเดินไปตักข้าวสองถ้วย ในขณะที่หนูจ๋ายกหม้อไปวางที่โต๊ะ ก่อนจะเอาไก่ออกจากเตาอบ จัดใส่จานให้ดูสวยงาม

วันที่ครบรอบหนึ่งเดือน หนูจ๋าก็หยิบสมุดเล่มใหญ่ๆเหมือนอัลบั้มภาพมาให้เขาดู พอเปิดข้างในก็พบว่ามันมีแต่การ์ดใบเล็กๆที่มีลายมือของเขาอยู่เต็มไปหมด หนูจ๋าบอกว่าเริ่มเก็บตั้งแต่ตอนที่ได้ครบสามสิบใบ เห็นแล้วก็ทำเอากลั้นน้ำตาไม่อยู่ เก็บไว้ตั้งแต่บอกว่าไม่รักกัน ถ้าเขารู้ว่าหนูจ๋าทำแบบนี้ตั้งแต่ตอนนั้น เขาได้ตะโกนใส่หน้าหนูจ๋าไปแล้วว่าไม่เชื่อ ไม่ต้องมาพูดว่าไม่พิศวาสป๋า โกหก !

“หนูจ๋าทำไก่อร่อยกว่าร้านที่เราไปกินอีก...” เขาชมแบคฮยอนจากใจ ของที่บ้านที่กินมาตั้งแต่เกิดยังไม่เท่าที่แบคฮยอนทำให้ ความรักเต็มอกเต็มใจมันก็เป็นแบบนี้
“ไม่จริงครับ ผมว่าร้านทำอร่อยกว่าเยอะ”
“ก็แบบนี้ถูกปากป๋า ทำไมหนูไม่เชื่อ” เขากินข้าวกับไก่คำโต ซดน้ำซุปตามไปอีกคำ “เยี่ยม !”
“คุณน่ะเอาแต่ให้ท้ายผม ไม่มีผิดไม่มีถูก...” แบคฮยอนยิ้มหวานให้เขาที่รู้สึกเหมือนกินน้ำผึ้งเข้าไปหนึ่งทัพพี “แต่น่ารักที่สุด จะยอมให้ให้ท้ายก็ได้”
“โอ๊ย อยากกอดแฟนจัง วันนี้หนูนอนกอดป๋านะ ?”
“ครับ ผมจะกอดคุณชานยอลเอง”

หลังจากกินข้าวเสร็จเขาก็มาล้างจาน ส่วนหนูจ๋านั้นไปเอาเสื้อผ้าในตะกร้ามาใส่เครื่อง พอเขาล้างจานเสร็จ เดินเข้ามาในห้องนอนก็เห็นกำลังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอยู่ เลยบอกให้ไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะใส่ปลอกหมอนกับหมอนข้างให้ หนูไปอาบน้ำแช่น้ำอุ่นเถอะ ถ่ายโฆษณามาทั้งวัน

พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็เดินไปเปิดทีวีเพื่อดูข่าว นอนฟังผ่านๆ เปิดแล็ปท็อปเช็คงานไปด้วย สักพักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ เป็นหนูจ๋าที่ออกมาพร้อมกับเสื้อคลุม เดินผ่านเขาเข้าไปในห้องแต่งตัว

“หนูจ๋า มาให้ดูก่อนว่าอาบสะอาดรึเปล่า ?”
“ทะลึ่ง !” เสียงแว๊ดๆดังออกมาจากในห้องแต่งตัว “ไปอาบน้ำได้แล้วครับ จะให้ช่วยต่อบทหน่อย !”
“ค่ะ จะไปอาบแล้วค่ะ” เขาพับหน้าจอลง เดินย่องไปแกล้งหนูจ๋า ทำท่าเหมือนมาแอบดู “เห็นนะ !”
“คุณชานยอล ! ไปเลยนะ !”

เขาเข้าไปอาบน้ำตามคำสั่งแฟน พลางคิดว่าถึงจะอยู่ด้วยกันมานาน แต่ก็ไม่เคยอาบน้ำด้วยกันเลย มีแต่ตอนที่เขาไม่ได้ล็อคห้องน้ำแล้วหนูจ๋าเดินเข้ามาบ้วนปาก ตอนนั้นได้รู้เลยว่าอายของจริงมันเป็นยังไง ที่กั้นก็เป็นกระจกใส แต่หนูจ๋าก็ทำแค่หลิ่วตาให้แล้วถามว่าอายอะไรครับ เขาได้แต่นึกในใจว่ายังจะมาถามอีก แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร ได้แต่รอให้หนูจ๋าออกไปก่อนจะกลับมาอาบน้ำต่อ หูแดงไปทั้งคืนทั้งที่ไม่เคยคิดอายมาก่อน แต่กับหนูจ๋าไม่รู้ทำไมถึงอายได้อายดี มั่นใจว่าหุ่นดีมากแต่ก็พอเป็นหนูจ๋าแล้วมันเขิน

“เป็นอะไรคะ ?” เดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นแฟนทำหน้ายุ่งก็เลยถาม “หืม ?”
“เห็นอะไรบ้าง ?!”
“โถ่ จะไปเห็นอะไรล่ะคะ แค่โผล่หน้าไปดูเล่นๆ”
“คุณมันทะลึ่ง !” แบคฮยอนเสียงดัง “ที่สุดเลย !”
“หนูจ๋าก็ทะลึ่ง ตอนอยู่ในรถยังพูดอยู่เลยว่าอยากโดนป๋ากัดทั้งตัว”
“ก็ตอนนั้น...ไปแต่งตัวเลยนะ แล้วออกมาช่วยต่อบท !”
“อย่าเสียงดังสิคะ น่ารักน้อยลงไปนิดนึงเลยเนี่ย”
“ก็...ไปแต่งตัวนะครับ” แบคฮยอนเบาเสียงลงตามที่เขาบอก “มาช่วยผมหน่อย”
“ได้ค่ะ รอแปปนึงนะคะ”

แต่งตัวเสร็จก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงพร้อมกับกอดหนูจ๋าที่นั่งอยู่ก่อน กัดไหล่เล่นๆเพื่อหยอกให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง

“มาค่ะ...ให้ช่วยตรงไหนคะ ?”
“ขอโทษนะครับ ผม...เขิน...” แบคฮยอนพูดเสียงค่อย “นิสัยไม่ดีเลย ขอบคุณที่อดทนนะครับ”
“ไม่ต้องขอโทษค่ะ เรื่องธรรมดา” เขาไม่เคยนึกเอามันมาเป็นปัญหา “อย่าคิดมากเลย”
“แต่ผมเสียงดังใส่คุณ...”
“ก็บอกว่าอย่าคิดมากไง ! ...ป๋าเสียงดังใส่หนูเหมือนกัน หายกันแล้วนะคะ”
“คุณชานยอลนี่นะ...” แบคฮยอนยิ้มน้อยๆ ยกมือขึ้นโอบรอบคอเขา “น่ารัก”
“หนูจ๋าทำแบบนี้ไม่ได้ซ้อมนะ ป๋าฟัดหนูทั้งคืนเลยนะ”
“ต่อบทให้ก่อน แล้วถ้าจะฟัด...” หนูจ๋าจูบแก้มเขาเบาๆ “ค่อยมาคุยกันอีกที”

บทที่แบคฮยอนจะให้ช่วยต่อเป็นบทที่แบคฮยอนไปเจอผู้หญิงที่เคยจะฆ่าแล้วเธอดันหนีมาได้ โดยที่เขาต้องเล่นเป็นผู้หญิงที่หวาดกลัวสุดชีวิตแล้วกำลังจะตาย ด้วยการถูกหนูจ๋าแทงซ้ำๆ อาวุธที่ถูกนำมาใช้ในวันนี้เป็นปากกาด้ามทองที่เขาเอาไว้ใช้เซ็นเอกสาร

“เหอะ...เธอคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ คิมนายอน !”
“ไม่นะ อย่าเข้ามานะ กรี๊ดดด ช่วยด้วยค่ะ !” เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกรี๊ดแล้ว เสียงเขามันได้แค่นี้จริงๆ
“ร้องไปเลย...ร้องอีก !” ปากกาสีทองต้องแสงวาววับเหมือนใบมีด แบคฮยอนเงื้อมันสูงขึ้นตรงหน้าเขา “เพราะเธอ...คงจะไม่มีวันได้ร้องอีกแล้ว !”
“ไอ้อีจุน ไอ้คนสารเลว !” เขาอ่านบทไปตะโกนไป “แกมันไอ้ชั่ว ทำมาเป็นบอกว่ารักฉัน ที่แท้...ที่แท้”
“เธอมันโง่ ! คิดว่า...ไม่เอาแล้ว เปลี่ยนบท ผมอ่อนไหว” แบคฮยอนรู้ดีว่าต้องพูดอะไรออกมา “เอาเป็นตอนที่ผมคุยกับตำรวจดีกว่า”
“ทำไมล่ะคะ ไม่เห็นจะเป็นอะไร” เขาอ่านบทที่เขียนว่าคนอย่างฉัน พระเจ้าอย่างฉัน จะตกหลุมคนอย่างเธอรึไง “หนูจ๋านี่คิดมากเก่งจัง”
“ผมไม่ได้คิดมาก” แบคฮยอนถอนหายใจ “เพราะว่าไม่คิดอะไร ก็เลยเสียคุณไปไง”
“...”
“จะให้พูดประโยคแบบนี้ต่อหน้าคุณ...ผมทำไม่ได้หรอก ต่อให้เล่นละครหรืออะไรก็ตาม ทำไม่ได้”
“หนูจ๋า...”
“วันจันทร์ไม่ต้องไปเฝ้านะครับ เดี๋ยวผมไปหา” แบคฮยอนยิ้มให้เขา “เดี๋ยวผมไปเอาน้ำก่อ—”
“ไม่ต้องค่ะ มานี่เลย”
“...”
“แอบไปร้องไห้ทุกที จะร้องก็มาร้องตรงนี้ ตู้เย็นมันไม่หล่อเหมือนป๋า มันปลอบใจหนูจ๋าไม่ได้หรอกนะ”
“ผม...ขอโทษครับ”

เขารู้ว่าแบคฮยอนคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา คิดถึงสิ่งที่เคยทำกับเขาเอาไว้เมื่อปีก่อน มีอะไรมาสะกิดใจนิดหน่อยก็ร้องไห้ ถ้าอยู่กับเขาก็จะหยิบของบ้างล่ะ ดื่มน้ำบ้างล่ะ อยากกินผลไม้บ้างล่ะ โทรหาเพื่อนบ้างล่ะ เขารู้อยู่ตลอดแต่ก็ไม่อยากพูด จนวันนี้ที่สถานการณ์มันมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จะไม่ให้พูดก็คงทำไม่ได้

หนูจ๋าทิ้งตัวนั่งลงบนตักของเขาที่ขัดสมาธิอยู่บนเตียง ซุกหน้าลงบนลาดไหล่ที่ตอนนี้เสื้อนอนคงเปียกน้ำตาไปแล้ว

“ผม...ก็แค่ไม่อยากให้คุณเห็น”
“จะเห็นหรือไม่เห็นมันไม่ใช่ปัญหา แต่เหมือนป๋าเป็นคนทำให้หนูต้องร้องไห้เลย...”
“ไม่ใช่นะครับ ผม...ผม...มันเป็นความผิด...”
“ผิดอะไร ถ้าหนูจ๋าพูดออกมาป๋าจะตีหนูสามทีเลยนะ”
“...”
“อย่าคิดแบบนั้นได้ไหม ป๋าเห็นแล้ว...เสียใจมากเลย” เขาเจ็บอยู่ข้างในจริงๆ “มันผ่านมาแล้วนะ เราผ่านมันมาแล้ว”
“...”
“ตอนนี้ก็ได้อยู่ด้วยกัน หัวใจของป๋าเป็นของหนูจ๋าขนาดนี้ หนูคิดว่าป๋าไปจากหนูง่ายๆหรอคะ ให้ตายป๋าก็ไม่ไปหรอก”
“ฮึก...” เขาเช็ดน้ำตาให้หนูจ๋าที่คงพยายามแล้ว แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ป๋ารู้ว่ามันยาก แต่...คิดถึงป๋าคนเดียวก็พอ ป๋าว่าหนูจ๋าเอาเวลาคิดเรื่องนี้ไปคิดว่าจะทำอะไรให้ป๋ากินพรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ”
“ผมจะ...ผัดข้าวให้คุณกินไง”
“รอล้างกระทะไม่ไหวแล้วเนี่ย”
“คุณชานยอลอ่ะ...” แก้มยุ้ยๆของหนูจ๋าที่ขุนให้กลมเหมือนเดิมทำให้เขาอดใจไม่ไหว ต้องกดจูบลงไปสักทีสองที “คุณ...”
“คะ ?”
“ผมรักคุณ...มากเลยนะ”
“...”
“เมื่อวานว่ารักมากแล้ว วันนี้...รักมากกว่าเดิมอีก”

