sodaisy95

🧸🎈💙 · @sodaisy95

25th Nov 2018 from TwitLonger

Don't you ? #HappyChanyeolDay


♥ ———————
: Don't you ?
: chanbaek
: HappyChanyeolDay
: #ดซชานแบค









“กู-ไม่-ได้-ชอบ !”

เขาตะโกนลั่น สีหน้ายุ่งเหยิงที่แสดงออกมาบ่งบอกได้ดีว่าอารมณ์กำลังขึ้นจนเกือบจะถึงขีดสุด ใบหูที่แดงเพราะความโกรธในใจเพราะเพื่อนที่เอาแต่ล้อเลียนกันไม่หยุด พูดเรื่องนี้ไม่เลิกจนความไม่คิดอะไรของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเคืองในใจ ไม่รู้ว่าพวกมันจะอะไรกันนักกันหนากับเรื่องของเขา

“หรออออ ~” แกนนำในเรื่องนี้อย่างโอเซฮุนทำเสียงที่ได้ยินแล้วเสียดหู “แล้วเมื่อวานไปส่งใครที่บ้าน ?”
“อาสาไปซื้อนมให้เพราะใครบ่นว่าปวดท้องว้า” จงอินเข้าต่อ จะไม่ยอมเว้นให้เพื่อนตั้งตัวได้ “แล้ววันก่อนรอใครทำเวร ?”
“แล้วเอาเสื้อกันหนาวให้ใครใส่เพราะเค้าลืมเอามา” คยองซูยิ้มมุมปาก “อะไรอีกนะ...ไปรดน้ำแปลงผักด้วยทั้งที่ไม่ใช่เวรตัวเอง ไปด้วยทุกวัน ไปอยู่ได้”
“พวกมึงเงียบไปเลย” เขาหงุดหงิดจริงๆ ล้อกันไม่เลิก ล้อจนเขาอดทนไม่ไหว “หน้าที่ของเพื่อน”
“โม้ว่ะ !”
“โม้อะไร กูเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ได้เหมือนพวกมึง”
“ไอ้ชานยอลขี้โม้ !” จงอินไม่ยอมเว้นช่องว่าง ยังไงวันนี้ก็ต้องทำให้มันยอมรับออกมาให้ได้
“ไม่ได้—”
“ชานยอลชอบแบคฮยอน ชานยอลชอบแบคฮยอน !”

เพื่อนทั้งสามคนช่วยกันตะโกน มีบางคนในห้องหันมามองแล้วยิ้มบ้าง แต่เขาก็ไม่ใส่ใจหรอก คนอื่นจะคิดอะไรแบบไหนเขาไม่สน แต่เพื่อนของเขาต้องไม่คิดแบบนี้

“กูไม่ได้ชอบแบคฮยอน !”
“ไม่—”
“เลิกล้อเถอะ...”

เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังเขาทำให้ทุกสิ่งที่คุยกันอยู่เงียบไป มีเพียงอาการของทุกคนที่เพ่งมองไปยังคนที่พูดให้เลิกล้อ รวมถึงเขาที่หันไปมองด้านหลังของตัวเองด้วย

พอหันไปก็เห็นคนที่บอกว่าไปส่งงานนั้นยืนอยู่ ส่งยิ้มเล็กๆให้ทุกคนรวมถึงการมองหน้าเขาด้วย

“แบคฮยอน...”
“ชานยอลก็บอกอยู่ว่าไม่ได้ชอบ” แบคฮยอนยิ้มบางๆ “เลิกล้อได้แล้ว”
“ก็การกระทำมันฟ้องนี่ !” เซฮุนเป็นคนเริ่มล้อ และมันจะจบง่ายๆแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“ก็...หน้าที่...ของเพื่อน” แบคฮยอนเลี่ยงจากด้านหลังของเขา เดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเองที่อยู่ข้างจงแดที่เดินตามหลังมา “แค่นั้นแหละ”
“...”
“พูดไปจะเคืองกันเปล่าๆ”
“...”
“ชานยอลไม่ได้ชอบเราหรอก”

เขาก็คิดว่าเขาไม่ได้ชอบหรอก

แต่พอได้ยินแล้วมัน...รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้

ปาร์คชานยอลใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนด้วยการมีที่นั่งประจำอยู่ด้านหน้าบยอนแบคฮยอน หนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย แบคฮยอนเป็นคนตัวเล็ก (ถ้าเทียบกับเขา) และก็ไม่มีท่าทีว่าจะโตขึ้นอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้ มีบางครั้งที่ร่างกายขยายออกข้างบ้าง แต่สุดท้ายก็กลับมาตัวเล็กเหมือนเดิม เป็นคนที่มีนิสัยนุ่มนิ่ม ยิ้มเก่ง พูดเพราะ อัธยาศัยดีกับเพื่อนทุกคนในแบบที่ทำให้รู้สึกน่าเอ็นดู และเพราะนิสัยแบบนี้ทำให้เพื่อนของเขาคนนี้ปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น เลยต้องมีเขาคอยอยู่ข้างๆ อยู่เป็นเพื่อนที่คอยสังเกตว่าแบคฮยอนลำบากใจไหมกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น คอยอยู่ไม่ห่างเพื่อดูแล...ในฐานะเพื่อน

โดนล้อว่าเป็นแฟนกันก็บ่อยครั้ง แต่ส่วนมากเขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน และแบคฮยอนก็ทำแค่ยิ้มเท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนพูดออกมาให้เพื่อนหยุด บอกว่าเขา...ไม่ได้ชอบแบคฮยอน

ก็เออนั่นแหละ...รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้

“แบคฮยอน” เขาหันไปถามคนข้างหลัง “เย็นนี้ทำไร ?”
“ไม่ได้ทำอะไร” แบคฮยอนยิ้มให้เขา “แต่...ไม่ว่างหรอก”
“ไปไหน ว่าจะชวนไปซื้อหนังสือ”
“เดี๋ยวดูอีกทีนะ ช่วงนี้...” แบคฮยอนเงียบไปชั่วอึดใจ “เราไม่ค่อยว่างเท่าไหร่”
“นั่นสินะ จะไปว่างได้ยังไง” จงแดทำหน้ามีเลศนัยใส่แบคฮยอน “เห็นนะว่าทำอะไร”
“ทำอะไร ?” คยองซูที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาไปอีกชะโงกถาม “อะไรกัน”
“มึงมีเรื่องปิดบังหรอ ?” จงอินถามเสียงดัง “แบคฮยอน ?”
“เราเปล่านะ...”

เขามองหน้าคนที่กำลังเม้มปากเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้อย่างจริงจัง แบคฮยอนทำอะไร เขาไม่เห็นว่าไอ้อ้วนมันจะทำอะไรเลย นอกจากกินนั่นกินนี่ เดินไปส่งงาน นั่งเล่นเกมปลูกผัก เป็นกิจวัตรประจำวันของตัวเอง

“ก็เมื่อกี้ ตอนที่ไปส่งงานศิลปะด้วยกัน อยู่ๆแฮชานที่เรียนพละอยู่ที่สนามก็วิ่งมาตัดหน้า ถามว่าเย็นวันนี้ไปเที่ยวด้วยกันได้รึเปล่า”
“จริงดิ ?” คิ้วของเซฮุนเลิกขึ้น “แล้วมึงว่าไง แบคฮยอน ?”
“เอ่อ...เรา...” แบคฮยอนอ้ำอึ้งเล็กน้อย เขาที่เห็นแบบนั้นจึงรีบขัดทันทีเพราะรู้ว่าคิดอะไรอยู่
“แบคฮยอนไม่ไปหรอก พวกมึงก็รู้” เขาบอกกับเพื่อนด้วยความมั่นใจ ใครมาชวนไปไหนแบคฮยอนก็ไม่ไปหรอก ถ้าไม่ใช่เพื่อนในกลุ่ม
“...เราว่าจะไป”

ประโยคของแบคฮยอนทำเอาเขาตาค้าง เหมือนจะลืมหายใจไปเสี้ยววินาที จะไป? ไปกับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ? จะไปได้ยังไง? อยู่ดีๆทำไมถึงจะไป?

“คือ...” แบคฮยอนยิ้มน้อยๆ “แฮชานก็ชวนเรามานานแล้ว ครั้งนี้ก็เลยคิดว่าจะไป...”
“มึงจะบ้ารึไง ?” เขามองหน้าแบคฮยอน ยอมรับว่ากำลังมีน้ำโหเล็กน้อย “รู้จักมันรึไงถึงได้ไปกับมัน ถ้ามีอะไรจะทำยังไง ?”
“...”
“ทำให้เพื่อนเป็นห่ว—”
“ชานยอลไม่ต้องห่วงเราหรอก” แบคฮยอนพูดขัดเขา “เราดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นไร”

วิชาภาษาเกาหลีที่เป็นคาบเรียนสุดท้ายในวันนี้นั้นไม่สนุกเลย เขาได้แต่นั่งขมวดคิ้วมองกระดานดำที่เต็มไปด้วยตัวอักษร ขณะที่เซฮุนที่นั่งข้างเขานั้นเอาแต่พูดเรื่องแฮชานไม่หยุด พูดจนเขานึกขึ้นมาได้ว่าแบคฮยอนเคยพูดถึงผู้ชายคนนี้ครั้งหนึ่ง ตอนที่เขาไปรดน้ำมะเขือเทศเป็นเพื่อนแบคฮยอน พูดถึงว่าเอาไอดีมาจากไหนก็ไม่รู้ เขาเลยแนะนำไปว่าไม่ต้องคุยหรอก ก็ไม่รู้จักกันนี่ จะไปคุยทำไม

แล้วทำไมวันนี้มาบอกว่าจะไปเที่ยวกัน อย่าบอกนะว่าคุยกับผู้ชายคนนั้นทั้งที่บอกกับเขาแล้วว่าจะไม่คุย คิดแบบนี้แล้วมันก็น่าโมโหนะ ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะ

“รายงานวิวัฒนาการทางภาษา สองคนนะคะ” อาจารย์สั่งงานพวกเขาหลังเลิกเรียน “กำหนดส่งในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า เลิกเรียนได้ค่ะ”
“กูคู่แบคฮยอน” เขาเลือกคู่ในงานนี้ก่อนใครเพื่อน หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง คนที่ตอนนี้กำลังเอาดินสอเก็บใส่กล่อง “จะรีบไปไหน ?”
“เอ่อ...เรานัดแฮชานไว้ที่หน้าโรงเรียน”
“แล้วทำไมต้องรีบ มันรอไม่ได้เลยรึไง ?”
“ก็...ก็เราไม่อยากสาย” แบคฮยอนเอากล่องดินสอใส่กระเป๋า “เราไปแล้วนะ”
“กูไปด้วย”
“...”
“จะไปซื้อหนังสือต่อ ไปด้วยเลยก็แล้วกัน”
“แต่แบบนั้นมันจะ—”
“จะอะไร มึงมีปัญหาอะไรเหรอ แบคฮยอน” เขาสะพายกระเป๋า “จะไปก็ไปสิ เร็ว เดี๋ยวมันจะรอนาน”
“เรา...”
“ไปๆ ไปแล้วนะพวกมึง”

เขาลากแบคฮยอนออกจากห้อง คนตัวเล็กทำท่าทางเงอะงะใส่เขา เหมือนมีอะไรจะพูดกับจงแดแต่ก็ไม่ได้พูด เอาแต่เดินตามเขาออกมาด้วยหน้ามุ่ยๆเหมือนไม่อยากเดินมากับเขา

“หวงก้าง” คยองซูมองเพื่อนที่เดินออกไปด้วยกัน “หรือว่ามันหวงเพื่อน ?”
“ไม่รู้ดิ” จงอินก็ไม่รู้เหมือนกัน “แต่มันบอกไม่ได้ชอบ แบคฮยอนก็บอกว่าไม่”
“อาจจะหวงเพื่อนก็ได้มั้ง” เซฮุนยักไหล่ “ไม่รู้โว๊ย กูทำงานคู่จงแด”
“ไหงงั้นวะ ไอ้คยองซูมันก็ทำแต่หน้าปกอ่ะ !”
“หุบปาก !”

ชานยอลเดินจับแขนแบคฮยอนลงบันไดไป เจ้าตัวเหมือนจะขืนเขานิดหน่อยทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ปล่อยแขน แต่ก็คิดเหมือนกันว่าจับแบบนี้คงจะเจ็บไม่น้อย จึงได้เลื่อนมือมาจับมือเล็กๆเอาไว้แทน ทำให้ได้เห็นหน้าเหมือนลูกหมาที่เจ้าของลืมให้ข้าวกิน

“มึงเลิกทำหน้าแบบนี้เลยนะ ไม่งั้นกูจะผลักมึงลงท่อ”
“เรา...ชานยอล...ไม่น่าทำแบบนี้”
“แบบไหน ?”
“ไปด้วย...แบบนี้” แบคฮยอนทำหน้าเหมือนลำบากใจ “มันไม่ดีนะ”
“อะไรไม่ดีไม่ทราบ ?”
“เรารู้ว่าแฮชานคิดยังไง เรารู้ว่าชานยอลก็รู้”
“แล้ว ?” เขาเลิกคิ้วใส่แบคฮยอน “ยังกับว่ากูจะสน”
“...”
“แล้วยังมาบอกไม่ให้ห่วง มึงไม่ทันมันหรอก บยอนแบคฮยอน”

เขาพาแบคฮยอนเดินไปหน้าโรงเรียน ยังไม่ทันพ้นข้างหน้าเขาก็เห็นไอ้แฮชานยืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือไม่ดี แต่แบคฮยอนเป็นคนหัวอ่อน เขาไม่มีทางปล่อยให้เพื่อนเขาคนนี้ไปไหนกับใครที่ไม่ใช่คนในกลุ่มหรอก ใครก็ไว้ใจไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขา

เมื่อก่อนตอนเข้ามาเรียนใหม่ๆ ยังโดนเพื่อนแกล้งจนร้องไห้ ถ้าเขาไม่เข้าไปช่วย แบคฮยอนก็คงจะโดนแกล้งไม่เลิกอยู่วันยังค่ำ แต่เขาก็ดีใจที่วันนั้นเขาออกตัวช่วยแบคฮยอนไป เพราะมันทำให้เราได้เป็นเพื่อนกันมาจนถึงวันนี้

แต่มันก็ไม่มีใครรังแกอะไรแบคฮยอนมาตั้งนานแล้ว เพราะว่ามีเขากับเพื่อนอยู่ข้างๆ ที่จริงเพื่อนก็ไม่ได้มีใครจะทำอะไรแบคฮยอนหรอก แต่เพราะความหัวอ่อนนั้นมันทำให้เพื่อนอดจะไหว้วานอะไรจนเกินควรไปบ้าง

“เอ่อ...” แบคฮยอนไม่รู้จะพูดยังไง “ชานยอล...จะไปด้วย...”
“กูกับมันมีธุระกันต่อ” เขายิ้มมุมปากให้แฮชาน “ไม่ว่ากันนะ”

สุดท้ายเราก็เดินไปพร้อมกันสามคน แฮชานไม่ได้พาแบคฮยอนไปไหนไกลแบบที่เขาคิดเอาไว้ ไปแค่ตรงย่านตรงข้ามโรงเรียนที่มีร้านขายอาหารกับขนมตั้งอยู่เรียงราย หันมาถามแบคฮยอนว่าอยากกินอะไรเลือกได้เลย ไอ้เขาก็อยากจะตอบแทนอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่าแบคฮยอนไม่ดันเขามาอยู่ข้างหลัง เดินคู่กันไปสองคนแบบนั้น

แล้วนี่ไปหัวเราะอะไรกับมัน ยิ่งเห็นก็ยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้นทุกที เห็นแล้วรู้สึกว่าอะไรๆมันก็น่าหงุดหงิดไปหมด

“แวะดูไหมแบคฮยอน เหมาะกับนายดีนะ” คนที่อยู่หน้าเขาทั้งสองคนหยุดกระทันหัน ให้ความสนใจกับพวงกุญแจตุ๊กตาที่วางขายอยู่แผงข้างทาง
“จริงเหรอ ?” เพื่อนของเขายิ้มจนแก้มกลม “น่ารักดี...”

น่ารักกับผี ไม่เห็นว่ามันจะน่ารักตรงไหน

“อันนี้เป็นไง ?” แฮชานชูตุ๊กตาน้องหมาสีดำขึ้นมา
“ก็—”
“ทุเรศ ไม่มีเซนส์หรือไม่ตั้งใจเลือก” เขาเดินเข้าไปแทรกกลางอย่างจงใจ หยิบพวกกุญแจน้องหมาจมูกใหญ่ๆยัดใส่มือแบคฮยอน “ไปได้แล้ว จะไปกินอะไรก็ไปกิน”
“แฮชานอยากกินอะไร เราไปกินอันนั้นก็ได้” แบคฮยอนวางตุ๊กตาที่เขายัดใส่มือลงที่เดิม “อันที่ถืออยู่...”
“นายชอบอันนี้ใช่ไหม ?” แฮชานยังคงชูตุ๊กตาตัวเดิม “ฉันซื้อให้นะ”
“น่ารักดี แต่ว่าไม่ต้อง—”
“ไม่หรอก ฉันอยากซื้อให้”

ไม่อยากจะเชื่อว่าแบคฮยอนจะคุยกับแฮชานข้ามหัวเขาแบบนี้ แถมยังวางตุ๊กตาที่เขาเลือกให้แล้วหันไปรับของจากมันแทน ยิ้มเริงร่าราวกับมีความสุขนักหนา

“จะคุยกันอีกนานไหม ชวนกันมากินข้าวหรืออะไรวะ”
“พูดแบบนี้ก็เกินไปมั้ง” แฮชานหันมามองหน้าเขา “อะไรนักหนาวะ”
“หมายความว่าไง ?” เขาจ้องหน้ามันกลับ เขาไม่มีทางยอมหรอก “มีปัญหาอะ—”
“เรา...กินร้านนั้น” แบคฮยอนพูดขึ้นมากลางวง แทรกตัวเข้ามาตรงกลาง มือชี้ไปยังร้านฝั่งตรงข้ามที่ขายอาหารว่างทั่วไป “แฮชานไปรอข้างในนะ เดี๋ยวเราขอคุยกับชานยอลแปปนึง”
“โอเค รีบมาล่ะ”
“อื้อ...”

ทำไมให้มันเข้าไปรอข้างใน แล้วคุยกับเขานี่หมายความว่ายังไง แบคฮยอนควรไปคุยกับมันสิ ให้มันรู้บ้างว่าอย่าคิดจะมายุ่งกับแบคฮยอน เขาไม่มีทางปล่อยให้เพื่อนไปอยู่กับใครที่เขาไม่ชอบหรอก ไม่มีทาง

แบคฮยอนถอนหายใจใส่หน้าเขา ทำหน้าจริงจังในแบบที่น้อยครั้งนักจะเห็น

“ทำไมชานยอลทำแบบนี้ ?”
“ทำอะไร ?”
“พูดจาไม่ดี ไม่เกรงใจเพื่อน” แบคฮยอนไม่พอใจเขา “ชานยอลก็รู้ว่าเรากับแฮชานไม่ได้สนิทกัน จะพูดอะไรก็ได้มันก็ไม่ใช่...”
“แน่สิ กูไม่มีวันสนิทกับคนแบบนั้นหรอก”
“ชานยอล...”
“อย่าบอกนะว่าอยากจะไปสนิทกับมัน ?”
“เราก็เพื่อนกัน” แบคฮยอนถอนหายใจใส่เขา “ชานยอลจะมาพูดจาให้เพื่อนรู้สึกไม่ดี ทำอะไรก็ขัดไปหมดทั้งที่เราตกลงจะมากับเค้าเอง แบบนี้เพื่อนจะรู้สึกยังไง”
“ก็ช่างหัวมันสิ”
“ทำไมพูดแบบนี้...”
“มึงมันก็ตามคนไม่ทัน ไม่รู้หรอกว่ามันหวัง—”
“เรารู้ว่าเค้าหวังอะไร เราบอกแล้วไงว่าเราดูแลตัวเองได้ !”
“นี่กูเป็นห่วงมึงนะ !”
“ไม่ต้องมาห่วงเรา เราไม่ได้ขอให้มาห่วงสักหน่อย !”

รู้จักกันมาก็หลายปี เขาไม่เคยโดนแบคฮยอนตวาดใส่มาก่อน เขาไม่เคยเห็นแบคฮยอนเป็นแบบนี้ แบบที่ตะโกนใส่ใครจนหน้าแดงแบบที่ทำกับเขาในตอนนี้ ยอมรับว่ามันทำให้ใจของเขาเหมือนหยุดเต้น

รู้ตัวดีว่าพูดจาไม่ดีเลย แต่ทั้งหมดที่ทำ มันก็เพราะว่าเขาเป็นห่วงแบคฮยอน แต่กลับโดนบอกว่าไม่ต้องมาห่วง

ไม่ได้ขอ...เลยสักนิด

“เออ” เขาก้าวถอยไปหนึ่งก้าว คำว่าไม่ได้ขอสะท้อนอยู่ในใจ “กูมันจุ้นจ้าน เสร่อไม่เข้าเรื่องเองแหละ”
“ชาน—”

เขาไม่ได้อยู่ฟังแบคฮยอนพูดประโยคต่อมา เขาก้าวเท้ามาไกลจนเกินกว่าจะได้ยิน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเรื่องมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ เขาห่วงแบคฮยอนมาแต่ไหนแต่ไร แบคฮยอนก็รู้ว่าเขาห่วง แถมยังเคยขอบใจเขาที่เป็นห่วงกันมาตลอด แต่วันนี้เขากลับโดนตะคอกใส่หน้า บอกว่าไม่เคยขอให้มาห่วง เหมือนเขามันโง่เองที่เสนอหน้าไปห่วงแบคฮยอน ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้บอกให้ทำ

ทั้งหมดที่เขาทำมา ที่เป็นห่วงมาตลอด แบคฮยอนคงไม่ได้ต้องการมันเลย มีแต่เขาที่คิดไปเองว่าต้องดูแลเพื่อนคนนี้ ปกป้องให้ได้เจอแต่สิ่งดีๆ อย่าให้มีใครหรืออะไรมาทำให้เสียใจ

พอเป็นแบบนี้...รู้สึกว่าตัวเองโคตรโง่เลย








♥ ——————








“เซฮุน”
“ว่า ?” เพื่อนตอบรับหลังจากเขาเรียกในคาบเรียนสังคม
“งานเกาหลีมึงทำกับใครวะ จงอิน ?”
“จงแด” เซฮุนพูด “กูชิงเลือกคู่ก่อน ไอ้จงอินนอนร้องไห้เลย มึงเชื่อกูป่ะ ?”
“ไอ้ห่า เดี๋ยวไอ้โดได้ยิน” เขายิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนี้ “คือ...กูขอแลกคู่หน่อย มึงไปคู่กับแบคฮยอนได้ไหม เดี๋ยวกูคู่กับจงแด หรือมึงจะคู่กูก็ได้ แล้วแต่”
“หือ ?” เซฮุนคิ้วเฉียงขึ้นฟ้าแบบที่เป็นตลอดเวลามีเรื่องอะไร “นี่มึงทะเลาะกับแบคฮยอนจริงๆใช่ไหมเนี่ย ?”

เขาเงียบเพื่อคิดหาคำตอบเมื่อโดนเพื่อนถามแบบนี้ เขาก็เข้าใจแหละว่าใครก็คงสังเกตได้ เพราะมันเป็นเช้าวันแรกในชีวิตเลยมั้ง ที่เขาไม่ได้คุยกับแบคฮยอน เขาไม่ได้มองหน้าด้วยซ้ำ

แค่คิดก็รู้สึกว่าตัวเองแม่งแย่สุดๆ เรื่องจะคุยเลยติดลบหนึ่งพันยี่สิบ เขายังไม่อยากทำจริงๆ

“นิดหน่อย” เขาเลือกคำตอบนี้ “ขอเถอะ จำเป็นจริงๆ”
“อย่าทะเลาะกันนานนะ”
“...”
“เพื่อนกันก็เบาให้กันบ้าง ถ้ามะเขือเทศที่แปลงตาย มึงโดนไอ้โดจับทำปุ๋ยแน่”
“เออหน่า ตายก็ไปซื้อต้นใหม่มาเปลี่ยน มันไม่รู้หรอก”
“ฉลาดในทางที่ผิดฉิบหาย” เซฮุนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหันไปด้านหลังที่เป็นที่ของจงแดกับแบคฮยอน “แบคฮยอนจ๊ะ...”
“อื้อ...” เขาได้ยินเสียงแบคฮยอนตอบรับ “อะไรเหรอ ?”
“มึงด้วยจงแด ตื่นมาฟังกูหน่อย” เซฮุนพูด “งานเกาหลีพวกมึงคู่กันนะ เดี๋ยวกูคู่กับไอ้ชานยอล”
“...แต่ชานยอล...บอกว่าจะคู่กับเรานี่ ?”
“โทษที กูอยากคู่กับไอ้ชานยอลเองแหละ แบคฮยอนก็คู่กับไอ้จงแดมันนะ”
“...โอเค”

เมื่อเช้าที่มาโรงเรียน มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะมาถึงหลังแบคฮยอนเสมอ คยองซูจะเป็นคนที่มาคนแรก เซฮุนลำดับสอง ตามด้วยแบคฮยอน จงแด เขา และจงอินที่มาสายเสมอต้นเสมอปลาย

พอมาถึงโรงเรียน เขาก็จะซื้อนมมาให้แบคฮยอนเพราะหนึ่งในห้าวันของสัปดาห์ที่มาเรียน จะมีสักวันที่แบคฮยอนบอกกับเขาว่าหิว เขาเลยซื้อนมมาให้กินเพื่อแก้ปัญหา เพราะคนที่มีปัญหานั้นลืมตลอด แต่วันนี้มันเป็นวันแรกที่เขาไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ทัก ไม่ได้ชวนคุย ไม่ได้อยู่ในบทสนทนาเดียวกัน ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง

เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้รับโทรศัพท์ ไม่ได้ตอบข้อความที่ไม่แม้แต่จะอ่านด้วยซ้ำ ที่เซฮุนพูดมันก็ถูก ที่บอกว่าเราก็เพื่อนกัน แต่มันไม่ได้โดนอย่างเขานี่ ถ้าใครโดนแบบที่เขาโดนในตอนนี้ จะเข้าใจเขาดีว่ามันรู้สึกแย่ขนาดไหน

เป็นห่วงมาตลอดแล้วโดนบอกว่าไม่ได้ขอนี่...ทำใจยังไงให้ไหว เป็นไอรอนแมนหรือเดดพลูก็ทำไม่ได้หรอก

และเขาก็จะทำเป็นไม่รู้สึกไม่รู้สาอะไรกับการที่คนข้างหลังเอานิ้วมาจิ้มต้นแขนเขาด้วย

ช่วงพักกลางวันนั้นเขาโดนอาจารย์ใช้ให้ยกสมุดของเพื่อนไปที่ห้องพักกับจงอิน คนที่ไม่ได้โดนใช้งานก็เดินแยกลงไปกินข้าวกันก่อน มีเพียงเขาที่หอบสมุด เดินตามอาจารย์ไปห่างๆ

“เออ...มึงกับแบคฮยอนมีไรป่ะวะ ?”
“...”
“ไม่ต้องมาเงียบเลย ดูก็รู้ว่าไม่คุยกันอ่ะ”
“กูไม่ได้เงียบ” เขากำลังคิดว่าจะตอบยังไงต่างหาก “ก็...เออ นิดหน่อย”
“มึงทะเลาะกับแบคฮยอนเนี่ยนะ ?” จงอินทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “คิดไม่ออก...เพราะเรื่องที่มึงไปเมื่อวาน ?”
“อืม” เขาไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่
“ไม่ถามและ ทำหน้าเหมือนไม่อยากตอบอยู่ได้ นี่เพื่อนนะเนี่ย”
“พูดมากว่ะ”

พวกเขาวางสมุดลงบนโต๊ะก่อนจะลงไปกินข้าวกัน ก่อนจะแยกกันพวกเขาบอกเพื่อนไว้แล้วว่าให้ซื้อข้าวให้ด้วย พวกมันเองก็โอเค พอคุยกันแบบนั้นเลยกลายเป็นว่าลงมาแล้วก็มีข้าวกินเลย ไม่ต้องไปต่อแถวกันอีก

ปกติแล้วเขาจะนั่งข้างแบคฮยอน นั่งทุกวันจนกลายเป็นที่ประจำ ใครจะนั่งตรงไหนก็ได้แต่ว่าเขานั่งข้างๆแบคฮยอน แต่วันนี้เขากลับเลือกนั่งอีกฝั่งข้างจงแด แล้วเว้นที่ข้างๆแบคฮยอนที่ให้จงอินที่เดินตามมาทีหลังนั่ง

“ข้าววันนี้ไม่อร่อยเลย” คยองซูบ่นตามประสา “กิมจิยังไม่อร่อยอ่ะ”
“กูว่ามึงเพ้อเจ้อไปเอง มันก็เหมือนทุกวัน”
“ไม่เหมือน กูกินทุกวัน วันนี้มันไม่เหมือน” คยองซูไม่ยอม “แบคฮยอน มึงคิดว่าไง ?”
“ก็...กิมจิ” คนโดนถามตอบ ก่อนจะหันมามองเขาที่กินข้าวอยู่ มองจนเขาก็รู้แต่ก็เลือกที่จะไม่สบตา “เอ่อ...ชานยอล”
“...”
“เมื่อวานได้ไปซื้อหนังสือไหม ถ้ายัง...วันนี้ไปซื้อด้วย—”
“ไปซื้อน้ำนะ” เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปทางที่ร้านขายน้ำตั้งอยู่ ในใจของเขามันกำลังส่งเสียงว่าเฮอะ เมื่อวานตะคอกใส่กัน วันนี้มาชวนไปด้วยกันเสียอย่างนั้น มันทดแทนกันได้ที่ไหน ได้ยินแล้วไม่ชอบใจเลย
“ชานยอล...” แบคฮยอนเดินตามเขามา “คุยกันก่อนสิ”
“...”
“คุยกับเราหน่อยนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น เราขอโทษ”

คนที่โรงอาหารมันเยอะจะตาย เขาไม่ได้ยินคำขอโทษของแบคฮยอนหรอก บอกว่าไม่ตั้งใจก็ไม่ได้ยิน มันจะเป็นไปได้ยังไงที่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ เขารู้ว่าตอนนั้นมีเวลาให้คิดตั้งเยอะ ยังไงก็ต้องคิดก่อนพูดอยู่แล้ว

“ชานยอล”
“...”
“อย่าเดินหนีเราสิ คุยกันหน่อย นิดเดียวก็ได้”
“...”
“ฟังเราพูดก่อนนะ เราขอ—”
“อะไรนักหนาวะ !” เขาชักจะทนไม่ไหว “บอกว่าไม่ต้องมาห่วง กูก็ไม่ยุ่งกับมึงแล้วไง จะเอาอะไรอีก !”

เสียงตวาดของเขาทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตกใจ รวมถึงคนที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วย เจ้าตัวก้าวถอยหลังไปเพราะเขา ไหล่เล็กๆเริ่มสั่นแบบที่ทำให้เขารู้ว่ากำลังจะ...ร้องไห้

“ฮึก...”
“เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น ?” เพื่อนๆเดินตามมาเพราะได้ยินเสียงดัง “มีอะไรวะ ?”
“แบคฮยอนร้องไห้ทำไม ?” จงแดกอดไหล่แบคฮยอนที่ตัวสั่นเทิ้ม เอาแต่สะอึกสะอื้นไม่หยุด
“ร้องทำห่าอะไรวะ...”
“ชานยอล มึงใจเย็น” เซฮุนปรามเขาที่ไม่ยอมหยุด
“ตวาดกูแล้ววันนี้ก็มาร้องไห้เอง เป็นบ้ารึไง”
“...”
“ประสาท”

เขารู้ดีว่าตัวเองโคตรแย่ พูดจาฟังไม่ได้ออกไปแบบนี้ แต่เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองตอนนี้ไม่ได้นี่ ทำไมต้องมาร้องไห้ เรื่องทั้งหมดตัวเองก็เป็นคนเริ่มก่อน พอเขาทำตามที่บอกให้ทำก็มาร้องไห้บอกว่าขอโทษ แล้วคือยังไง เขาจะหายรู้สึกไม่ดีได้เพราะคำว่าขอโทษงั้นหรอ ฟังแล้วมันอาจจะเป็นคำที่ทำให้รู้ว่าคิดยังไง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาหายโกรธนี่

ไม่ได้ขอให้มาห่วงก็พูดชัดเจนดี มาตอนนี้มาบอกขอโทษ ท่าจะประสาทจริงๆ

เขาเดินหนีขึ้นไปโรงยิม ลำพังจะให้ยืนอยู่ตรงนี้ก็คิดว่าอาจจะเผลอทำตัวหรือพูดจาไม่ดีออกไปอีกก็ได้ เลยเลือกที่จะเบี่ยงตัวออกจากสถานการณ์ตรงนั้นแหละขึ้นไปสงบสติอารมณ์ที่ระเบียงของโรงยิม ที่ที่คงจะไม่มีใครมากนักเพราะว่าในยามเที่ยงแบบนี้ ที่ตรงนั้นมันร้อนมาก คงจะมีแต่เขาที่เป็นบ้าขึ้นไปตอนนี้

เพื่อนคงจะแบ่งกันเป็นสองสอง คู่หนึ่งเฝ้าแบคฮยอนอีกคู่หนึ่งคงตามเขามา ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นเซฮุนกับคยองซู เพราะจงแดถนัดปลอบคนร้องไห้มากกว่า และจงอินเป็นคนที่ตามอะไรไม่ค่อยทันเท่าไหร่ในเรื่องของความรู้สึก

“เลือกที่ได้โคตรแย่” เสียงของคยองซูที่ดังมาจากด้านหลังทำให้รู้ว่าคิดไม่ผิด “มันร้อน”
“แล้วใครใช้ให้มึงตามมา ?”
“หัวใจกูมันเรียกร้องว่ะ”
“ไอ้เซฮุน หุบปาก” เขาได้ยินเสียงคยองซูถอนหายใจ ก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงข้างเขา บ่นว่าร้อนเบาๆไปอย่างนั้น “พวกมึง...ทะเลาะอะไรกันวะ ?”
“...”
“เอาจริงๆพวกกูก็ไม่ได้อยากจะยุ่ง—”
“ก็ไม่ต้องยุ่ง”
“ไอ้หนอนผักนี่ สี่โมงเย็นวันนี้ตัวตัวกับกูเลยมา” คำว่าตัวตัวของคยองซูทำเอาเซฮุนขำ ตัวมันเล็กกว่าเขาตั้งศอกนึง “พวกมึง...เป็นสองคนสุดท้ายในโลกที่กูคิดว่าจะทะเลาะกันอ่ะ”

คำพูดของเพื่อนทำให้คิ้วของเขาชนกัน สองคนสุดท้ายหมายความว่ายังไง คนเรามันทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ผิดใจกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำไมมันพูดเหมือนว่าเขากับแบคฮยอนจะทะเลาะกันไม่ได้ เถียงกันก็ออกจะบ่อยไป

“หมายความว่าไง ?”
“ก็หมายความตามที่พูด” คยองซูยักไหล่
“มึงเล่าให้พวกกูฟังหน่อยดิ จะได้คิดได้ว่ามันควรจะออกมาเป็นแบบไหน” เซฮุนนั่งลงอีกด้านข้างๆเขา “ไม่ใช่ว่าอยากรู้...ไม่ดิ ก็อยากรู้ แต่เรื่องหลักคือพวกกูจะได้รู้ว่าควรตอบรับกับเรื่องนี้ยังไง มันลำบากใจนะ เวลาเพื่อนทะเลาะกัน”

ก็คงจริง เขายังจำได้ที่คยองซูกับจงอินทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเรื่องงาน กว่าจะคุยกันดีๆก็ทำเพื่อนในกลุ่มเครียดไปหลายวันเพราะมันจ้องจะตีกันตลอดเวลา

“ก็เมื่อวานที่แบคฮยอนไปกับไอ้นั่น...คือพวกมึงก็รู้ว่ามันตามใครไม่ค่อยทัน แล้วสายตาไอ้นั่นมันก็ใช่ย่อย กูรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ มึงลองคิดดูว่าถ้ามันทำอะไรแบคฮยอนขึ้นมาจะเป็นยังไง” เขาเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง “กูยอมรับแหละว่าทำตัวไม่ดี เพราะกูรู้ว่าไอ้นั่นมันคิดไม่ดี แต่แบคฮยอนตวาดกู พอกูบอกว่าที่ทำเพราะว่าเป็นห่วง ก็โดนตอกใส่หน้ากลับมาว่าไม่ได้ขอให้มาห่วงสักหน่อย”
“แบคฮยอนพูดงั้นจริงดิ ?”
“ไม่จริงมั้ง” เขาถอนหายใจ “มึงคิดว่ากูจะโอเคเหมือนเดิมหรอวะ กูเป็นห่วงจริงๆแต่ก็โดนแบบนี้”
“ถ้าฟังจากที่มึงบอก แบคฮยอนก็พูดแรงไปว่ะ” เซฮุนฟังแล้วยังรู้สึกไม่ดี “ก็นะ...มาขอโทษแล้วก็ใช่ว่าจะหายง่ายๆ”

พวกเขาทั้งสามคนนั่งเงียบ เขาไม่รู้หรอกว่าเพื่อนทำอะไรหรือมองอะไร แต่เขานั้นนั่งคิดเรื่องของคนที่เพิ่งพูดจาไม่ดีใส่ไปเมื่อกี้ เขาพอจะรู้ว่ามันคงทำให้แบคฮยอนเสียใจ แต่เขาเองก็เสียใจเหมือนกันที่โดนบอกกลับมาแบบนั้น เหมือนความเป็นห่วงของเขามันไม่มีค่าอะไร จะห่วงก็ห่วงไปไม่ได้ขอให้ห่วง ถ้าเกิดว่าคนพูดไม่ใช่แบคฮยอน ป่านนี้ปากมันแตกไปแล้ว

“แต่มันก็น่าคิดนะ” คยองซูกอดอก มองท้องฟ้าในยามเที่ยง “แบคฮยอนไม่เคยตะโกนใส่นาย ทำไมอยู่ๆถึงทำได้”
“จะเพราะอะไรล่ะ ก็คงเพราะเป็นห่วงหมอนั่นน่ะสิ”
“เพราะอะไรไม่รู้ล่ะ กูว่าเราลงไปข้างล่างเถอะ จงกินข้าวเราหมดแล้ว” เซฮุนลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจซ้ายขวา “ยังไม่ต้องคุยกันก็ได้ แต่อย่าตะโกนใส่กันก็พอ”
“...”
“ถือว่าเพื่อนขอก็แล้วกัน”









♥ ————————









เป็นสัปดาห์แล้วที่เขาไม่ได้คุยกับแบคฮยอนเลย เขารู้ว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่เขารู้สึกไม่ดีเอามากๆกับสิ่งที่แบคฮยอนพูดกับเขา และแบคฮยอนก็คงรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เขาพูดออกไป ความสัมพันธ์ของเราเลยเหมือนกีฬาดิ่งพสุธา ที่ดูเหมือนจะตกฮวบเรื่อยๆ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขากับแบคฮยอนทะเลาะกัน อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้

เอาเข้าจริงเขาไม่รู้หรอก เขาไม่รู้อะไรเลย พอคิดถึงเรื่องของคนที่นั่งเรียนข้างหลังเขา มันก็มีแต่เรื่องตอนที่เขาโดนตะโกนใส่ทุกที คิดเรื่องอื่นไม่ออกเลย

มันมีบางครั้งที่เราต้องอยู่ด้วยกันบ้าง หรือบางทีก็จำเป็นจะต้องทำอะไรร่วมกัน เพราะถึงจะทะเลาะกันยังไงเราก็อยู่กลุ่มเดียวกันอยู่ดี จะหน้าบึ้งไม่ยุ่งไม่เอามันก็ทำให้เพื่อนลำบาก ไอ้เซฮุนก็ขอเขาไว้แล้ว ไม่อยากจะทำให้ใครต้องลำบากใจ

แต่ก็นะ...เขารู้ว่าบางทีมันก็คงมีแต่เขาที่เลี่ยงที่จะสบตาแบคฮยอน คนที่มองเขาด้วยสายตาเศร้าๆตลอดเวลา แต่มันก็เป็นบทเรียนของคนที่พูดจาไม่ดีใส่กัน เขาก็สำนึกผิดอยู่นิดๆแหละที่ด่าแบคฮยอนไป แต่ก็นะ...แต่ก็นะ !