แผ่นหลังของแบคฮยอนสัมผัสกับเตียง ใบหน้าเล็กแหงนขึ้นพร้อมกับหลับตาพริ้มเพื่อให้เขาที่ทาบทับริมฝีปากตามลงไป เขาจูบหนูจ๋าด้วยความรักในหัวใจ บอกตัวเองว่าให้นุ่มนวลกับคนคนนี้ให้ดีและให้มากที่สุด

ครั้งแรกที่เราจูบกันนั้น จะว่าน่าอายมันก็พูดได้เพราะว่าหนูจ๋าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถึงจะชอบทำเป็นทะลึ่งใส่ แต่พอเจอคนที่ใจบอกว่ารักจริงๆก็ไม่กล้าไปเสียหมด แค่กอดกันดูหนังเขาก็หน้าแดงไปถึงคอ จะให้จูบหนูจ๋าก่อนเขาคงเป็นลมตายพอดี

แต่สุดท้ายแบคฮยอนก็เป็นฝ่ายโน้มคอเขาลงไปจูบตอนที่เรากอดกันอยู่ในครัว ปลาเกือบไหม้แต่ก็คุ้มที่ได้ทำ เพราะมันทำให้เขารู้ว่าจูบของหนูจ๋าดีที่สุดเท่าที่เขาเคยได้เจอมาในสี่สิบสี่ปีที่มีชีวิตอยู่มาเลย

หนูจ๋าเริ่มก่อนทีไร เขาเหมือนคนเมาทุกที ไม่ว่าอะไรก็หวานไปหมด หนูจ๋าเหมือนน้ำผึ้งหอมๆและคาราเมลที่เคี่ยวจนเกือบไหม้ รสชาติตรงกลางระหว่างความรู้สึกตรงนั้นมันทำให้เขาสุขใจเหลือเกิน

“ป๋าไม่รู้จะรักหนูจ๋ายังไงให้มันมากกว่านี้...” เราห่างกันเพียงหนึ่งคืบ ต้องตาประสานกัน “ทั้งหมดที่ป๋ามี...ให้หนูไปหมดแล้ว”
“ผมรู้...” แบคฮยอนคลอเคลียที่ริมฝีปากของเขาไม่ห่าง “ผมถึงได้บอกว่าผมโชคดี...ที่มีคนอย่างคุณมารักผม”

เราจูบกันอีกครั้ง หนักแน่น ร้อนแรง แต่ก็แฝงไปด้วยอารมณ์ที่อ่อนหวาน แบคฮยอนทั้งลูบทั้งทึ้งเสื้อนอนของเขา ในขณะที่เสื้อของตัวเองนั้นก็หลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดีด้วยฝีมือของเขาเหมือนกัน เสียงครางเบาๆหลุดออกมาให้ได้ยินตอนที่เขาไล้ริมฝีปากไปบริเวณแผ่นอกขาวๆ ที่เคยไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อนว่าชาตินี้จะได้จูบลงไปแบบนี้ จนรู้ตัวว่ากำลังจะลูบมือผ่านกางเกงนอน ถึงได้ดึงสติตัวเองกลับมาได้

“หนูจ๋า...”
“คุณทำได้นะ ไม่เป็นไร” แบคฮยอนยิ้มให้เขา “เราเป็นแฟนกัน...จะจับตรงไหน...ก็ได้”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ป๋าก็แค่...มีเรื่องอยากจะถามหนู”
“ครับ ?”
“อีกสองอาทิตย์...”
“ครบรอบหนึ่งปีที่คบกัน ผมจำได้ครับ” หนูจ๋าของเขายิ้มกว้าง จูบที่มุมปากของเขาเบาๆ “อยากได้อะไรครับ จะทำให้ทุกอย่างเลย”

เขามองหน้าคนที่ยิ้มอยู่ในอ้อมกอดของเขา ยิ้มที่สวยและน่ารักที่สุดในโลกเพราะว่ามาจากแบคฮยอน และทุกครั้งก็เป็นเขา...ที่หนูจ๋ายิ้มให้แบบนี้ ไม่เคยมีใครทั้งนั้นที่ได้มันไป

“ป๋าอยาก...แต่งงานกับหนูจ๋า”
“...”
“อยากทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ป๋าจะไปขอหนูจ๋ากับคุณพ่อคุณแม่ของหนู แล้วก็พาหนูไปหาพ่อกับแม่ของป๋า แล้วก็จะทำพิธีเคารพญาติผู้ใหญ่ กินข้าวเย็นด้วยกันสักมื้อ แล้วก็...เข้าห้องหอด้วยกัน พอถึงวันนั้น...ป๋าจะถะนุถนอมหนูให้ดีที่สุด”
“...”
“หนูจ๋าอยากแต่งงานกับป๋าไหมคะ ?”

มันเป็นสิ่งที่เขาคิดมานาน คิดตั้งแต่ในวันแรกที่เขาได้ตื่นมาเจอกับหนูแบคฮยอนจ๋าคนนี้

เขานอนมองแบคฮยอนอยู่นานสองนาน มองคนที่อายุน้อยกว่าเขาสิบเก้าปีที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมกอด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับแบคฮยอน เขาได้แต่ฝันมาตลอด ทุกสิ่งที่เขาอยากได้ ทุกสิ่งที่เขาอยากทำเกี่ยวกับคนคนนี้ เขาก็ได้แต่ฝันเอาทั้งนั้น จนถึงวันที่เรื่องพลิกผัน วันที่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป...วันที่เขาทิ้งความรู้สึกทุกอย่างไปและยอมรับหัวใจของตัวเอง

เขาคิดถึงอนาคต คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไประหว่างเขากับแบคฮยอน ในเวลาที่เขาไม่มี เขาก็ฝันถึงตอนที่ตัวเองจะมี แต่ในเวลาที่เขามี เขาอยากจะมีให้นานที่สุด ถ้าตลอดไปมีจริง เขาก็อยากจะใช้คำนั้นกับความรู้สึกของตัวเอง

เขาเชื่อมาตลอดว่าคงจะมีสักคนที่ทำให้เรารู้สึกว่า...คนนี้แหละ เหมือนที่พ่อของเขาได้เจอกับแม่ พี่ชายได้เจอกับพี่สะใภ้ หรือเขา...ที่ได้เจอกับแบคฮยอน เราไม่มีทางรู้ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร จะมาถึงเมื่อไหร่ จะแตกต่างกันมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้ในตอนนี้ ในตอนที่เขาได้นอนอยู่ข้างๆแบคฮยอน ได้เห็นรอยยิ้มของหนูจ๋าเป็นคนแรกของวัน เป็นคนแรกที่หนูจ๋ายิ้มให้

เขาอยากจะเห็นมัน อยากจะมีความรู้สึกนี้อยู่ในหัวใจ...ของทุกๆวัน ที่ได้ใช้ชีวิต

เราไม่มีวันรู้ว่าหัวใจของเราสามารถรักได้มากแค่ไหน จนกว่าเรา...จะได้รักจริงๆ ได้รักใครสักคนด้วยทุกสิ่งที่เรามี

เหมือนที่เขารักแบคฮยอนในวันนี้ รัก...จนไม่รู้ว่าจะอธิบายมันออกมายังไง

“มากกว่าคำว่าแฟน มากกว่าคำว่าคนรัก มาเป็นคู่ชีวิต เป็นสามีภรรยา เป็นเมียจ๋—โอ๊ย !”
“พูดใหม่ครับ ให้มันน่ารักหน่อย”
“มาเป็นภรรยาจ๋าของป๋า” เอาไว้ได้แล้วค่อยพูดว่าเป็นเมียก็ได้ ไม่อยากโดนดึงหูอีก “แต่งงานกันนะคะ”

เขารับรู้ได้ถึงเรื่องดีๆจากแววตาของบยอนแบคฮยอน รวมถึงการไล้นิ้วลงที่หลังคอของเขาเบาๆ ยิ้มหวานในแบบที่ทำให้เขาใจเต้นแรงที่สุดในชีวิต

“ครับ”

วันที่เราตกลงคบหาดูใจกัน เหมือนมีคนมาจุดพลุในใจของเขาเป็นร้อยดอก แต่ความรู้สึกในวินาทีนี้มีเป็นล้าน มันมากจนเขาดึงตัวหนูจ๋าขึ้นมากอดแน่นๆให้สมกับความดีใจที่มันมีอยู่ในอก

“หนูจ๋า !”
“ครับ...”
“ป๋าจะมีเมียแล้ว !”
“คุณชานยอล !” เขาโดนดึงหูอีกข้าง แต่ไม่เจ็บมากนัก ความสุขมันมากกว่า “พูดมากนัก ใครเมียคุณ !”
“ก็หนูจ๋าตกลงแล้วนี่...”
“ผมตกลง แต่เรายังไม่ได้แต่ง !” แบคฮยอนกำหมัดก่อนจะต่อยเขาเบาๆที่อก “แล้วผมก็ยังไม่ได้มีอะไรกับคุณด้วย ห้ามใช้คำนี้ !”
“งั้นถ้าแต่งแล้วก็เป็นเมียจ๋าได้ใช่ไหมคะ ?”
“คุณนี่มัน...” แบคฮยอนหน้าขึ้นสีจัด “...ผมจะคิดดูอีกที”

เขาไล่จูบหนูจ๋าไปทั่วบริเวณใบหน้ารวมถึงลำคอ ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักไม่หยุด รวมถึงการใช้มือดันหน้าเขาอย่างไม่จริงจังนัก

“แก่แล้วก็ยังจะซน...”
“หนูคิดว่ามันเร็วไปรึเปล่า เลื่อนป๋าไปก่อนก็ได้นะ แต่ปฏิเสธกันป๋าไม่เอา” เขาผละออกจากการตะโบมจูบหนูจ๋า ถามถึงสิ่งที่เพิ่งคิดได้
“ผมก็ตอบตกลงไปแล้ว จะปฏิเสธอะไร...”
“ก็หนูเพิ่งยี่สิบห้า ป๋าอาจจะใจร้อนเกินไปหน่อย” เขาเพิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ตอนแรกเอาแต่คิดว่าอยากจะแต่งงาน “ช้ากว่านี้ก็ได้ แต่ต้องแต่งนะ”
“ไม่หรอกครับ เจอคนที่รักแล้ว...จะลังเลใจไปทำไม”

เขาขอบคุณตัวเองเป็นล้านครั้งที่วันนั้นไม่ปล่อยให้หนูจ๋าไปจากเขา ถ้าวันนั้นเอาอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ คงไม่ได้พบเจอความสุขแบบนี้

เวลาได้พบเจอกับความรักที่เท่ากัน มันมีความสุขแบบนี้นี่เอง

“ป๋าจะลอยชนเพดานแล้ว...แต่ว่าไม่โรแมนติกเลย ป๋ามองหน้าหนูจ๋าแล้วทนไม่ไหว มีอะไรแล้วไม่บอกหนูไม่ได้” ผู้ชายที่ดีต้องไม่มีความลับกับแฟน คิดอยากจะขอแต่งงานขึ้นมาก็เก็บเอาไว้ไม่ไหว ต้องให้ได้พูดออกไป
“ผมกอดเอาไว้แน่นขนาดนี้ จะลอยไปไหนได้ ไม่ให้ไปหรอก” แบคฮยอนกอดเอวเขาแน่น “อีกอย่าง...มีคุณชานยอลก็โรแมนติกแล้ว ขอบคุณมากนะครับ ผมมีความสุขมากเลย”

ใครไม่มีแฟนเด็ก ไม่รู้หรอกว่ามันกระชุ่มกระชวยหัวใจมากแค่ไหน อยากจะบ้าตายจริงๆ หัวใจจะวายเอา

“แต่งแล้วไปอยู่บ้านป๋านะคะ” เขาเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ไว้นานตั้งแต่ครึ่งปีแรกที่คบกัน “ป๋าต่อเติมห้องไว้ให้หนูจ๋าแล้ว ย้ายห้องนอนไปไว้ด้านใน ทำห้องแต่งตัวให้หนู แล้วก็ทำตรงที่นอนเก่าเป็นห้องนั่งเล่นกับห้องทำงานป๋า มีที่ให้หนูท่องบทด้วยนะ นอนดูทีวีก็ได้”
“...ที่ไม่ยอมกลับบ้านเลยเพราะเรื่องนี้หรอครับ แต่...คุณก็กลับไปนี่ แล้วนอนที่ไหนครับ ?”
“ก็นอนห้องนอนแขกค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น” เขาดึงแก้มหนูจ๋าที่หน้าเริ่มจะบึ้งตึงเบาๆ “เพื่อหนูแล้วป๋าสบายมาก”
“อย่าทำแบบนี้สิครับ ผม...จะทำอะไรเพื่อคุณได้บ้าง”
“หนูจ๋าทำอะไรให้ป๋าตั้งเยอะ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ” เขารู้ดีว่าแบคฮยอนทำเพื่อเขามามากแค่ไหน “หนูทำกับข้าวให้ป๋ากิน ซักเสื้อรีดเสื้อให้ป๋าใส่ กวาดห้องให้ป๋าอยู่ ดูแลป๋าดีขนาดนี้ ไม่ต้องทำอะไรไปมากกว่านี้แล้ว รักจะตายอยู่แล้ว”
“อย่าพูดคำนั้นนะ !”
“โอ๋ๆ ผิดไปแล้วค่ะ ป๋าไม่พูดแล้ว” เขาเผลอพูดคำว่าตายออกไปทั้งที่แบคฮยอนไม่ชอบ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ยอมตายหรอก จะอยู่รักหนูจ๋าไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ขอโทษนะคะ”
“ครับ” แบคฮยอนพยักหน้ากลับมา ยกมือขึ้นจับติ่งหูของเขาเบาๆ “แต่ว่า...ย้ายไปอยู่บ้านคุณแล้ว ห้องนี้ผ่อนต่อได้ไหมครับ ผมไม่อยากขาย”
“ได้ค่ะ หนูจ๋าก็เอาเงินของเราผ่อนต่อนะ ป๋าก็ไม่ให้ขายหรอก นี่มันห้องอยู่ก่อนแต่งของเรา”
“คุณนี่เหลือเกินจริงๆ...” โดนทำหน้าเบื่อๆใส่ แต่ก็รู้ว่าไม่มีอะไรหรอก เขินทั้งนั้น
“หนูจ๋าอยากได้อะไรเพิ่มจากที่ป๋าพูดไป บอกป๋าได้เลยนะ” เขาหมายถึงเรื่องแต่งงาน “อยากได้งานใหญ่ๆหรือว่า—”
“ผมยินดีกับการกินข้าวพร้อมหน้าทั้งครอบครัวครับ ผมชอบอะไรเรียบง่าย...คุณก็รู้ เรื่องของเราก็ให้มันเป็นเรื่องของเราเถอะครับ ส่วนที่อยากจะขอเพิ่ม ผมคิดว่าเราควรจะหาสักวันที่จะนัดเพื่อนของผม เพื่อนของคุณ แล้วก็บอกพวกเขาว่าเรา...จะแต่งงานกัน”
“ป๋าว่าชวนมางานเลยก็ได้นะ กินข้าวด้วยกันเหมือนเป็นงานเลี้ยงครอบครัว” เขาแสดงความคิดเห็น “แต่ป๋าตามใจหนูค่ะ ขอให้ได้แต่งก็พอ”
“ตามนั้นแหละครับ ของผมมีหกคน รวมคยองซูแล้วครับ”
“ของป๋า...ป๋าว่าแค่ที่บ้านก็เยอะแล้ว เชิญมาอีกที่ไม่พอ”
“คุณจงแดไงครับ ขอให้ร้องเพลงอวยพรให้...”
“เออใช่ ป๋านี่จะมีเมียแล้วลืมเพื่อน แย่จริงๆเลย ใช้ไม่ได้”
“ผมบอกว่าไม่ให้ใช้คำว่าเมียไง !”

พอเป็นคนที่รัก...ความสุขมันก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลยจริงๆ

เพียงแค่มองบยอนแบคฮยอน เขาก็รู้สึกว่าชีวิตนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

แค่ได้อยู่ด้วยกัน...แค่นั้นเขาก็ไม่ต้องการอะไรแล้วจริงๆ










❥ —









สองอาทิตย์ที่ผ่านมาเราสองคนยุ่งมาก เพราะงานที่แบคฮยอนมีและเพราะงานที่คุณชานยอลมี และเรื่องสำคัญที่เข้ามาแบบที่ไม่ทันตั้งตัว แต่มันก็เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ในแบบที่ไม่คิดว่าชีวิตจะได้พบเจอ

วินาทีที่เขาได้ยินประโยคนั้น หัวใจเขาเต้นดังกว่าเสียงใดๆบนโลกใบนี้ มันดังว่ารักอยู่ซ้ำๆและทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองตอบรับไป เขาจะอายุยังน้อย หรือเราจะต่างกันสิบเก้าปีแล้วยังไง ยิ่งได้อยู่ด้วยกันเขาก็ยิ่งรัก ยิ่งอยู่ด้วยกันเขาก็ยิ่งรู้ว่าเราเข้ากันได้ดีมากแค่ไหน ทุกเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเขาก็ยิ่งมีความสุข

การได้เจอคนที่รักก็ว่าดีแล้ว เจอคนที่รับนิสัยของเราได้ทุกเรื่องยิ่งดีกว่า เขาไม่ใช่คนเจ้าระเบียบแต่ต้องวางของให้เป็นระเบียบ ติดนิสัยชอบเสียงดังแต่คนคนนี้ก็ไม่เคยถือสา ทุกครั้งที่เอาตัวเองลงมาได้จากอารมณ์ เขารู้สึกผิดทุกครั้งที่สิ่งที่ทำลงไป แต่คุณชานยอลก็เข้าใจ ด้วยเหตุผลที่ว่าเวลาป๋าเงอะงะหนูจ๋ายังไม่เคยว่า เรื่องแค่นี้จะไม่ผิดใจกันเด็ดขาด มันไม่สำคัญพอหรอก

คนที่มีโอกาสตลอดหนึ่งปีที่จะได้จับก้นเขาแต่ก็ไม่เคยทำ ลูบมือผ่านตอนเรานัวเนียกันสักครั้งก็ยังไม่เคย คนที่ดีแบบนี้...เขาจะไม่มีวันทำให้เสียใจอีกเด็ดขาด

คุณชานยอลเรียกพ่อกับแม่เขาว่าพี่เพราะห่างกันไม่ถึงสิบปี วันที่ไปบอกว่าคบกัน แนะนำตัวว่าเป็นแฟนของเขาก็ตื่นเต้นสุดตัว กลัวจะโดนพ่อตาเอาปืนมายิงเหมือนในละคร แต่พอได้เจอกันก็คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ถูกคอเพราะเป็นคนยุคเดียวกัน พ่อกับแม่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาถ้าจะคบกัน เป็นเพราะว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ก็มั่นใจว่าคุณชานยอลจะดูแลเขาได้ และเพราะเขาเคยเล่าเรื่องของเราให้ฟังตั้งแต่ตอนที่พยายามทำให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม พ่อกับแม่เลยเข้าใจว่าเขารักผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน

พ่อกับแม่ของคุณชานยอลเองก็มีความยินดีในสิ่งที่เราตัดสินใจ ไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้เพราะเขาก็เข้าออกบ้านนี้อาทิตย์เว้นอาทิตย์จนสนิทกับหลานๆของคุณชานยอลทุกคน วันแรกที่ฮีจินเจอเขาเธอกรี๊ดดังลั่น วิ่งไปเอามาทั้งกระดาษทั้งกล้องถ่ายรูป บอกว่ารักมากค่ะ มีเซ็ตซีดีละครพร้อมหนังทุกเรื่องที่เขาเล่น มีโปสเตอร์แปะอยู่ในห้อง เป็นแฟนคลับค่ะ รักพี่แบคฮยอนนะคะ

ตอนแรกแม่ของคุณชานยอลแย้งเรื่องที่เราจะจัดงานเหมือนไม่ได้จัดเพราะว่ามันเป็นวันสำคัญของลูกชายคนสุดท้องของเธอ แต่พอเขาอธิบายเหตุผลถึงการที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ และพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรที่สำคัญไปมากกว่าการที่เราจะเป็นคู่ชีวิตกัน ดังนั้นการได้กินข้าวพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว มีเพื่อนๆพี่ๆที่รัก เราก็ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แม่ของคุณชานยอลก็เข้าใจ แต่ก็ให้พวกเขาทำหน้าที่ในการเลือกเมนูอาหารในวันนั้น พิธีการที่จะทำอะไรต่างๆ ให้เหมือนว่าเราสร้างงานมาด้วยกันจริงๆ

แต่กลุ่มที่เล่นใหญ่จริงๆ คือบรรดาเพื่อนๆพี่ๆ ผู้จัดการและเลขาคนดี มีจงอินกับเซฮุนที่เป่าปากเปี้ยว ส่วนอีกสี่คนที่เหลือน้ำตาไหลจนเขาต้องปลอบ คยองซูเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด บอกว่าดีใจแทนบอสจริงๆ รักษาแผลหัวแตกกันมาหลายครั้ง วันนี้จะแต่งงานแล้ว ส่วนเจ๊จุนมยอนนั้นร้องไห้ยิ่งกว่าคยองซู บอกกับเขาว่ารู้สึกเหมือนแม่ที่ลูกชายกำลังจะแต่งงาน มันตื้นตันมากจริงๆ

‘เชิญทุกคนเลยนะ งานเช้าจรดเย็น เลิกตอนมืดๆ’ เขาบอกแผนนัดแนะ ‘โนแอลกอฮอล์นะ มีหลานๆ’
‘คนอย่างนาย จะแต่งงานแล้ว’ จงอินเหมือนเมาน้ำเปล่า ‘ยากจะเชื่อว่ะ’

เขาก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่พอหันไปเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างกัน เขาก็คิดว่ามันต้องเป็นไปได้อยู่แล้ว

ผู้ชายแสนดี คนที่ต่อให้ต้องหันหลังให้คนทั้งโลก คุณชานยอลก็จะไม่ทิ้งเขาไปไหน แต่ถ้าเกิดว่ามันเป็นแบบนั้น เขาก็จะจับมือคุณชานยอลก้าวข้ามผ่านโลกนี้ไปด้วยกัน

เราต่างคนต่างไปเลือกแหวนกันคนละวง เป็นความลับที่จะเก็บไว้เป็นความประทับใจในวันแต่งงาน เขาเลือกแหวนทองคำขาวกลมเกลี้ยงมาวงนึง ไม่ได้มีเพชรหรือมีอะไรที่ทำให้ดูพิเศษไปมากกว่านี้ แต่เขารู้สึกว่ามันดูเข้ากับคุณชานยอล แล้วก็ดูเหมาะที่จะใส่ได้ในทุกๆวัน อีกอย่างเขาใช้ใจซื้อ คุณชานยอลจะต้องรู้สึกได้ถึงมันอย่างแน่นอน

พอตกลงว่าจะแต่งงานกัน คุณชานยอลก็จัดการให้เขาย้ายของเกือบทั้งหมดจากคอนโดเข้าบ้าน ดูตารางงานของเขาเพื่อหาวันว่าง ก่อนที่ตัวเองจะหยุดงานในวันนั้นเพื่อมาช่วยเขาแพ็คของใส่กล่อง เขาให้คุณชานยอลเก็บของแห้งที่อยู่ในตู้ใส่กล่องเพื่อเอาไปไว้ที่บ้าน ส่วนอุปกรณ์กับของใช้ในห้องน้ำก็คงเหลือไว้นิดหน่อย ส่วนเขานั้นเก็บเสื้อผ้าใส่ลัง เก็บข้าวของส่วนตัวแล้วเอาใส่รถของตัวเองเพื่อขับกลับบ้าน ส่วนข้าวของอื่นๆนั้นให้บริษัทรับขนย้ายที่คุณชานยอลจ้างมาเป็นคนรับผิดชอบ

เขาเองก็มาอยู่ที่บ้านของคุณชานยอลได้สามวันแล้ว และจากวันนี้ที่เป็นวันครบรอบหนึ่งปีของเรา ที่นี่คงจะเป็นบ้านในความรู้สึกของเขาจริงๆ

“หนู !” ฮีจินคว้าแขนเขาไปกอดแน่น “ไม่ให้แต่ง !”
“อา !” คุณชานยอลคว้าแขนเขาอีกข้าง “จะแต่ง !”
“พี่แบคฮยอนเป็นคนของประชาชน เป็นของบยอนเนอร์ เป็นของหนู !”
“แบคฮยอนเป็นของอา เป็นของอา แล้วก็เป็นของอา !”
“อาชานยอล !”
“ปาร์คฮีจิน !” คุณชานยอลกำลังเถียงหลานวัยสิบห้าปี “ชานฮีมาดูลูกหน่อยดิ้ เลี้ยงมายังไงวะเนี่ย...”
“คุณนั่นแหละ โตมายังไง เถียงหลานคอเป็นเอ็น” แบคฮยอนไม่เข้าใจว่าตาแก่จะเถียงหลานตัวเองให้มันได้อะไรขึ้นมา “จะเถียงกันทำไม...”
“ป๋าจะเป็นสามีหนูจ๋าอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้วนะ ทำไมหนูไม่เข้าข้างป๋า ?”
“จะเป็นได้ยังไง ก็หนูไม่ให้แต่ง !”
“คุณอาแบคฮยอน ไปเล่นรถกัน” ฮายูลวัยแปดขวบที่เดินมาทำให้เขาต้องยิ้มกว้างแล้วนั่งลงเพื่อกอดไว้ “เล่นรถปู๊นๆ”
“ป่ะๆ ไปเล่นรถกัน ฮีจินมากับพี่มา ส่วนคุณชานยอล...ไปสงบจิตสงบใจตัวเองให้ได้ก่อน ผมไม่อยากแต่งงานกับคนไม่รู้จักโต”