‘นี่...’ จงแดมาพร้อมกับน้ำส้มกล่อง ยื่นให้เขาพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ‘รู้เรื่องหมดแล้วนะ จากแบคฮยอน’
‘เออ’
‘ออกตัวก่อนว่า—’
‘เงียบเลย’ เขาขัดก่อน ‘จะมาเข้าข้างกันก็เชิญไปพูดที่อื่น’
‘ไม่ใช่แบบนั้น ก็แค่ให้เข้าใจฝั่งแบคฮยอนบ้าง ไม่เกี่ยวกับเรื่องห่วงไม่ห่วง ไม่พูดเรื่องนั้น’

เขาหรี่ตาให้เพื่อนที่ทำหน้าทำตากลับมาเหมือนกัน สุดท้ายเขาก็พยักหน้าลง เชิงบอกว่าให้มันพูดต่อได้

‘คือ...ไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยไง ที่พูดกับแฮชานแบบ—อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้น กูถามไงว่าคิดว่าเกินไปไหม’
‘ไม่เกิน’ เขาคิดแบบนี้จริงๆ ‘มันหลอกคนไปทั่ว ใครก็รู้ จะให้กูรอมันมาหลอกแบคฮยอนหรอ ฝันไปเถอะ’
‘แต่มึงก็รู้ว่าถึงเค้าจะไม่ดียังไง แต่เราก็ไม่มีสิทธิจะไปว่าอะไรเค้า จะด่าใครมันก็ไม่ถูกทั้งนั้นแหละ อีกอย่างแบคฮยอนก็รู้ว่าแฮชานไม่ดี—’
‘ไม่ดีแล้วไปทำไม ตกลงไปทำไม’ พูดแล้วมันก็โมโหขึ้นมาอีกรอบ ‘มึงไปเลยนะ น้ำส้มไม่อร่อยแล้วเนี่ย’
‘ฮะๆ อย่าเพิ่งสิ’ จงแดหัวเราะเสียงดัง ‘แต่ก็นะ...ไม่รู้ว่าไปทำไมเหมือนกัน’
‘...’
‘แบคฮยอนน่ะ’

เขาไม่รู้ว่าแบคฮยอนยังคุยกับไอ้แฮชานต่อรึเปล่า แต่เขาก็ไม่เห็นว่าคุยอะไรกัน เวลาเดินผ่านเขาก็มีเขม่นกันบ้างตามประสาคนไม่ถูกกัน แต่เขาก็ไม่ได้เห็นแบคฮยอนคุยอะไรกับมัน มียิ้มให้บ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไปคุยกันทีหลังไหมเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จงแดก็บอกเขาว่าแบคฮยอนก็รู้ว่าไอ้นี่มันไม่ดี เขาเองก็รู้ว่าแบคฮยอนรู้

มันมีงานศิลปะที่เราต้องทำด้วยกัน เพราะตกลงคู่กันไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องปกติที่แบคฮยอนจะเป็นคนตั้งต้นงานให้ก่อน แล้วเขาจะเอาที่เหลือมาทำต่อ เขาเลยไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย จนตอนที่เขาเห็นงานมาวางอยู่บนโต๊ะตอนเช้า มีจดหมายน้อยลายมือเจ้าของงานวางไว้ด้วย เขียนเอาไว้ว่าเขาต้องทำอะไรต่อบ้าง เขารู้ว่าคนที่เขียนมันแกล้งทำเป็นดูอะไรในโทรศัพท์พร้อมทั้งแอบมองเขาที่ยืนดูงานอยู่ไปด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เอางานใส่ใต้โต๊ะเอาไว้ ทำเป็นไม่สนใจไปก่อน

มันเหนื่อยใจเหมือนกันที่ทะเลาะกันแบบนี้ แต่เขายังโกรธอยู่เต็มใจ มันยากที่จะไม่โกรธได้ แบบนั้นคงไม่ดีเท่าไหร่ ไม่คุยน่าจะดีกว่า

จงอินเองก็เข้ามาคุยกับเขาเรื่องแบคฮยอน บอกกับเขาในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้บอก คือการบอกเขาว่าแบคฮยอนร้องไห้ทุกวันที่แปลงผัก กอดบัวรดน้ำแล้วเอาน้ำตารดมะเขือเทศจนเฉา ได้ยินแบบนั้นแล้วเขาก็รู้สึกวูบโหวงในใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้เราไปแปลงผักด้วยกันทุกวัน ช่วยกันดูแลมะเขือเทศ ร้องเพลงให้มันฟัง แต่พอทะเลาะกันเขาก็ไม่เคยไปอีกเลย พอมาวันนี้จงอินมาบอกเขาว่ามันจะตายแล้ว แล้วคนที่จะตายตามมะเขือเทศไปก็คือมึงกับแบคฮยอน เพราะคงจะโดนคยองซูเตะตัดคอ

เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไอ้จงอินมันก็พูดจาเกินจริงเก่งอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่ามันก็ทำให้เขาร้อนในใจ จนสุดท้ายก็ต้องแอบไปดูที่แปลงเกษตร เดินตามคนตัวเล็กที่สะพายกระเป๋าเดินเข้าไปในนั้น ยืนมองแบคฮยอนเดินไปหยิบบัวรดน้ำสีเขียว ใส่น้ำลงไปพอประมาณ ยกมันมารดมะเขือเทศ...

แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็วางบัวรดน้ำลง นั่งกอดเข่าตัวเอง สะอึกสะอื้น ไม่ยอมรดน้ำมะเขือเทศ แต่เอาน้ำตารดแทนจริงๆ

เขา...ผิดเหมือนกันที่พูดไม่ดีแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้ แบคฮยอนเองก็ไม่ใช่คนที่ร้องไห้ง่ายๆ แต่เขาก็ทำให้ร้องไห้มาแล้วในวันนั้น

แล้วก็คงทำให้ร้องไห้ทุกวัน...ตั้งแต่วันนั้นมา

ห่วงไม่ห่วงก็อีกเรื่อง แต่การที่ได้เห็นแบคฮยอนร้องไห้แบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่โคตรแย่เลย เขามีเรื่องกับใครก็ได้ที่ทำให้แบคฮยอนร้องไห้ แต่เขากลับเป็นคนทำให้แบคฮยอนร้องไห้ซะเอง

บ้าเอ๊ย...บยอนแบคฮยอนนี่มันน่าตีชะมัด

“ร้องไห้อยู่ได้ ถ้ามะเขือเทศตายจะทำยังไง” เขาเดินตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ไม่สนคนที่มองเขาอย่างตื่นๆ คราบน้ำตาเต็มแก้ม “อยากโดนทำเป็นปุ๋ยหรืออยากโดนเตะตัดคอ”
“ฮึก...”
“ถ้ามันตายกูจะเตะมึง ข้อหาทำให้กูได้ศูนย์วิชาเกษตร” เขาคว้าเสียมที่มีคนวางทิ้งเอาไว้ตรงนั้นมาพรวนดิน แต่คนข้างๆนั้นเอาแต่สะอึกสะอื้น “จะหยุดร้องได้ยัง ไม่งั้นกูเตะจริงๆนะ”
“ชานยอล...”
“จะเรียกทำไม กูบอกให้มึงหยุด—โอ๊ย !”

แบคฮยอนพุ่งตัวมากอดเอวเขาไว้ ทำเอาเขาทรุดลงนั่งกับดินชื้นๆที่ข้างแปลง เกือบจะหลุดปากสบถเพราะกางเกงจะเปื้อน แต่การที่รู้สึกได้ถึงอะไรชื้นๆที่เสื้อนั้น ก็ทำให้รู้ว่าไอ้ตัวเล็กนี่มันไม่ได้หยุดร้องไห้ตามที่เขาบอกเลย

“ฮึก...ฮือ...”
“กูจะเตะมึงจริงๆแล้วนะ มึงโดนแน่ๆ”
“ขอโทษ...นะ”
“...”
“ขอ...โทษจริงๆ ผิดไป...แล้ว”
“...”
“จะตี...ตัวเองหนึ่งร้อย...ครั้ง”
“ขอโทษที่พูดจาไม่ดี” เขาถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจยกมือขึ้นโอบไหล่เล็กๆที่สั่นไม่หยุดนี่ไว้ “จะให้ตีร้อยครั้งเหมือนกัน เลิกร้องไห้ได้ไหมเนี่ย !”