เขาเดินหันหลังให้คุณชานยอลเพื่อที่จะไปเล่นต่อรถไฟกับฮายูล ไม่เข้าใจว่าจะเถียงกันไปทำไม เราคุยกันแล้วว่าจะแต่งงาน เขาตอบตกลงแล้วว่าจะแต่งงาน ทำไมถึงยังต้องไปเถียง ยังไงเขาก็แต่งด้วยอยู่ดี เข้าใจว่าอยู่ที่บ้านแล้วรู้สึกว่าตัวเองเด็ก แต่อายุสี่สิบสี่มันก็ไม่ใช่วัยจะมาเถียงกับหลานแล้ว ถ้าจะเถียงกันเรื่องอื่นก็ไม่เป็นไรหรอก นี่มาเถียงกันเรื่องเขา ใช้ได้ที่ไหน

“แม่บอกว่า...อาแบคฮยอนจะมาอยู่ด้วยตลอดไป”
“ใช่ครับ อาแบคฮยอนจะมาอยู่ด้วยตลอดไปเลย มาเล่นรถไฟปู๊นๆกับฮายูล” แบคฮยอนอุ้มหลานขึ้นตัก “อามาอยู่ด้วยแล้ว เราโอเคไหม ?”
“ผมอยากอยู่กับอาแบคฮยอน”
“จริงนะ ?”
“กับอาคนน่ารัก อาคนสวย”
“พี่แบคฮยอนหล่อนะ ฮายูลอย่าบอกว่าสวยสิ แบบนี้เรียกว่าหล่อน่ารัก !” ฮีจินทิ้งตัวลงข้างเขา “หนู...ดีใจนะคะที่จะมีพี่แบคฮยอนเป็นสมาชิกใหม่ถาวร...”
“เมื่อกี้ยังเถียงอยู่เลยว่าไม่อยากให้แต่ง”
“หนูก็แค่แกล้งอาเล่นเฉยๆ เมื่อก่อนอาเคยมาถามหนูด้วยนะว่าโปสเตอร์รูปพี่ซื้อที่ไหน พอหนูบอกว่าต้องรอออกใหม่ปีหน้า อาก็แอบมาเอาของหนูไปอ่ะ ยังโกรธไม่หายเลย”
“เดี๋ยวเอาไว้พี่เอาอันใหม่มาให้ คุณชานยอลก็ไม่มี ยิ่งกว่าลิมิเต็ดอิดิชั่น” เขายิ้มให้ฮีจิน เอ็นดูในฐานะหลานของคุณชานยอล
“หนูใจหายมากเลยที่พี่จะแต่งงาน” ฮีจินถอนหายใจ “เหมือนถูกพรากลูกไปจากอก หนูรักพี่ตั้งแต่อายุสิบสอง...ก่อนอาชานยอลอีก !”

เขาอดยิ้มไม่ได้กับคำว่าลูก ฮีจินอายุห่างกับเขาสิบปี รักเขาเหมือนคุณแม่รักลูก เป็นความรักของแฟนคลับที่มีให้กับเขา ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ

“ขอบใจนะฮีจิน ขอบคุณที่เป็นแฟนคลับพี่”
“ค่ะ ถึงแม้ว่าพี่จะแต่งงาน หนูก็จะดูละครที่พี่เล่นอยู่ดี มีแต่หนังที่หนูยังไม่ได้ดูเพราะอายุไม่ถึงอ่ะ แม่ไม่ให้ดู”
“เอาไว้สิบแปดแล้วค่อยดูก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน”
“หนูอ่านรีวิวมา รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นของ—”
“ผมก็ดูอาแบคฮยอนในทีวีฮะ” ฮายูลยิ้มน้อยๆ “แม่บอกว่า...อาแบคฮยอนน่ารัก”

ฮายูลคงดูซิทคอมแนวครอบครัวที่เขาเล่น แต่พอคิดถึงละคร ถ้าหมดเรื่องล่าสุดที่รับเล่น เขาคงจะหยุดรับงานละครสักพัก แล้วหาเวลาไปพักผ่อนกับคุณชานยอลสองคน ได้ใช้เวลาไปด้วยกัน ตาแก่บอกว่าเราต้องมีทริปฮันนีมูน จะเป็นตอนไหนก็ได้แต่ว่าต้องมี จะได้ครบเครื่องเรื่องแต่งงาน

“แล้วฮายูลว่าอาแบคฮยอนน่ารักไหม ?”
“น่ารักครับ !”
“ขอบคุณนะคนเก่ง ไหนรถไฟต้องต่อไปทางไหน...”
“เอ่อ...น้องแบคฮยอนขา อิโดมันอยากเรียกแต่มันไม่กล้าค่ะ” เจ๊จุนมยอนโผล่หน้ามาจากประตูห้องนั่งเล่น “ออกมาแปปนึง...”
“มีอะไรรึเปล่าครับ ?” เขาเดินออกจากห้อง ไปหาเจ๊จุนมยอนกับคยองซูที่ตอนแรกอยู่ดูแลพ่อแม่เขา ไม่รู้ทำไมมาอยู่ตรงนี้
“คือ...ผมเดินสวนกับบอส บอสออกไปยืนจ้องใบไม้แห้งอยู่สิบนาทีแล้วครับ อยากให้ไปดู...”
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เขาคงเผลอพูดอะไรทำร้ายคุณชานยอลไป หรือว่าคุณชานยอลคงคิดอะไรอยู่สักอย่าง “ไม่มีอะไรหรอก ฝากงานในบ้านด้วยนะ”

เจ๊จุนมยอนกับคยองซูพยักหน้าเชิงว่ารับทราบ ส่วนเขานั้นเดินตรงไปที่ประตูหลังบ้าน คงจะเป็นมุมเดิมที่คุณชานยอลชอบไปยืนมองนั่นมองนี่เพื่อพักสายตา เหมือนเป็นพื้นที่ความสบายใจส่วนตัว เป็นมุมโปรดเวลาอยู่ที่นี่ คุณชานยอลเคยเล่าให้เขาฟังว่าบางทีก็นั่งทำงานอยู่หลังบ้าน เอาเสื่อมาปูแล้วก็อยู่กับฮายูลที่หอบของเล่นมาเล่นด้วย ไม่รู้ว่าดูแลหลานหรือว่าให้หลานดูแล

พอเดินออกไปก็เจอผู้ชายในชุดสูทเป็นทางการเช่นเดียวกับเขา เป็นชุดแบบเดียวกัน ต่างกันแค่เสื้อตัวในและไซส์ที่ต่างจากของเขามากโข แผ่นหลังของคุณชานยอลกว้างกว่าเขามาก แต่เขาก็บอกตัวเองทุกครั้งว่าเขาจะใช้อ้อมกอดของตัวเองทำให้คุณชานยอลรู้สึกอบอุ่นเสมอ แม้ว่าเขาจะตัวเล็กกว่าแต่เขาก็จะทำให้ได้

“คุณชานยอล...” เขาสวมกอดจากด้านหลัง ซบหน้าลงบนแผ่นหลังที่คุ้นเคย “มีอะไรรึเปล่าครับ ?”
“...”
“คุณชานยอล” เขาเรียกซ้ำเมื่อคนที่กอดอยู่ไม่ยอมพูดอะไร “มีอะไรต้องบอกกัน ถ้าไม่พูดผมก็ไม่—”
“หนูพูดว่า...ไม่อยากแต่ง” คุณชานยอลหันมาเผชิญหน้ากับเขา “บอกว่าไม่อยากแต่งงาน...กับป๋า...”
“ผมไม่ได้พูดแบบนั้นครับ ผมบอกว่าผมไม่อยากแต่งงานกับคนไม่รู้จักโต คุณเป็นแบบนั้นหรือว่าไม่ได้เป็นครับ ?”
“แต่หนูจงใจว่าป๋า เพราะว่าป๋าเถียงกับฮีจิน...”
“ที่ผมพูดก็เพราะว่าคุณเถียงกับฮีจิน คุณจะเถียงเด็กให้มันได้อะไรขึ้นมา”
“ป๋าก็เถียงเป็นเรื่องปกติ ป๋ารู้ว่าหลานมันเถียงแกล้งป๋า ป๋าก็เลยเถียงกลับเล่นๆ หนูกลับบอกว่าไม่อยากแต่งงาน จะให้ป๋าคิดยังไง”
“...ผมไม่รู้” เขาไม่รู้จริงๆ ถ้าฮีจินไม่ได้บอกหรือว่าคำพูดที่ได้ยินจากคุณชานยอล “ว่าคุณกับหลานเล่นกัน...”
“...”
“ผมขอโทษ ผม...คงต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้”
“หนูจ๋า ป๋าไม่ได้จงใจจะว่าหนูนะ” คุณชานยอลจับแขนเขาไว้ รั้งให้ขยับเข้ามาชิดกันมากขึ้น “ป๋า...ไม่น่าเลย เกลียดตัวเองจริงๆ”
“ผมรู้ครับ ผมเข้าใจ ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าบ้านของคุณคุยกันแบบไหน เล่นกันยังไง แต่ผมจะพยา—”
“นี่เป็นบ้านของเรา ป๋ามันงี่เง่า หนูจ๋าตีป๋าเลย นิสัยไม่ดี น้อยใจไม่เป็นเรื่อง” เขาถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นๆ “หนูจ๋าน่ะเหรอจะไม่อยากแต่งงานกับป๋า ป๋าทั้งหล่อทั้งดีไม่มีที่จะติ หนูจ๋าจะปล่อยป๋าไปได้ยังไง ปล่อยไปไม่ได้หรอก”
“ครับ...”
“ป๋าขอโทษ เรา...ไม่น่าเลย ป๋าจะทำยังไงดี นี่มันวันแต่งงานของเรา”
“ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ ไม่ต้องขอโทษอะไร” เขารู้สึกน้อยใจเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะทำให้มันมากระทบกระทั่งความสัมพันธ์ มันเป็นเรื่องปกติของการย้ายไปสู่ที่ใหม่ มีอะไรที่เราต้องเรียนรู้อีกมากมาย “ไม่ต้องขอโทษเลย...”
“นี่เป็นบ้านของเรานะ เป็นบ้านของป๋ากับหนูจ๋า” มือของคุณชานยอลลูบหัวของเขาเบาๆ “หนูคิดอะไรอยู่...บอกป๋าได้ไหม ?”
“ผม...” เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปไหม แต่เขาก็รู้สึกว่าถึงตัวเองจะไม่พูด คุณชานยอลก็คงรู้ถึงได้ถามออกมาแบบนั้น “ผมน้อยใจนิดหน่อยครับ จากสิบแล้วผมรู้สึกประมาณหนึ่ง...”
“หนึ่ง !” คุณชานยอลหน้าตื่น “ไม่ได้นะคะ ต้องศูนย์สิ !”
“ขอเวลาสักสิบนาทีนะครับ เดี๋ยวก็เหลือศูนย์” เขาไม่ได้คิดมากจริงๆ “จำตอนที่เราทะเลาะกันเรื่องที่คุณมาเฝ้าผมถ่ายละครตอนกลางคืนได้ไหมครับ ?”
“จำได้ค่ะ...”
“ตอนนั้นน้อยใจไหมครับ ที่ผมว่าว่าจะมาทำไม”
“ก็น้อยใจค่ะ เพราะว่าห่วงหนูแต่หนูไม่เห็นว่าป๋าห่วงเลย แต่ป๋าก็เข้าใจนะว่าหนูไม่อยากให้ป๋าขับรถตอนกลางคืน แต่ก็รักหนู...”
“ผมก็เข้าใจเหมือนกันว่าผมพูดไม่ดี แต่ผมก็เข้าใจอีกว่าผมยังต้องพยายามอีกมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องลำบาก ผมไม่ได้คิดว่ามันยากอะไร” เขากอดตอบคุณชานยอล พิงหัวกับไหล่ของผู้ชายคนนี้ “คุณก็แค่ต้องบอกกันนะครับ”
“ค่ะ...ป๋าอายนะที่ต้องพูดแบบนี้แต่...ป๋าก็จะพยายามให้มากกว่านี้เพื่อหนูจ๋านะคะ จะพยายามเป็นพี่คนโตให้ได้”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมรักที่คุณเป็นแบบนี้นะ” เขาไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น “ก็แค่บางเรื่องที่รู้สึกว่าไม่ชอบ แต่ว่าคนเรามันก็ต้องมีเรื่องที่ไม่ชอบกันบ้าง ถ้าคุณจะผิดที่ติดนิสัยการเป็นลูกคนสุดท้อง ผมก็คงติดนิสัยพูดจาไม่เห็นใจใครเพราะว่าเป็นลูกคนเดียว ไม่มีคนคุยด้วยเลย”
“หนูจ๋า...”
“แบบนั้นก็จะเป็น...รสชาติของชีวิตคู่ ?”
“ค่ะ รสชาติของชีวิตคู่” คุณชานยอลยิ้มกว้าง ก่อนจะขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ เช่นเดียวกับเขาที่ยื่นหน้าเข้าไปหา ริมฝีปากแตะกันอย่างหนักแน่น ถึงจะแคไม่กี่วินาทีก็ตาม “ถ้าบอกว่าไม่อยากแต่งก็จะบังคับ !”
“ผมไม่ยอมหรอก”
“ไม่ยอมหรอ ?!” คุณชานยอลรัดเขาจนแน่น ก่อนจะอุ้มเขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ให้เขาได้ร้องโวยวายเพราะตกใจ ก่อนจะว่าคุณชานยอลต่อเพราะไม่อยากให้อุ้มกัน
“คุณชานยอล เดี๋ยวปวดหลัง !”
“ป๋าไหว ใจป๋ามันอายุยี่สิบเองค่ะ !”
“จะมาพูดอะไรตอนนี้ เดี๋ยวผิดท่าแล้วมันจะยุ่ง คุณชานยอล เดี๋ยวเอวเคล็ด !”

งานวันนี้ไม่ใช่งานที่มีพิธีรีตองอะไรเลย หลังจากที่คุณชานยอลอุ้มเขามาวางไว้ตรงหน้าห้องครัวก็โดนเขาดุอีกยกใหญ่ ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะน้ำหนักน้อยๆ มาอุ้มกันแบบนี้ถ้าเกิดปัญหาสุภาพขึ้นมาแล้วจะยุ่ง ไม่ต้องฝืนทำอะไรเกินตัวก็ได้ ใจอายุยี่สิบแต่ถ้าสังขารไม่ให้ก็ช่วยยอมรับหน่อย

“ป๋าไม่ได้แก่ขนาดนั้นนะ”
“ขนาดนั้นแหละครับ” มือของเขาถูกมือของคุณชานยอลกุมเอาไว้ “ผม...เราจะเข้าไปเลยไหมครับ จะบ่ายโมงแล้ว”
“หนูพร้อมรึยังคะ ?”
“แล้วคุณ....”
“ป๋าพร้อมตั้งแต่เห็นหน้าหนูจ๋าแล้วค่ะ” รอยยิ้มของคนแก่ทำเอาเขาอดไม่ได้ ต้องฟาดมือไปที่ต้นแขนเบาๆ “รู้สึกว่า...ต้องเป็นหนูจ๋า...”
“ไม่ใช่เวลานะครับ ผมกำลังตื่นเต้น....”
“ป๋าหล่อมากกว่าปกติล่ะสิวันนี้” คุณชานยอลทำหน้าทำทางราวกับมั่นใจมากว่าตัวเองหล่อที่สุด “หนูดูผมหงอกให้ป๋าแล้วใช่ไหม ไม่มีแล้วนะ ?”
“ดูแล้วครับ ไม่มีสักเส้น” แบคฮยอนเช็คเองกับตากับมือเมื่อเช้า ผมทุกเส้นของคุณชานยอลเป็นสีดำสนิท หนวดก็โกนให้จนเกลี้ยง “เรา...”

มือของเขาทั้งสองข้างถูกกุมอยู่ในมือของคุณชานยอล สายตาของเราประสานด้วยความรู้สึกที่อยู่ในใจ

“ป๋ารู้ว่าหนูจ๋าตื่นเต้น ป๋าเองก็เหมือนกัน”
“...”
“หนูจ๋าเองเคยบอกว่าชาตินี้จะไม่มีวันชอบป๋า ป๋าเองก็เคยหมดความเชื่อใจในตัวหนูจ๋าเหมือนกัน ถึงเราจะคบกันมาแค่หนึ่งปี แต่ป๋าเชื่อว่าหนูจ๋ารู้ว่าความรู้สึกของเรามันมีมากกว่านั้น ที่จริงแล้ว...ป๋ารู้สึกขอบคุณหนูจริงๆนะ”
“ต้องใช้คำว่าขอบใจ...”
“ไม่ค่ะ ป๋ารู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่หนูไม่ยอมแพ้ในตัวป๋า ที่หนูพยายามทำให้ป๋ากลับไปอยู่ในชีวิตของหนู ทุกสิ่งที่หนูจ๋าทำให้ป๋าทั้งหมด มันทำให้ป๋าเชื่อว่าตัวเองได้เจอกับรักที่แท้จริงแล้ว”
“คุณชานยอล...”
“ถ้าเราเดินเข้าไปในห้องนั้น ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้วนะ” มือของคุณชานยอลกระชับแน่นขึ้น “เราจะเป็นคนคนเดียวกัน และหนูจ๋าก็จะมีป๋าไปตลอดชีวิต อยู่ตรงนี้เคียงข้างหนู...”
“พูดอย่างที่อยากพูดเถอะครับ ผมจะใจดีหนึ่งนาที” เขารู้ว่าคำพูดฟังดูสวยงามไม่ใช่แนวทางของผู้ชายคนนี้เลย
“หนูจ๋าจะเป็นเมียป๋า...”
“ครับ”
“ป๋า...จะได้หนูจ๋าเป็นเมีย” คุณชานยอลมีสีหน้าแปลกๆ “ป๋า...จะร้องไห้...”
“โถ่...คุณชานยอล”
“ป๋าดีใจมากเลยค่ะ มันตื้นตันอยู่ในอก หัวใจป๋าเต้นแรงมาก”
“คุณชานยอลสูดลมหายใจเข้า” เขาพยายามควบคุมอาการตื่นเต้นของคุณชานยอล ทั้งที่ใจของตัวเองก็เต้นแรงไม่ต่างกัน “ผ่อนลมหายใจออก...”
“ป๋าต้องหัวใจวายแน่ๆ...”
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับ...” เขาจงใจกระซิบเบาๆ กับคนแก่ที่ก้มหน้าลงมาชิดกับเขาทันทีเพราะกลัวไม่ได้ยิน “ยังไม่ได้ผม...เป็นเมียเลยนะ”
“หนูจ๋า...ยั่วป๋าแล้วแบบนี้”
“เอาไว้ได้ผมเป็นเมียก่อน แล้วถ้าจะหัวใจวาย...เชื่อผมเถอะว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อแน่ๆ เอาให้...ชาตินี้ก็จะไม่มีวันไปจากผมเลยเป็นไง ?”

พูดจาทะลึ่งแบบนี้ทีไรเขาเองก็เขินไม่น้อย แต่จะให้คุณชานยอลพูดอยู่คนเดียวโดยไม่หือไม่อืออะไร เอาแต่โกรธเหมือนเมื่อก่อนเขาก็ไม่อยากทำ ครั้งแรกที่พูดทะลึ่งกลับไปคุณชานยอลเงียบไปเกือบสิบวินาที พอตั้งสติได้ก็ถามเขาอีกรอบว่าหนูจ๋าพูดว่าอะไรนะคะ ป๋าเหมือนหูฝาด...

พอทวนให้ฟังอีกที คุณชานยอลก็หน้าแดงเหมือนมะเขือเทศ กลายเป็นว่าทุกครั้งที่เราพูดจาทะลึ่งตึงตังใส่กัน มันทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเลยเถิดอะไร ส่วนมากก็นัวเนียกันจนผมยุ่ง ซุกตรงนั้นจับตรงนี้ นานๆเล่นทีก็สนุกดีเหมือนกัน เพราะส่วนมากเรามักจะหวานใส่กันมากกว่า ซื้อดอกไม้ ซื้อขนม เลือกชุดให้ รอกันทำงาน นั่งกอดกัน ป้อนขนม

พอมีเรื่องแบบนี้...กระชุ่มกระชวยหัวใจดีเหมือนกัน

“ไป ไปแต่งงาน !”
“ฮะๆ คุณชานยอล คุณจะรีบไปไหนเล่า !”
“ป๋าอยากมีเมียจนตัวสั่นแล้ว เร็วเข้า !”
“คุณชานยอล !”

ห้องรับแขกของบ้านที่ถูกจัดให้เป็นที่รับรองพ่อแม่ของเราทั้งสองคน ญาติผู้พี่ของคุณชานยอลและครอบครัว เพื่อนของคุณชานยอล และเพื่อนๆของเขา รวมถึงผู้จัดการและเลขาที่แข่งกันร้องไห้ทั้งคู่ พอได้เห็นแล้วก็รู้สึกว่าในวันสำคัญแบบนี้ การที่มองไปทางไหนแล้วก็รู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ที่จริงใจ ไม่ว่าหันไปสบตาใครก็ยิ้มให้กันได้ทุกคนนั้น มันเป็นความสุขที่อิ่มเอิมไปทั้งหัวใจจริงๆ

ความจริงแล้วงานวันนี้ที่จัดขึ้นนั้น มันไม่ได้มีอะไรที่จะเป็นหลักประกันได้เลย ไม่มีการข้อกฎหมายในทางใดที่ผูกเราไว้เหมือนคู่แต่งงานคู่อื่น มีเพียงแต่หัวใจของเราสองคน แหวนสองวงที่หามาได้ด้วยความรัก และครอบครัวของเราทุกคนที่ร่วมรับรู้ว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนที่กำลังจะก้าวไปสู่บทเรียนแห่งชีวิตบทใหม่ที่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน

เนื่องด้วยเป็นงานในครอบครัว ไม่มีพิธีการใดๆทั้งนั้น มีแต่การพูดคุยและเสียงหัวเราะ มีฮายูลที่กำลังเห่อคุณอาอย่างเขาวิ่งเข้ามาทิ้งก้นลงบนตักเขาในขณะที่กำลังนั่งพับเพียบเตรียมแลกแหวน มีฮีจินที่ไปยืนกอดแขนเลขาคยองซูเพื่อซับน้ำตาเพราะดาราในดวงใจจะแต่งงาน มีคุณชานยูลที่แซวคุณชานยอลไม่เลิกสักที

“มึงเช็คหัวหงอกมึงยัง ถ่ายรูปมาเจอผมขาวกูไม่อีดิทให้นะเว้ย”
“ไม่มี มึงไม่ต้องมาพูดมาก หนูจ๋าดูให้กูอย่างดี...ใช่ไหมคะ ?”
“ครับ..” เขายิ้มรับ “ผมดูแล้ว”
“แล้วงูบนหัวอ่ะ มึงเอาออกไปยัง ?”
“กูไม่มีโว๊ย ไอ้พี่เวร มึงไปนั่งข้างนอกเลยไป !”
“ชานยอล อย่าพูดกับพี่แบบนั้น !” คนอายุสี่สิบสี่โดนแม่ดุเข้าให้ “ตบปากตัวเองเลยหนึ่งที”
“เสียดายว่ะอา พี่แบคฮยอนกำลังดังทะลุฟ้า โดนอาดึงลงมาซะได้”
“ไอ้ฮามิน...โอ๊ย พวกพี่เลี้ยงลูกกันยังไงเนี่ย แต่ละคน...ฮานึลให้กำลังใจอาหน่อยสิครับ บอกว่าหนูดีใจมากที่อาจะแต่งงานกับอาแบคฮยอน”
“หนูอยากไปกินบรูเล่กับอาแบค...”
“ผมไปด้วย อยากกินบรูเล่ !” ฮายูลส่งเสียงดังลั่นห้อง
“ให้อาแต่งงานก่อนนะ เดี๋ยวจะพาไปกิน” เขาส่งยิ้มหวานให้หลานๆ รวมถึงคนตรงหน้าที่หูเริ่มแดงขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

วันนี้พี่มินซอกรับเป็นพิธีกรดำเนินงานให้เขาร่วมกับพี่อี้ชิง พี่ทั้งสองคนบอกกับเขาว่าถึงจะเล็กแค่ไหนแต่ว่าต้องมีคนดำเนินงานนะ เขาก็เลยบอกให้ทำได้เลย ขอบคุณจริงๆที่ช่วยเหลือกัน