กว่าจะเลิกร้องไห้เสื้อเขาก็เปียกรอยน้ำตาจนเป็นวงกว้าง กางเกงก็เปียกเหมือนกัน แต่เขาก็ลืมเรื่องนั้นไปเพราะเพื่อนที่เอาแต่ร้องไห้เหมือนต่อมน้ำตาผลิตน้ำตาออกมาเยอะ ร้องไม่หยุดจนเขาต้องเปลี่ยนจากคำขู่มาเป็นการปลอบดีๆ ถึงได้หยุดไปได้บ้าง แต่ก็ยังคงเอาหน้าเช็ดกับเสื้อเขาอยู่

“ชานยอล”
“เออ กูรู้ว่าตัวเองชื่ออะไร มึงเรียกมาสิบแปดรอบแล้ว”
“เรียกแค่สามรอบเอง”
“เถียง ?”
“เปล่านะ” แบคฮยอนผละออก ยิ้มน้อยๆให้เขาทั้งที่หน้าแดงก่ำ “...ขอโทษ...”
“...”
“ถึงจะไม่ได้บอกให้มาห่วงเราจริงๆ—”
“นี่ !”
“แต่เราดีใจมากๆเลยนะที่ชานยอลเป็นห่วงเรา”
“โกหก วันนั้นพูดว่าไม่ต้องมาห่วง ดูแลตัวเองได้ไม่ใช่รึไง”
“ไม่ใช่นะ วันนั้นเราโกหก วันนี้เราพูดจริงๆ”
“หุบปากแล้วรดน้ำไอ้เขือได้แล้ว กูไม่อยากกลับบ้านมืด”
“ได้เลย งั้นวันนี้ชานยอลร้องเพลงนะ”
“ไม่ร้อง !”

วันนี้เขากลับบ้านพร้อมกับคนที่เขากลับบ้านด้วยตลอดยกเว้นก่อนหน้านี้ คนที่พอเขาหันไปมองก็จะยิ้มกว้าง น้ำตาไม่มีให้เห็นแล้ว มีแต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้ ถึงเขาจะต้องมีฟอร์มไว้บ้างแต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกลับไป

“ยังคุยกับไอ้ห่านั่นอยู่ไหม ?”
“ไม่ได้คุยเลย” แบคฮยอนตอบเขา “พอ...ชานยอลไป เราก็ร้องไห้จนแฮชานออกมาตาม เราเลยบอกว่าพ่อไม่สบาย ต้องกลับบ้าน...”
“ลูกประสาอะไรวะเนี่ย นั่นพ่อมึงนะ”
“ไม่ใช่นะ พ่อเราไม่สบายจริงๆ เป็นหวัดหน้าร้อน” แบคฮยอนไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้น “เรา...เสียใจ”
“ถ้ามึงพูดอีกกูจะตบปากมึง”
“ชานยอลไม่ทำหรอก เราขอโทษนะ”

ไอ้เพื่อนคนนี้นี่มัน...เขาก็ไม่ทำจริงๆนั่นแหละ ให้ตายเถอะ

“...”
“เรารับคำขอโทษที่ชานยอลพูดไม่ดีนะ เราไม่โกรธ”
“เงียบ !” เขาเสียงดังเล็กน้อยเพื่อแสดงความหนักแน่น “พรุ่งนี้มึงจะกินนมไหม ?”
“กินสิ !”
“งั้นเลิกพูดเรื่องนี้ เข้าใจนะ” เขาไม่อยากพูดถึงแล้ว “ลืมมันไปซะ กูก็จะลืมเหมือนกัน”

ถึงแบคฮยอนจะตะคอกใส่เขา แต่การทำให้เพื่อนคนนี้ที่ดูแลมาตลอดต้องเสียน้ำตาเป็นลิตร มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมันชั่วใช้ได้เหมือนกัน

“เราจะลืมได้ยังไง เราพูดไม่ดีกับชานยอลนะ”
“กูจะเตะมึงแล้วนะ ไม่ล้อเล่นแล้วคราวนี้”
“เรา...ผิดทุกอย่างเลย ชานยอลพูดไม่ดีกับเราก็ไม่ผิดหรอกนะ เรามัน...อื้อออ ! อานออนอิดอากเอาอำไอออ อานออน !”

เขาเอามือปิดปากไอ้เตี้ยที่มันพูดไม่หยุด บอกยังไงมันก็ไม่ฟัง เอาแต่พูดอยู่นั่น ขอโทษกันร้อยรอบแล้วมั้งเนี่ย

“ถ้ามึงพูดว่าขอโทษเสียใจส้นตีนไรอีก กูจะไม่คุยกับมึงจนอายุยี่สิบ”
“อื้อ...”
“เข้าใจนะ ไม่พูดซ้ำแล้วนะ กูจะชกมึงหนึ่งทีแล้วเลิกคบมึงเลย”
“อื้ออออ”
“โอเค” เขาปล่อยมือออกจากการปิดปากแบคฮยอน คนที่เหมือนจะเหนื่อยเพราะพยายามสู้กับแรงของเขา
“ชานยอล...”
“เออ”
“ไปกินข้าวบ้านเราไหม แม่เราบอกเมื่อเช้าว่าจะทอดปลาไว้ให้”
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวแม่กูงอน ขี้เกียจง้อ”
“งั้นพรุ่งนี้เอาข้าวกล่องไหม เดี๋ยวเราทำมาให้นะ”
“ไม่เอา เดี๋ยวมึงก็มาบ่นอีกว่าเราอุตส่าห์ทำให้ชานยอลนะ ทำไมชานยอลต้องแกล้งเราด้วยล่ะ ขี้เกียจติดหนี้บุญคุณมึง” เขาจีบปากจีบคอทำเสียงตามแบคฮยอนที่ทำหน้าบึ้งเล็กน้อย เอามือฟาดแขนเขาเบาๆข้อหาล้อเลียน
“งั้น...ทำอะไรดีอ่ะ เราอยากไถ่โทษ”
“เอ๊ะ !”
“ไม่นะ เราไม่ได้พูดที่ชานยอลห้ามเลยนะ ชานยอลไม่ได้บอกว่าไถ่โทษพูดไม่ได้นี่” แบคฮยอนเอามือปิดปาก ส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“มึงหัดหัวหมอหรอฮะ ?!”
“เปล่านะ...แต่เราก็อยากเป็นหมอเหมือนกัน...”
“หยุดเลย เงียบ !” เขาประสาทจะกิน “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลามึงจะคุยจะไปไหนกับใคร ให้มาบอกกูก่อน กูไม่ให้ไปก็คือมึงห้ามไป เข้าใจ ?”
“เข้าใจ” แบคฮยอนยิ้มกว้าง “เราจะไม่ไปไหนเลย”
“เออ...”

เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดกันท่าแบคฮยอนไปแบบนั้น รู้ตัวด้วยว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนพูดกัน เพราะถ้าตรงนี้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนนี้ เป็นจงอินหรือเซฮุน คยองซูหรือจงแด เขาคงจะบอกให้มันคบใครก็คบ เจ็บแล้วก็ค่อยกลับมาให้ซ้ำเติม

แต่เขาก็พูดไปแล้ว...และก็ไม่คิดจะแก้ไขมันด้วย

“แล้วตกลงชานยอลไม่ไปกินข้าวบ้านเราจริงๆเหรอ ?”
“ไม่ไปโว๊ย แม่กูงอนมึงช่วยกูง้อไหมล่ะ ?!”










♥ ———————









“แบคฮยอน แลกโทรศัพท์กัน”
“อื้อ...” คนโดนสั่งยื่นโทรศัพท์ให้เขา เช่นเดียวกับเขาที่ยื่นของตัวเองไป “เราเล่นเกมได้ไหม ?”
“เออ เล่นไปเถอะ อย่าซื้ออะไรมั่วซั่วก็แล้วกัน”

ชานยอลหันกลับมานั่งตัวตรง สนใจโทรศัพท์ของแบคฮยอนที่อยู่ในมือ เขาได้ยินเสียงเกมจากโทรศัพท์ตัวเองดังมาเข้าหู ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวคงจะเล่นจริงๆ

“เอาอีกล่ะ เช็คโทรศัพท์อย่างกับเป็นแฟนกัน” จงอินหันหน้ามาล้อเขา ล้อทุกวันที่ทำแบบนี้
“เออ”
“อะไรนะ ?” คยองซูหันมามองด้วย “มึงพูดว่าอะไรนะ ?”
“กูตอบว่าเออ” เขามองหน้าเพื่อน “ตอบว่าไม่มึงก็ต่อไม่เลิก กูรำคาญ”
“ได้เหรอวะ ?” เซฮุนขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดก่อนจะคลายลง “ก็ได้แหละมั้ง ใครจะคุยกับแบคฮยอนมึงก็ขู่เค้าเหมือนหมา”
“พวกนั้นมันไม่จริงใจ”
“มึงจริงใจมากเลยสินะเพื่อน มึงมันยอดคนดีแดนเกาหลีใต้”

เขาเลื่อนดูตั้งแต่เบอร์โทรเข้าโทรออก มีเยอะที่สุดก็เป็นเบอร์เขาเอง พอไปดูข้อความก็เป็นของเขาเหมือนกันที่บทสนทนาถูกปักหมุดเอาไว้บนสุด เห็นแบบนี้แล้วมันก็ชื่นใจ ไม่มีใครเข้ามาทำอะไรไอ้เตี้ยก็ดีแล้ว ให้เขาแกล้งมันคนเดียวก็พอ

“เออ จะถึงวันงานโรงเรียนแล้วนะ ทำอะไรมาแลกกันดี” จงแดพูดถึงวันงานโรงเรียนที่ทำให้เขาถอนหายใจดังเฮือก

วันงานโรงเรียนนั้นเรียกได้อีกชื่อว่าวันสารภาพรัก คนในโรงเรียนจะนิยมเอาดอกไม้หรือขนมนมเนยสารพัดชนิดมาให้คนที่ตัวเองชอบ ได้สารภาพความในใจ เป็นแฟนกันคนที่ตัวเองชอบวันนี้ก็เยอะ แต่เขาไม่ค่อยชอบวันนี้เท่าไหร่เพราะต้องพะรุงพะรังหอบของกลับบ้าน จะไม่รับก็ไม่ได้เพราะว่ามันเป็นกฎ

แถมยังต้องมาคอยกันท่าไอ้เตี้ยจากผู้ชายบ้าๆที่ผู้หญิงมีตั้งเยอะไม่ชอบ มาชอบไอ้เตี้ยมันทำไม ไปชอบโอ้โดก็ได้ มันโสด !