“ก่อนจะสวมแหวน อยากให้ทั้งสองคนพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อกันหน่อย...”
“หรือว่าจะเป็นเรื่องที่อยากบอก อะไรที่อยากจะพูด” พี่อี้ชิงเสริมคำพูดของพี่มินซอก “เริ่มจาก...แบคฮยอนเลย เด็กกว่าต้องพูดก่อน”
“เอ่อ...” เขาขยับตัวฮายูลที่นั่งอยู่บนตัก คิดถึงเรื่องที่จะพูดถึงคุณชานยอล “วินาทีแรกที่ผมเห็นหน้าคุณ คุณหล่อแล้วก็ดูดี...มากๆ”
“ฮิ้วววว !” จงอินกับเซฮุนช่วยเป็นลูกคู่จนเขาค้อนขวับ
“แต่พอคุณทำแบบนั้น ผมก็เลยคิดไม่ชอบคุณขึ้นมา ไม่ชอบมากๆ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินชื่อ แล้วพอคุณคุกคามชีวิตผม ผมก็เลย...เกลียดคุณ”
“หนูจ๋าเกลียดป๋าขนาดนั้นเลยหรอคะ ?”
“ก็ถ้าเป็นตอนนั้นก็...ก็ขอโทษนะครับ แต่ว่าก็เกลียดแหละ” คุณชานยอลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ส่วนทุกคนในห้องนั้นหัวเราะกันทุกคน “แต่คุณรู้ไหมว่าถ้าเป็นคุณแล้ว...ผมใจอ่อนทุกที ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”
“เอ่อ...ขออนุญาตทุกท่านนะคะ อิโด...เอ่อ คยองซูมีเรื่องจะพูดค่ะ” เจ๊จุนมยอนยกมือขึ้นกลางอากาศ เช่นเดียวกับเขาที่พยักหน้าให้คยองซูพูดได้
“ผมไม่เคยบอกบอสเรื่องนี้เลยครับ และคิดว่าคุณแบคฮยอนก็อาจจะลืม แต่ทุกครั้งที่คุณแบคฮยอนทำบอสเลือดออกหัว คุณแบคฮยอนจะตามไปที่โรงพยาบาล ไปจ่ายค่ารักษาแล้วก็รอให้ผมออกมาบอกว่าบอสโอเคดีแล้ว ถึงจะกลับไป...”
“จริงเหรอ หนูจ๋าทำอย่างนั้นเหรอคะ ?”
“ก็...ครับ” เขาทำมันจริงๆ “ผมไม่เคยอยากตีเลยนะครับ แต่ผมห้ามมือตัวเองไม่ได้”
“โถ่...ทำไมหนูไม่บอกป๋าล่ะคะ ตั้งแต่อัลบั้มการ์ด แจกันดอกไม้ ค่ารักษาพยาบาล หนูทำอะไรอีกคะ ?”
“ผม...รักคุณครับ คุณชานยอล”
“โอ๊ย ไม่ไหวแล้วโว้ย” จงอินเกินจะทนเช่นเดียวกับพี่ชายของคุณชานยอลที่ส่งเสียงกันใหญ่ พี่สะใภ้ก็หัวเราะ คุณพ่อกับคุณแม่เองก็เหมือนกัน มีแค่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาที่ตอนนี้เขินจนหน้าแดงไปหมด
“วันที่คุณเข้าใจผมผิดเรื่องของเซฮุน ตั้งแต่วันนั้นที่เราได้คุยกัน ผมก็เริ่มยอมรับคุณ เปิดใจรับคุณเข้ามาเรื่อยๆ จนผมก้าวผิด ทำพลาดไปอย่างไม่น่าอภัย ผมรู้ว่าวันนั้นคุณคงจะเสียใจจนให้อภัยผมไม่ได้ แต่ผมเองก็อยากจะขอบคุณคุณ ที่ให้โอกาสผมมาจนเราได้มีวันนี้...”
“หนูจ๋า...เราสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอคะ ?”
“...ก็ผม...ผมก็แค่อยากให้คุณรู้ว่าผมดีใจที่สุดที่มีคุณนะ” เขาพูดออกมาจากใจ “ได้ตื่นมายิ้มให้คุณ ทำกับข้าวให้กิน ได้ซักเสื้อผ้าที่คุณจะต้องใส่ทุกวัน ได้เห็นคุณตั้งใจช่วยผมถูห้อง...”
“อะไรนะ เราพูดว่าชานยอลถูห้อง...แบบเอาไม้ถูพื้นถูน่ะเหรอ ?” ครั้งนี้เป็นคุณชานฮา พี่ชายคนโตของบ้านที่ขัดเขาไว้
“ครับ คุณชานยอลช่วยผมรื้อผ้าปูที่นอนไปซักด้วย ผ้าปูรองนั่งที่โซฟาก็ช่วย”
“นี่ใช่ชานยอลรึเปล่า พี่ว่าเราต้องตรวจสอบกันหน่อย...”
“ทำไมวะ เราก็ต้องทำอะไรเพื่อแฟนเราดิ เห็นเหนื่อยแล้วทนได้เหรอ มันก็ต้องทนไม่ได้ไหม ?” คำพูดของคุณชานยอลทำให้เขายิ้ม “หนูจ๋า...ป๋าจะไม่มีวันทำให้หนูลำบาก”
“ครับ...”
“ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ป๋าจะไม่ยอมให้หนูต้องเหนื่อย...”
“ผมรู้ครับ ผมรู้ดี” เขารู้ดีที่สุดแล้ว “ผมถึงได้แต่คิดและขอพูดอีกครั้ง ว่าบนโลกใบนี้...ไม่มีใครจะโชคดีได้เท่าผมที่มีคุณเป็นคนรักอีกแล้ว”
“...”
“รักคุณชานยอล...มากๆนะครับ”

เขาได้รับเสียงปรบมือจากทุกคนภายในห้อง และนั่นเป็นสัญญาณว่ามันคงจะเป็นเขาบ้างที่จะได้รับฟังความในใจของผู้ชายคนนี้

“คือ...แม่อย่างจ้องดิ ผมก็เขินเป็นนะ” คุณชานยอลกำลังทำตัวเป็นลูกชายคนสุดท้องอย่างสมบูรณ์แบบ “พ่อด้วย ไม่ต้องมองผม”
“ไอ้ลูกชายนี่มัน...มีอะไรก็รีบพูดสิ หนูแบคฮยอนรอฟังอยู่น่ะ”
“เอ่อ...” คุณชานยอลมีท่าทีขัดเขิน “หนูจ๋า...สะดุดใจป๋าตั้งแต่แรกเห็น”
“...”
“ยอมรับว่าเข้าหาหนูได้ไม่ดีเลย แล้วก็ยอมรับว่าบางครั้ง...ใจป๋ามันท้อมากที่หนูไม่มีทีท่าว่าจะรักป๋าตอบบ้างเลยสักครั้ง แต่ทุกครั้งที่คิดแบบนั้น ทุกครั้งที่คิดว่าหนูจ๋าคงไม่มีวันรักป๋าหรอก วันนั้นป๋าก็จะได้เจอหนู ได้ตอบคำถามหนูที่ถามว่ามาทำไม ได้คิดถึงข้อดีว่าอย่างน้อยถึงหนูจะไม่รัก แต่หนูก็ไม่ได้กีดกันป๋า ไม่ได้ไล่ป๋าไปไหน มันทำให้ป๋ารู้ว่าป๋ารักหนูจ๋า...มากเกินกว่าจะมานั่งท้อถอย มากกว่าจะมานั่งคิดว่าทำไม”
“...”
“เรื่องที่ผ่านมาแล้วป๋าจะไม่พูดถึงมัน อย่างเรื่องที่ป๋าเคยบอกหนูว่าตอนที่ป๋ามีแฟนคนแรกหนูจ๋ายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ แต่หนูเป็นคนแรกนะที่ป๋าได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วย ได้มีความคิดจริงจังว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคน หนูจ๋าทำให้ป๋ารู้ว่าความดีใจในวันที่รู้ว่าหนูรักป๋า มันยังไม่มากเท่าการที่ได้ใช้ชีวิตทุกวันไปกับหนู ได้มีหนูเข้ามาเป็นครึ่งนึงในชีวิตของป๋า”
“...”
“ป๋ารักหนูจ๋า รักมากจนรักใครไม่ได้อีกแล้ว”
“...”
“อยู่ทอดไข่ดาวสองฟองให้ป๋ากินตอนเช้าตลอดไปเลยนะ”
“ครับ ผมสัญญาว่าไข่ดาวสองฟองที่คุณกินตอนเช้าทุกวันจะเป็นฝีมือของผม” เขาหยุดยิ้มไม่ได้กับทุกสิ่งที่ได้ยิน “คุณเองก็...อยู่กินไข่ดาวฝีมือผมไปนานๆนะครับ”

เราต่างคนต่างมีแหวนเก็บไว้ในสูทด้านในของตัวเอง คุณชานยอลหลิ่วตาให้เขาที่ทำหน้าทำตากลับไปเหมือนกัน ก่อนที่จะได้เห็นคุณชานยอลหยิบแหวนทองคำขาวที่มีเพชรเม็ดเล็กๆฝังอยู่รอบตัววง เช่นเดียวกับเขาที่หยิบแหวนของตัวเองออกมาเหมือนกัน เพราะว่าคุณชานยอลจะเป็นคนสวมให้เขาก่อน จังหวะที่คุณชานยอลจับมือเขาไปสวมแหวนให้ ฮายูลเองก็ยื่นมือตามมาเหมือนกัน พอตัวเองไม่ได้ก็ทำหน้าเหมือนจะถามว่าทำไม เขาเลยบอกว่าแหวนของหนูอยู่ข้างนอก เอาไว้อาจะเอามาสวมให้นะ ก่อนที่เขาจะจับมือข้างซ้ายของคุณชานยอลขึ้นมา สวมแหวนที่เขาตั้งใจเลือกมาอย่างดีไปที่นิ้วนางข้างนั้น พร้อมกับหลับตาลงเพื่อรับสัมผัสเบาๆที่ริมฝีปากจากคุณชานยอล

เป็นอีกก้าวในชีวิต ที่ไม่ได้ก้าวไปคนเดียว...

แต่มีคนที่รักมากที่สุดในชีวิต...จับมือก้าวไปด้วยกัน









❥ —








เขามองเห็นผู้ชายวัยสี่สิบสี่ปีที่หน้าแดงไปถึงคอ ใบหูทั้งสองข้างเองก็เป็นสีแดงไม่แพ้กัน ทั้งที่พยามเก็บซ่อนสีหน้าและอาการอย่างสุดฤทธิ์ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะสวนทาง แสดงออกมาได้อย่างตรงไปตรงมาจริงๆ

หลังจากรับประทานอาหารร่วมกันในช่วงเย็น มีปาร์ตี้เล็กๆเพื่อพูดคุยกันในยามค่ำคืน หลังจากส่งพี่ส่งเพื่อนทุกคนที่มาร่วมงานในวันนี้ ส่งคุณพ่อคุณแม่ของเขาที่วันนี้นอนค้างที่นี่ และคุณพ่อคุณแม่ของคุณชานยอลที่อวยพรพวกเราสองคนครั้งแล้วครั้งเล่าเข้านอน ก็ถึงตาคุณชานยอลกับเขาที่จะต้องมาจัดการธุระของตัวเองในห้องของเราสองคน

“จะอาบน้ำก่อนหรือจะ—”
“หนูจ๋าอาบก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวป๋า...เอ่อ...เอ่อ...ดูทีวี”
“จะดูข่าวเหรอครับ น่าจะจบไปแล้วนี่ ตอนนี้ฉายละครนะครับ” เขารู้แหละว่าเขิน แต่ก็ขอแกล้งหน่อย ตาแก่น่ารักน้อยซะที่ไหน
“มันมีช่องข่าวยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่...”
“ช่องไหนครับ ไหนผมขอดูหน่อย”
“หนูจ๋าไปอาบน้ำเถอะค่ะ ถือว่าป๋าขอ” คุณชานยอลเหมือนคนที่ไม่ไหวแล้ว ถ้าแกล้งอีกนิดนึงจะเป็นลมแล้ว “นะคะ...ไปอาบน้ำเถอะ”
“ฮะๆ โอเค ผมไปแล้ว” เขาหัวเราะก่อนจะยิ้มกว้างให้ ตัดสินใจเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายหลังผ่านความเหนื่อยล้าที่แสนจะมีความสุขของวันนี้

แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายบอกเขา ว่าตั้งแต่วันนี้ไปทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความสัมพันธ์ที่ก้าวไปอีกขั้น ความรู้สึกของความผูกพันที่มากขึ้นกว่าเดิม

นึกถึงวันที่แสดงออกว่าเกลียดเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าแพ้หัวใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เพราะวันนี้เขารักผู้ชายที่ชื่อว่าปาร์คชานยอลจนหมดหัวใจ รักในแบบที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะรักได้มากขนาดนี้

หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ พอได้ยินเสียงข่าวในทีวีดังอยู่ก็ยิ้มออกมากับตัวเอง เดินเข้าไปแต่งตัวก่อนแล้วค่อยออกมาตามก็แล้วกัน

“คุณชานยอล...”
“คะ ! ”
“คุณจะตะโกนทำไม ผมจะมาบอกว่าอาบน้ำเสร็จแล้ว มาอาบได้แล้วครับ จะได้นอน”
“นอน...ใช่ค่ะ เราต้องนอน” คนแก่สติหลุด ยังไม่สามารถเอากลับมาได้ “เอ่อ...งั้นป๋า...”
“เดี๋ยวผมปิดทีวีให้ เอาขนมมาครับ เดี๋ยวเอาไปทิ้งให้” เขายื่นมือขอซองขนมที่คนแก่ซ่อนเอาไว้ข้างหลัง “ไม่อยากให้เอาไปทิ้งในห้องน้ำ”
“หนูจ๋า นี่ธัญพืชอบกรอบนะ ป๋าก็แค่ตื่นเต้น...”
“ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ ไปอาบเถอะ เหนียวตัวมาทั้งวันแล้ว”

คุณชานยอลส่งซองขนมธัญพืชอบกรอบเล็กๆให้เขา ก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำตามคำสั่ง เขาเองก็ตะโกนบอกว่าให้เอาสูทแขวนไว้ ส่วนเสื้อเชิ้ตใส่ตะกร้าได้เลย เดี๋ยวจะเอาไปซักให้

เขาเดินไปปิดทีวี จัดหมอนบนโซฟาให้เรียบร้อย ตัดสินใจเอาซองขนมลงไปทิ้งข้างล่าง ถังขยะในห้องนอนเขาไม่อยากให้ทิ้งของกินหรือของที่ทำให้มีกลิ่นลงไป ถึงจะเป็นธัญพืชอบกรอบแห้งๆ แต่ก็ไม่อยากทิ้งเอาไว้บนนี้

สงสัยคงจะแอบเอามาซ่อนไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ตอนที่เดินขึ้นด้วยกันไม่เห็นว่าจะถือขนมอะไรขึ้นมาด้วย ไม่รู้ว่าจะซ่อนทำไม เอามาวางไว้ดีๆก็ได้ แค่ไม่กินบ่อยๆ ไม่กินตลอดเวลาเขาก็ไม่ว่าแล้ว

“อ้าว...ยังมาเดินอยู่เหรอเรา” เขาเดินสวนกับพี่ฮายอนที่เดินลงมาตอนที่เขากำลังจะขึ้นห้อง “ลงไปทำอะไร ?”
“ลงไปทิ้งขยะครับ” เขายิ้มให้พี่สะใภ้ “กำลังจะไปนอนแล้วครับ”
“อ๋อจ้ะ ไปนอนเถอะ” เขาได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา “ยังไงก็ยินดีต้อนรับอย่างเป็นทางการนะ ชานยูลบอกพี่ว่าไม่ได้นอนหรอกวันนี้...แต่ห้องนอนบ้านเราเก็บเสียง...”
“พี่ฮายอน อย่าแซวผม !”
“พี่เอ็นดูเราหรอก ตัวจริงไม่เหมือนในละครเลย อันนั้นพี่กลัว” เขาเข้าใจดีว่ามันคงน่ากลัว ไอ้จงอินบอกว่าเจอโรคจิตน่ะยิ่งกว่าเจอผี “ไปนอนเถอะ เดี๋ยวชานยอลร้องไห้ หนูจ๋าหายไป”
“ครับ” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ คุณชานยอลไม่อยู่ตรงนี้ยังโดนแซวเหมือนกัน บ้านนี้แซวเก่งเหมือนที่คุณชานยอลบอกไว้จริงๆ

เขากลับเข้าไปในห้องนอนของเรา ตอนแรกคิดจะนั่งที่โซฟาแต่สุดท้ายก็เดินไปนั่งที่ปลายเตียง อ่านข้อความที่อยู่ในโทรศัพท์จากเพื่อนที่ยังไม่เลิกพูดถึงเรื่องนี้ ผลัดกันส่งอิโมจิจุดพลุ หน้าตามีเลศนัย จนสุดท้ายอ่านแล้วก็ปิดไปเพราะขี้เกียจจะโต้ตอบ

“อ้าว เสร็จแล้วเหรอครับ ?” เขาหันไปเห็นคุณชานยอลเดินออกมาจากห้องน้ำ “นึกว่าจะนานกว่านี้”
“ค่ะ...ป๋า...ไปแต่งตัวก่อนนะ” คุณชานยอลแทบจะเดินเบียดกำแพงเข้าห้องแต่งตัว
“ให้ช่วยเลือกไหมครับ ?”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ป๋าจะใส่สีเทาเหมือนหนูจ๋าเลยค่ะ จะรีบแต่งนะคะ”

เขานั่งยิ้มอยู่แบบนั้น คิดว่าตัวเองเขินแล้วก็ยังไม่เท่าคนที่ตอนนี้แต่งตัวอยู่ เขารู้ว่าคุณชานยอลนั้นช่ำชองเรื่องแบบนี้มากแค่ไหน เวลาจูบเขาแล้วไหลไปทำอย่างอื่นได้เหมือนน้ำไหลลงจากที่สูง ทำเขาเคลิ้มจนบางทีไปรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนเตียงแล้วก็มี แต่ถึงอย่างนั้นก็หยุดตัวเองเก่งเหมือนกัน ควบคุมความต้องการของตัวเองได้เก่งสมกับที่ใช้ชีวิตมาสี่สิบสี่ปีจริงๆ

“หนูจ๋า...”
“ครับ ?” เขายื่นมือไปหาคุณชานยอล “มานั่งข้างผมมา เขินอะไรขนาดนี้ครับ”
“ก็ป๋า...แบบว่าตื่นเต้น” คุณชานยอลตื่นเต้นของจริง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย “มันแบบ...”
“คุณต้องหยุดคิดก่อนครับ ที่คิดอยู่ตอนนี้ช่วยหยุดคิดก่อน” เขาประคองใบหน้าของคุณชานยอลเอาไว้ สายตาสบประสานกัน “มองหน้าผม ผมอยู่ตรงหน้าคุณตรงนี้ มองเห็นผมไหมครับ ?”
“เห็นค่ะ...”
“แล้วถ้าเป็นแบบนี้...” เขายอมเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ด้วยการดึงคุณชานยอลเข้ามาหา “คุณชานยอล...”

ริมฝีปากของเขากับคุณชานยอลแตะกัน ก่อนที่มันจะแนบแน่นและหนักหน่วงมากขึ้นจนทำให้หลังของเขาแนบลงกับผืนเตียง ทาบทับตามลงมาด้วยร่างของผู้ชายที่บดบังทุกอย่างจนทำให้เขาเห็นผู้ชายคนนี้เพียงแค่คนเดียว

เขารู้สึกได้ว่ากระดุมเสื้อนอนกำลังถูดริดออกไปเรื่อยๆจนสุดท้ายก็เหลือเพียงช่วงบนด้านหน้าที่เปลือยเปล่า สัมผัสอุ่นจากริมฝีปากที่ทำให้ร้อนวาบนั้นแผ่กระจายไปทั่วลำตัว ได้แต่ผ่อนลมหายใจอย่างหนักเพื่อควบคุมอารมณ์ไม่ให้พุ่งขึ้นสูงไปกว่านี้ แต่ทุกครั้งที่คุณชานยอลหยัดกายขึ้นมาจูบกันอย่างดูดดื่ม สมองของเขาก็ลืมไปเสียหมดว่ากำลังทำอะไร มีแต่หัวใจที่บอกว่าเขากำลังมีความสุขมากแค่ไหน

ที่ได้จูบผู้ชายคนนี่ นอนอยู่ภายใต้ความอบอุ่นของผู้ชายคนนี้

จูบของคุณชานยอลนั้นทำให้เขาอบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า สัมผัสของลิ้นอุ่นนุ่มที่เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขา ไล้ไปทั่วทุกบริเวณในริมฝีปาก

“หนูจ๋า...” มือของคุณชานยอลเลื่อนลงต่ำ ไล่อยู่บริเวณของกางเกงนอนของเขา สายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความต้องการมองเข้ามาในตาของเขา “ป๋าขอ...”
“...ครับ” เขามั่นใจในสิ่งตอบไป “ผมให้...คุณ”

คำตอบของเขาทำให้ร่างที่อยู่ด้านบนถัดตัวขึ้น ก่อนจะถอดเสื้อนอนของตัวเองออกแล้วโยนมันทิ้งอย่างไม่ใส่ใจนัก มือทั้งสองข้างไล้แขนเขาตั้งแต่ช่วงปลายจนถึงต้น ผลักไหล่เขาให้ชิดลงกับเตียง โน้มใบหน้าเข้ามาจูบเขา สอดมือเข้าไปด้านหลังให้เขาต้องแอ่นหลังขึ้นเพื่อให้มือนั้นผ่านไปได้ ไล้ลงมาจนถึงกางเกงนอนของเขาอีกครั้ง ก่อนจะดึงมันออกจากตัวช้าๆ ราวกับต้องการเวลาที่จะทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์

เขาตื่นเต้นจนใจแทบออกมาอยู่ด้านนอก เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะหมดสิ้นซึ่งสติสัมปชัญญะที่มี เพราะร่างกายมีเพียงเสื้อนอนตัวเดียวที่ไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย ริมฝีปากเผยอครางทุกครั้งที่ถูกสัมผัสและเงียบลงทุกครั้งที่ถูกปิดปากด้วยอวัยวะเดียวกัน กดศีรษะลงกับหมอนแน่นจนผมคงยุ่งเหยิงเพราะเขาขยับไม่หยุดทุกครั้งที่คุณชานยอลเคลื่อนไหว

มือสากไล่ไปบริเวณเอวของเขาซ้ำๆ ก่อนที่มันจะเลื่อนลงไปยังบริเวณสะโพกและส่วนหนึ่งของร่างกายที่ทั้งนิ่มและสู้มือของคนแก่คนนี้ได้ดีนัก เขาเขินอายแต่ยินดีที่จะให้คนคนนี้ได้สัมผัสเรือนร่างของเขา จับมันด้วยความกระหายในความรักที่ต่อเขา มือของคุณชานยอลเลื่อนลงมาทั้งสองข้างก่อนจะจับมันอย่างเต็มไม้เต็มมือและบีบมันเบาๆแต่ก็ทำให้เขาสะดุ้งเพราะไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนี้

“บ้าฉิบ...” เขามองคนที่รุ่มร่ามอยู่กับช่วงสะโพกของเขาสบถออกมาก่อนจะยันตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว “แม่งเอ๊ย !”

เสียงทุบกำแพงห้องดังปั่กทำให้เขาตกใจ ยิ่งได้เห็นคุณชานยอลเดินหายไปในห้องน้ำยิ่งทำให้เขาขวัญเสีย ได้แต่รีบดึงกางเกงที่กองอยู่ปลายเท้าขึ้นมาใส่ ก้าวลงจากเตียงเดินตามเข้าไปในห้องน้ำ ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้

หรือว่าไม่อยากทำ...แบบนั้นกับเขา

“คุณชานยอล...”
“หนูจ๋าอย่าเข้ามานะ !”
“ทำไม...” เขาชะงักเท้าของตัวเองอยู่หน้าห้องน้ำ “คุณชานยอล...”
“กลับไปที่เตียง”
“ไม่เอา คุณเป็นอะไร...”
“ป๋าบอกให้กลับไปที่—”
“ผมไม่ไป ผมจะ...จะร้องไห้” เขาไม่ยอมเด็ดขาด “คุณพูดมานะว่าเป็นอะไร ทำแบบนี้ผมกลัวนะ”
“ทำไมไม่ฟัง...”
“คุณชานยอล !”

เสียงของเขาทำให้ผู้ชายในกางเกงนอนสีเทาที่ยืนอยู่ในห้องน้ำหันหน้ามาเขาด้วยสภาพที่กำลังเอามือที่เปรอะไปด้วยเลือดเช็ดที่จมูกไปมา พอเช็ดแล้วมันก็ไหลลงมาใหม่จนต้องเช็ดอีกครั้ง ทำให้เลือดเปื้อนไปทั่วมือ

คุณชานยอล...เลือดกำเดาไหล

“ฮะๆ...”
“หนูจะหัวเราะป๋าทำไม นี่มันไม่ตลกนะคะ !”
“เดี๋ยวผมหยิบผ้าให้” เขารีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนเล็กในตู้ ทั้งๆที่ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ “มาครับ เดี๋ยวเช็ดให้”
“ไม่ต้องๆ”
“อย่าดื้อหน่า มาครับ ไม่ต้องอายผม” เขาเช็ดเลือดที่อยู่ไหลออกมาให้ บอกให้คุณชานยอลถือผ้าไว้ ก่อนจะพาเดินมาล้างมือที่อ่าง ช่วยถูเลือดออกจากมือให้
“พูดจริงๆเลยนะ ขายหน้ามาก...”
“คุณคงคิดอะไรทะลึ่งๆอีกล่ะสิ ร่างกายเลยระบายความร้อน” เขาหัวเราะคนที่ทำหน้าบึ้งไม่หยุด
“ป๋าไม่ได้คิดเรื่องทะลึ่ง ป๋าทำอยู่”
“เดี๋ยวเถอะ” เขาแกล้งถูมือคุณชานยอลแรงๆ “ได้จับก้นผมแล้วถึงกับเสียเลือด น่าสนใจนะ”
“ไม่หยุดไหลด้วยเนี่ย เชี่ยเอ๊ย...”
“ผมรู้ว่าโมโห แต่อย่าสบถสิครับ ใจเย็นๆ”
“เย็นยังไงคะ จะได้หนูจ๋าเป็นเมียอยู่แล้ว อีกแค่นิด—”
“คุณชานยอล เดี๋ยวจะได้เลือดออกหัว !”

เขาพาคุณชานยอลมานั่งที่โซฟา ให้แหงนหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้เลือดไหลลงมา เอาหมอนรองคอไว้ให้เพราะไม่อยากให้เมื่อย นั่งปลอบหัวใจลูกผู้ชายที่บอกว่านี่มันน่าอายเป็นบ้า เป็นเรื่องขายหน้าในชีวิต

“ผมไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่...”
“แต่ ?”
“ผมเกือบจะเสียตัวครั้งแรกในชีวิต แต่คุณสามี...ดันเลือดกำเดาไหลเพราะความฝันที่จะได้จับก้นผมเป็นจริงแล้ว สงสารตัวเองจัง...”
“หนูจ๋า พูดออกมาได้ สงสารป๋านี่ !”