เป็นเรื่องปกติที่กลุ่มเราชอบทำอะไรมาแลกกัน ทำแบบจริงจังเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนชอบกันเอง แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นคือทุกคนจะเขียนจดหมายให้กัน ที่จริงมันก็เป็นแค่โน้ตเล็กๆ มีแต่แบคฮยอนนั่นแหละที่เขียนยาวเป็นจดหมาย อ่านจนง่วงก็ยังไม่จบ

“เรากับชานยอลจะทำคัพเค้ก เพื่อนจะได้คนละสองชิ้นนะ” แบคฮยอนเล่นเกมไปพูดไป
“ช็อคบอล” คยองซูจองแล้ว “มึงทำไร ?”
“คุกกี้หัวใจ” จงแดทำอันนี้ทุกปี ไม่เคยเปลี่ยน
“ช็อคโกแลตคนละบาร์ละกัน กูไม่ทำเอง เน้นใช้เงิน” เซฮุนเลือกแล้ว “เอ้าตามึง ไอ้จงอิน”
“ข้าวปั้นได้ป่ะวะ เดี๋ยวกูปั้นให้คนละก้อน เลือกไส้ได้เลย” จงอินคิดไม่ออกแล้ว “เอาไส้ไรจดมา”

จงแดกับคยองซูเอาแซลมอน ส่วนเขา แบคฮยอน แล้วก็เซฮุนเลือกกุ้งเทมปุระ บอกว่าจะเอาตัวใหญ่เท่ามือ ข้าวที่ไอ้จงอินปั้นมาก็ต้องใหญ่เท่านั้น

เขานั่งฟังสิ่งที่เพื่อนพูด เป็นอีกปีที่เขาไม่ต้องคิดว่าจะทำอะไร ที่จริงมัน เป็นผลพวงมาจากปีแรกที่แบคฮยอนเพิ่งเข้ากลุ่มมาใหม่ๆ เจ้าตัวยังเกร็งกับการที่เราจะแลกของกันเพราะยังไม่สนิทกับทุกคนมากนัก เขาจึงช่วยเหลือด้วยการทำของคู่กับแบคฮยอน เวลาให้จะได้ไม่รู้สึกขัดเขิน พอมีปีแรกแล้วมันก็เป็นมาเรื่อยๆ เราก็เลยทำคู่กันมาตลอด

“ชานยอล วันนี้ไปซื้อของกันนะ เอามาเก็บไว้บ้านเรา บ้านเรามีเตาอบ”
“แน่สิ ก็แม่มึงทำขนมขาย ไม่มีเตาอบได้ไง”
“แม่เราทำคุกกี้ขาย ไม่ใช่ขนม”
“คุกกี้เป็นสับเซตของคำว่าขนม !” ชานยอลยังึงมีความรู้เรื่องคณิตศาสตร์อยู่ในหัว “มานี่ มาพูดใกล้ๆมือนี่ กวนประสาทเก่งจริงๆ”

แม่ของแบคฮยอนเปิดร้านคุกกี้ที่มีแต่คุกกี้จริงๆ มีทั้งแบบหน้าร้านและแบบออนไลน์ เป็นร้านเล็กสไตล์โฮมเมดที่คนเข้าคนออกไม่ขาดสาย ถ้าไปหน้าร้านก็มีเมนูนมกับชาหลากหลายรสให้เลือกสรร แต่ไม่มีกาแฟเพราะบ้านแบคฮยอนไม่กิน เขาเคยไปกินเหมือนกัน ยอมรับว่ามันอร่อยมากๆ แต่อยู่นานก็เมากลิ่นคุกกี้เหมือนกัน

“ตกลงชานยอลไปซื้อของนะ วันนี้เอาเงินมาเยอะไหม ?”
“เออ ไปก็ไป”
“แล้วเงินล่ะ ?”
“มี กูมีเงินจ่ายให้มึงก่อนเพราะมึงพกเงินมาแค่สองพันวอน กลัวหมูที่บ้านผอม กูมี !”
“โอเค งั้นเดี๋ยวรดน้ำน้องเขือเสร็จแล้วไปเลยนะ แม่เราวาดแผนที่ร้านมาให้แล้ว”

ถามว่าเพื่อนงงไหมที่มันสองคนสนิทกัน ก็ต้องตอบได้ว่างงมากๆ ตั้งแต่ไอ้ชานยอลลากเข้ามาอยู่กลุ่มด้วยจนมาถึงวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ แต่อยู่ด้วยกันได้ก็ดี ไม่มีคนทนปากหมาๆอย่างไอ้ชานยอลได้เหมือนแบคฮยอนแล้ว ไม่สิ...อย่าใช้คำว่าทน เพราะแบคฮยอนดูฟังมันได้รื่นหูเหมือนเป็นเพลงบัลลาด

แถมยังยิ้มแย้มตอบกลับเสียงดังๆของชานยอลได้หน้าตาเฉยอีกด้วย

“ไปแล้วน้า วันจันทร์เจอกันพร้อมคัพเค้กเลย” แบคฮยอนยิ้มแย้มแจ่มใส โบกไม้โบกมือให้เพื่อนอีกสี่คน
“มึงนี่ลีลาจัง เสร็จยัง ?!”
“เสร็จแล้วๆ” แบคฮยอนสะพายกระเป๋าเรียบร้อย “ชานยอลไม่ลาเพื่อนหรอ ?”
“ก็รอมึงอยู่เนี่ย พูดมาก” เขาผลักหัวแบคฮยอนเบาๆก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับเพื่อน “ไปนะ”

ระหว่างทางไปแปลงเกษตร แบคฮยอนก็พูดเรื่องรสชาติคัพเค้กที่จะทำไม่หยุด เลมอนเมอแรงค์อะไรเนี่ยเขารู้จักแค่เลมอน ส่วนแบล็คเรสต์อะไรนี่ทำเขาหงุดหงิดจนบอกให้แบคฮยอนเปลี่ยนภาษาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเขาจะต่อยปากข้อหาพูดจาไม่รู้เรื่อง ก่อนจะได้ความว่ามันคือเค้กช็อคโกแลตที่มีไส้แยมอะไรไม่รู้ข้างใน ก่อนจะตามมาด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อนน่าจะชอบอะไรแบบนี้มากกว่าสตรอว์เบอร์รี่หรือวานิลลา

“แล้วมึงล่ะ ?”
“เราทำไมเหรอ ?”
“มึงชอบกินรสอะ—ไม่ๆ ให้กูเดา” เขาพยายามนึกจากทุกสิ่งที่แบคฮยอนทำ คนที่เดินอยู่ข้างๆเขาก็ยิ้มลุ้นเหมือนกันว่าเขาจะทายถูกรึเปล่า “นม...สด”
“อื้อ...”
“มึงชอบกินเค้กนมสด คุกกี้นม ใช่ไหม ?”
“ใช่เลย” แบคฮยอนยิ้มกว้าง “จำได้ด้วยเหรอ ?”
“ได้ดิ ก็เห็นแดกอยู่นั่น จำไม่ได้ก็ขี้เลื่อยแล้ว ที่อยู่ในหัวเนี่ย”
“แต่คยองซูเคยบอกว่าหัวชานยอลไม่มีอะไรเลยนี่...”
“เดี๋ยวเถอะมึง !”
“ล้อเล่นหน่า รดน้ำน้องเขือนะ ไม่โมโหนะชานยอลนะ”

จากรดน้ำมะเขือเทศเขาก็ต้องไปที่ร้านขายของเกี่ยวกับพวกเบเกอรี่ จากสิ่งที่แบคฮยอนพูดนั้นทำให้เขาได้รู้ว่ามันเป็นร้านที่แม่ของแบคฮยอนซื้อของอยู่ด้วยเป็นประจำ แบคฮยอนบอกว่าเจอพี่จียูลลูกสาวเจ้าของร้านทุกอาทิตย์เลยเพราะเขาเอาของมาส่งที่บ้าน ดูจากแผนที่ที่แม่ของแบคฮยอนวาดมาให้มันก็ไม่ได้ไปยากเย็นอะไรเลย เพราะมันตั้งอยู่หลังห้างสรรพสินค้าที่เขาไปซื้อของกับแม่บ่อยๆ พอออกจากโรงเรียนเขาเลยพาบยอนแบคฮยอนขึ้นรถประจำทางเพื่อตรงไปที่ห้างนั้น แล้วจะพาเดินเลาะไปด้านหลังเพื่อไปที่ร้านขายของที่เป็นจุดหมาย

ที่จริงแล้วมันก็ซื้อที่มาร์เก็ตที่อยู่ชั้นใต้ดินของห้างได้ แต่แบคฮยอนบอกว่าร้านขายของแบบนี้จะขายราคาถูกกว่า เป็นของในราคาส่ง และที่แม่ของตัวเองมาซื้อนั้นก็เป็นราคาส่งที่ลดลงไปอีก ขนมของร้านแม่แบคฮยอนเลยไม่แพงเลยสำหรับคุกกี้ที่ใช้วัตถุดิบดีๆในการทำแบบนี้

ส่วนตัวเขาชอบคุกกี้แมคคาเดเมียช็อคโกแลตชิพ ส่วนแม่ของเขาชอบแครนเบอร์รี่ ส่วนพ่อนั้นชอบซีตรัส บอกว่ากินแล้วมันสดชื่น ไม่หนักเหมือนคุกกี้ทั่วไป