เขานั่งอยู่กับคุณชานยอลสักพักก็โดนสั่งให้ไปนอน ตอนแรกเขาอิดออดไม่อยากไปเพราะจะนั่งอยู่เป็นเพื่อน เป็นห่วงเรื่องเลือดกำเดาที่ไหลออกมาด้วย แต่คุณชานยอลก็ได้แต่บอกให้เขาไปนอน พอเขาไม่ไปก็ทำหน้าเหมือนจะโกรธ เลยต้องยอมไปนอนก่อน กดจูบให้กำลังใจที่หน้าผากไปหนึ่งที บอกว่ามีอะไรให้เรียกได้เลย

อาจเป็นเพราะความเหนื่อยสะสมของการต้องตื่นแต่เช้าทำให้เขาใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็หลับไปเสียสนิท

อย่างน้อยเขาก็คิดว่าเขาหลับ...

จนเขารู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามากอด ลูบไล้มือไปทั่วตัวของเขาจนต้องขยับหนี แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนคนทำยิ่งได้ใจ โอบรัดกันแน่นขึ้นจนสุดท้ายต้องยอมแพ้ ยอมตื่นขึ้นมามองฝ่าความมืดในห้องว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“ไม่นอนรึไงคุณ...”
“ป๋าขอแก้ตัวได้ไหมคะ...”
“วันอื่นได้ไหมครับ ผมง่วงแล้ว”
“แต่คืนวันแต่งงานมีคืนเดียวนะคะ ป๋าอยากให้หนูเป็นเมียป๋าวันนี้” คุณชานยอลจูบแก้มเขา ลากไปถึงใบหูข้างขวา “หนูจ๋า...”
“ผมง่ว—โอ๊ย !” เขาสะดุ้งเพราะเจ็บจี๊ดที่บริเวณลำคออย่างรุนแรง “คุณกัดผมทำไม !”
“ตื่นยัง ?”
“บ้าจริง...” เลือดคงซิบแน่ๆ ไม่ต้องหวังเลย เจ็บขนาดนี้ “ผมโกรธนะ”
“โกรธที่ทำให้ตื่นหรือที่กัดคะ ?”
“กัดครับ” เขายันตัวขึ้น ผงกหัวมองตาแก่ที่จ้องเขาตาใส “เจ็บ...”
“เดี๋ยวเจ็บที่อื่น....ก็ลืมเองแหละค่ะ”
“จริงเปล่าครับ ?” การโดนฝังเขี้ยวลงคอทำเอาเขาตื่นเต็มตาแล้ว และอย่างที่คูรชานยอลพูด คืนที่เราแต่งงานกันมีแค่คืนเดียวในชีวิต “ไหน...ทำให้เจ็บหน่อยสิ”
“...”
“เอาให้ลืม...ว่าเจ็บไปเลย”

คุณชานยอลเลือกที่จะดึงเสื้อเขาออกแทนที่จะแกะกระดุมด้านหน้า และไม่ได้รอช้าที่จะรั้งกางเกงนอนของเขาออกอีกครั้งในค่ำคืนนี้ ยอมรับว่าท่ามกลางความมืดและสัมผัสของร่างกายใต้ผ้าห่มนั้นน่าตื่นเต้นกว่าการอยู่กลางแสงไฟเป็นไหนๆ

มือของเขาไล้อย่างหนักแน่นไปบนหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายของคนที่กำลังใช้ลิ้นตวัดไปทั้งด้านซ้ายและด้านขวาบริเวณหน้าอกของเขา รวมถึงการที่มือใหญ่ทั้งสองข้างบีบเค้นสะโพกอย่างหนักราวกับจะให้ติดมือของตัวเองออกมาด้วย เขาได้แต่หอบหายใจเพราะอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูง ปรือตามองคนที่สาละวนอยู่กับการเล้าโลมเขาในวิธีการต่างๆ พอรู้ตัวว่าเขามองอยู่ก็ขยับตัวขึ้นมาป้อนจูบให้

ยิ่งเขาบดเบียดริมฝีปากเข้าหามากเท่าไหร่ ร่างเปลือยเปล่าของเราก็แนบสนิทมากขึ้นเท่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงร่างกายอุ่นที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน รู้สึกถึงมือที่ไล้ลงไปเบื้องล่าง ผ่านช่วงสะโพกด้านหลังไปยังต้นขาก่อนจะบังคับด้วยความนุ่มนวลให้เขากางมันออก

อาการขัดเขินเกิดขึ้นกับเขาที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ถึงจะมีแฟนมาแต่อย่างมากเขาก็ทำเพียงจูบ แต่ครั้งนี้เขากำลังจะไปถึงขั้นสูงสุดของการสัมผัสทางกาย แต่ก็รู้ดีว่าเขาพาตัวเองลงไปจากห้วงอารมณ์นี้ไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้จึงมีแต่การเชื่อฟังคำสั่งของผู้ชายผู้ควบคุมทุกสิ่งในตอนนี้

แต่มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นบ้า เมื่อคุณชานยอลจูบลงไปในบริเวณที่ไม่ควรจะทำเลยสักนิด อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยมีภาพว่าจะได้มานอนอ้าขาให้ใครดูก็แล้วกัน

“หนูจ๋า...น่ารักจัง”
“ทะลึ่ง...”
“หนูจ๋าน้อยของป๋า”
“คุณชานยอล ผมจะถีบคุณ” เขามองคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาข้างซ้ายและข้างขวาของเขา “คุณจะ—อา...”

เขาดิ้นพล่านเมื่อได้สัมผัสสิ่งที่ไม่เคย มือจิกเกร็ง ดวงตาปิดไม่สนิทเพราะต้านความรู้สึกไม่ไหว เขากัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ร้องด้วยเสียงเครือจนมันฟังดูเหมือนคนที่แสนจะทรมาน ความอบอุ่นที่กลางลำตัวจากโพรงปากที่ดูเหมือนว่าจะทำมันได้อย่างถนัดถนี่จนเขาแทบขาดใจ เขาคิดว่าตัวเองทรมานแล้ว แต่มันไม่ใช่เลย เขาคิดผิดเมื่อได้รู้สึกถึงการรุกล้ำบริเวณด้านหลัง มันไม่ได้เจ็บแสบแต่เป็นความรู้สึกแปลกประหลาด

และมันแน่นขึ้นเรื่อยๆโดยที่เขาไม่แม้แต่จะมองเห็น แต่ก็เข้าใจว่ามันคงเป็นการเบิกทาง เป็นเรื่องที่คุณชานยอลให้ความช่วยเหลือเขาเพื่อที่จะไม่เจ็บปวดมากนัก

“ผม...อา...ไม่ไหว...คุณ...” เขาผลักคุณชานยอลออก แต่นั่นไม่ได้กระทบกระเทือนร่างกายของผู้ชายคนนี้ “ขอ...ร้อง...ผมไม่อยาก...”

เขาไม่อยากไปก่อน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

“ได้โปรด...ฮึก...คุณป๋า...”
“หนูจ๋า หนูเป็นอะไร...” คุณชานยอลเงยหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าเขาร้องไห้ ทุกอย่างทุกหยุดลงโดยทันใด มีเพียงสายตาและน้ำเสียงที่เป็นห่วง “ป๋าขอ—”
“ไม่ครับ ผมมีอารมณ์มากก็เลย...” เขาร้องไห้เพราะร่างกายทนไม่ไหว “ผม...”

เขาหลับตาลงเพราะสัมผัสบริเวณหางตาที่เข้ามาจูบซับน้ำตาของเขา ตามด้วยรสจูบแสนหวานที่ช่วยประคองเขาให้จมลงบนเตียงหนานุ่มหลังนี้อีกครั้ง ขาทั้งสองข้างถูกตวัดให้เกี่ยวไว้กับเอวของคนที่กำลังมองเขาด้วยสายตาหนักแน่น ร่างที่หนากว่าเขาเพราะกล้ามเนื้อโน้มตัวลงมาจนเกือบชิด ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่สอดแทรกเข้ามาภายในตัวเขา น้ำตาที่ไหลออกมาบริเวณหางตาถูกจูบซับไปอีกครั้ง พร้อมกับเสียงครางต่ำบริเวณใบหูที่ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง

เขาให้สัญญาณด้วยการสัมผัส ยามที่เขาจิกเล็บลงไปบนแผ่นหลังนั้นเป็นการบอกว่าให้หยุดก่อน ยามที่เขาลูบไล้เบาๆราวกับปลอบประโลมนั้นตรงกันข้าม จนสุดท้ายเขาก็รู้สึกแน่นจนแทบเรียกอึดอัดเมื่อรู้ว่าร่างกายของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

“เจ็บรึเปล่า...”
“ไม่เท่าไหร่ครับ แต่อย่าเพิ่ง...”
“อา...หนูจ๋า...” ลมหายใจร้อนรินรดต้นคอของเขา “ป๋าจะไม่ไหว...หนู...แน่นไปหมดเลย”

ร่างกายของเขากระตุกเกร็งอย่างรุนแรงเมื่อได้รู้ถึงครั้งแรกยามที่ความรักกระทำต่อร่างกายของเขาอย่างไม่ปราณี การถอนตัวออกไปที่ทำให้ย่ามใจ และการส่งตัวเข้ามาที่ทำให้ทรมานไปด้วยความสุขจนแทบขาดใจ มือทั้งสองข้างจับรั้งสะโพกของเขาเพื่อดันเข้าหา ริมฝีปากบดเบียดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เขาเผลอกัดลงไปในยามที่ความรักเข้ามาจนสุดใจ ร้องอย่างทรมานด้วยความสุขสมเมื่อกลั้นมันเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

ไม่ต่างกับคนที่คำรามในลำคอเพราะความสุข กระแทกตัวเข้ามาราวกลับอดกลั้นมันเอาไว้นานแสนนาน ทั้งความรัก ความปรารถนา ความต้องการที่จะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว

เขาเชิดหน้าขึ้นเมื่ออารมณ์ใกล้ถึงจุดสูงสุด แผ่นหลังที่แทบจะไม่ติดเตียงในตอนแรกถูกแอ่นขึ้นจนโค้ง ส่งเสียงร้องดังลั่นเพราะความหวาบหวามที่เข้ามาสุดลึก สัมผัสร้อนผ่าวเพราะลมหายใจและริมฝีปากบริเวณลำคอทำให้เขาห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะดึงทึ้งผู้ชายคนนี้อย่างลืมตัวที่สุด

เขาตาพร่างพรางเมื่อร่างกายกระตุกอย่างรุนแรง สมองไร้สิ่งอื่นใดนอกจากความรักของคนที่กระแทกกายเข้าหา ผลของการกระทำในครั้งนี้เปรอะเปื้อนร่างกายของอีกคน แต่ในเมื่อคนยังไปไม่ถึง มันไม่มีทางที่จะหยุดลง

“คุณป๋า...” เขากระซิบอย่างแผ่วเบาทั้งร่างกายที่ขยับไม่หยุด “...ของผม”
“เมียจ๋า...อ่า...หนูดีที่สุดเลย”

เขาถูกดึงให้เข้าสู่อ้อมกอดของคุณชานยอล ขาทั้งสองข้างตั้งฉากกับพื้นเตียง กระแทกกายขึ้นลงด้วยความทรมานในความสุข สัมผัสได้ถึงผิวหนังชื้นเหงื่อจากการออกแรงและห้วงอารมณ์ที่ดุเดือด เขาขบกัดลาดไหล่แน่น ส่งเสียงร้องเพื่อระบายอารมณ์ที่แน่นอยู่ในอกออกมา

ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองถูกโยนขึ้นในอากาศ ก่อนจะตกลงมาจากที่สูงเมื่อร่างกายของอีกฝ่ายรับเขาเอาไว้ กระแทกลงพื้นเมื่อความอบอุ่นนั้นแทรกเข้ามาในตัวอย่างรุนแรงพร้อมกับการปลดปล่อยความรักเข้ามาในตัวของเขา เสียงครางต่ำที่แหบพร่าเหมือนอยู่ในลำคอที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายอยู่ในอ้อมกอดนี้

หลับตาลงในอ้อมกอด บนร่างกายที่เป็นเหมือนที่พึ่งพิง หายใจอย่างหนักหน่วงและได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงไม่ต่างกัน

รัก...

เขารักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน







❥ — end
ขอบคุณทุกคนมากนะคะ
สำหรับการตอบรับที่แสนดีแบบนี้
ขอบคุณจริงๆค่ะ
สักวัน...หวังว่าคนที่กำลังอ่านประโยคนี้จะตกหลุมรักใครสักคน
คนที่เราจะรักเขา...หมดหัวใจ

(เซฮุน 55555555555555555)


Reply · Report Post