ส่วนแบคฮยอนชอบนม นมคือทุกอย่างในชีวิตของบยอนแบคฮยอน

“แป้งหนึ่งถุง แล้วก็น้ำตาล...ชานยอลหยิบน้ำตาลบนนู้นให้หน่อย” แบคฮยอนชี้มือไปยังชั้นสูงๆที่เขาเอื้อมมือไปหยิบน้ำตาลที่เขียนอยู่ข้างหน้าว่าน้ำตาลทรายเกล็ดละเอียดสำหรับทำขนม
“ทำไมมึงไม่เอาของที่บ้านทำวะ จะได้ไม่ต้องมาซื้อ เดี๋ยวกูจ่ายเงินให้”
“ไม่ได้หรอกนะ แม่เราสั่งของมาทำคุกกี้อ่ะ ถ้าเอามาใช้มันจะทำไม่พอขาย”
“อ๋อเหรอ...” เขาเข็นรถตามแบคฮยอน “มันยากไปไหมเนี่ย กูทำไม่เป็นนะ”
“เราก็ไม่เคยได้ทำอ่ะ เดี๋ยวก็ตะโกนเรียกแม่อยู่ดี”

พอแบคฮยอนพูดแบบนั้นเราก็หันมาหัวเราะใส่หน้ากันเพราะมันคือเรื่องจริง ปีที่แล้วทำบรูคกี้ที่เป็นลูกผสมระหว่างบราวนี่กับคุกกี้ไปให้เพื่อน บอกว่าเราตั้งใจทำกันมาก ทั้งที่ความจริงแม่แบคฮยอนเป็นคนทำให้เกือบหมด พวกเขาทำกันแค่ช่วยกันเตรียมของให้เท่านั้น เพราะว่าพวกเขายังมีความสามารถไม่พอที่จะทำ ทำไม่ได้จริงๆ พอเอาไปให้เพื่อนก็ช่วยกันโม้อย่างยิ่งใหญ่ ชานยอลเทแบคฮยอนผสม เอาเข้าเตาอบ โอ้โห เหนื่อยมากเลยนะ แต่เพื่อเพื่อนเราทำได้

ถึงจะต้องมาซื้อของแต่ว่าก็ไม่ได้ถึงขนาดต้องซื้อทุกอย่าง อย่างเบคกิ้งโซดาหรือผงโกโก้ก็ไม่ต้องซื้อ แต่ไข่เราต้องซื้อเพราะว่าใช้เยอะ ซื้อแบบยกแพ็คขนาดสิบฟอง แบคฮยอนบอกเขาว่าไม่รู้ว่าจะพอรึเปล่า แต่ถ้าขาดเหลือก็ไปยืมแม่มาก่อน เอาไว้ค่อยคืนทีหลัง

“แล้วมะนาวอ่ะ ?”
“อ๋อ เราให้แม่ซื้อให้แล้ว ตอนนี้น่าจะเรียบร้อยอยู่ในตู้เย็นที่บ้าน”
“เออ มึงเช็คของละกัน ขาดอะไรกูไม่มาซื้อให้นะ มึงมาคนเดียวเลย”
“ไม่ขาด เราจดเอาไว้แล้ว” แบคฮยอนมีสมุดจดอยู่ในมือ เขียนเอาไว้ทุกอย่างว่าต้องซื้ออะไรบ้าง “คืออันนี้เราจะทำสำหรับหกชิ้นนะ ของแต่ละรสอ่ะ”
“เออ แล้วแต่มึงเถอะ” เขาไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ตามใจแบคฮยอนก็แล้วกัน ให้มันเหนือกว่าเขาในเรื่องนี้ก็ไม่คิดว่าจะเสียเซลฟ์อะไรเท่าไหร่ “มึงไม่ซื้อของไปทำรสนมด้วยล่ะ ที่มึงชอบกิน ?”
“...เอาแบบนั้นเหรอ ?”
“เออดิ กูก็ต้องให้มึงด้วยไหม รสนมมึงเนี่ย หรือมึงเอานมอัดเม็ดก็พอ เดี๋ยวกูซื้อให้”
“เราเอาคัพเค้กแล้วก็เอานมอัดเม็ดด้วยได้ไหม ?”
“ชาติหน้ามึงก็ไม่ผอมอ่ะแบคฮยอน กินยังกับช้าง หมูก็ยังแพ้มึง”
“ไม่จริงสักหน่อย เรากินข้าวน้อยกว่าชานยอลอีก อย่างงั้นชานยอลก็เป็นช้างยักษ์แล้ว”
“มึงมาให้กูเตะเลยนะ !”
“ไม่เอา !”

กว่าจะเลือกของกันเสร็จ เช็คของว่าครบรึยังฟ้าข้างนอกก็บ่งบอกถึงเวลาโพล้เพล้ที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน เขาเสียเงินไปหลายหมื่นวอนกับค่าของวันนี้ โดยมีบยอนแบคฮยอนยิ้มแป้นบอกว่าพรุ่งนี้เดี๋ยวเราเอาเงินให้นะ แล้วก็พรุ่งนี้ที่บ้านเราบ่ายโมงด้วยนะชานยอล

“กลับไง ?” เขาถามแบคฮยอน ของพะรุงพะรังเต็มมือ “เดี๋ยวกูนั่งแท็กซี่ไปส่ง ของมันเยอะ”
“โอเค...” แบคฮยอนตอบรับความเป็นห่วงของเขา “แล้วชานยอลจะกลับยังไงล่ะ ?”
“ก็เดี๋ยวเดินออกจากซอยบ้านมึงมารอรถ ไม่ลำบากหรอก”
“จริงๆนะ”
“เออ หน้ากูดูเหมือนคนชอบโกหกมึงรึไง ไปเรียกแท็กซี่ได้แล้ว กูหนัก”

เขาพอจะรู้ว่าแบคฮยอนไม่ค่อยชอบนั่งแท็กซี่เท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวเคยดูหนังที่มีการปล้นในแท็กซี่แล้วความกลัวมันฝังใจ ให้นั่งคนเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้ามีใครมาด้วยแบบที่เขามาด้วยตอนนี้แบคฮยอนก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นห่วงนะ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไง เขาเลยเอามือของตัวเองไปทับมือของแบคฮยอนเอาไว้ท่ามกลางถุงพลาสติกที่ใส่ของทำขนมเอาไว้ แบคฮยอนเองก็หันมายิ้มให้เขาในแบบที่ชอบทำมาตลอด ขยับปากพูดกับเขาว่า ‘ขอบใจนะ’

เขาเองก็ทำแค่พยักหน้ากลับไปเพราะฟอร์มเยอะ ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างรถแท็กซี่ คิดถึงวันนั้นที่เราทะเลาะกันแรงๆครั้งแรก

ถ้าเขามันโง่ไม่ยอมลดทิฐิของตัวเองลงไป ไม่รู้ว่าแบคฮยอนจะเป็นยังไง จะร้องไห้ตอนไปรดน้ำไอ้เขืออีกไหม กลับบ้านคนเดียวเป็นยังไง ตอนกลางคืนไม่มีคนคุยตอนทำการบ้านเหงารึเปล่า ตอบคำถามการบ้านวิชาเคมีไม่ได้จะถามใคร แล้วจะหลับฝันดีไหมถ้าเขาไม่ได้บอกว่าฝันดีนะ

ถ้าเกิดมันบอกว่าไม่ต้องห่วงอีกเขาจะเตะมันจริงๆด้วย แล้วก็จะบอกให้มันหุบปาก เพราะว่าคนอย่างเขาไม่มีทางเลิกห่วงแบคฮยอนได้หรอก









♥ ———————








“ชานยอลทำไมมาช้าตั้งสิบนาที เราโทรไปก็ไม่รับ” แบคฮยอนยืนกอดอกอยู่ฝั่งเคาท์เตอร์ด้านใน ส่วนเขานั้นอยู่ด้านนอก
“รถมันติด” เขากอดอกสู้แบคฮยอน ทำมาเป็นหน้าบึ้งใส่เขา “มึงมันก็นั่งรอเฉยๆ รอหน่อยไม่ได้ไง ?”
“ก็เรากลัวชานยอลจะไปตกรถเมล์ที่ไหน...”
“กูไม่ใช่มึง !”
“เข้าไปข้างในดีกว่า ไปเตรียมของกันนะ” แบคฮยอนเปิดประตูเคาท์เตอร์ให้เขาเข้าไปด้านใน บอกเขาว่าไปสวัสดีคุณแม่กันนะ ส่วนคุณพ่อไปทำงานแล้ว “ชานยอลร้อนไหม ?”
“นิดหน่อย” เขาไม่ได้ลำบากอะไรเท่าไหร่นัก ได้แต่เดินตามแบคฮยอนเขาไปในบ้าน ไปเจอคุณแม่ที่เดินสวนออกมาพอดี “แม่ครับ สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะชานยอล” คุณแม่คุ้นเคยกับเขาดี “ตามสบายเลยนะ เดี๋ยวแม่ไปดูร้านก่อน มีอะไรให้แบคฮยอนวิ่งมาตามเลยนะ”
“แม่ห้ามออกไปไหนนะ ต้องมีปัญหาแน่ๆ” แบคฮยอนคิดว่าตัวเองจะทำไม่ได้ “นะแม่นะ”
“ไม่ไปหรอก ตั้งใจทำล่ะทั้งคู่ ถาดคัพเค้กแม่เตรียมไว้ให้แล้วนะ อย่าทำครัวเลอะล่ะ”

ครัวของบ้านแบคฮยอนเป็นเหมือนที่เขาเคยเห็นเมื่อปีที่แล้วไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย เป็นครัวที่มีเคาท์เตอร์ฝั่งหนึ่งเป็นเหล็ก แบคฮยอนบอกเขาว่าเป็นที่ที่แม่ใช้นวดแป้งทำขนม เขาเองก็สำรวจครัวไปเรื่อยตามสไตล์ รอแบคฮยอนที่ไปหยิบชามนั่นชามนี่มาเตรียมไว้ รวมถึงยกเครื่องตีเครื่องใหญ่ๆมาตั้งไว้บนเคาท์เตอร์ เขาเองก็เข้าไปช่วยบ้างเวลาเห็นไอ้เตี้ยมันแบกอะไรที่ใหญ่เกินตัว

“แป้งเอนกประสงค์หกสิบ...ชานยอลเทเยอะเกินแล้ว !”
“มึงจะเสียงดังทำหมูอะไร ตักออกสิวะ” เขายื่นช้อนให้แบคฮยอนตักมันให้พอดีกับหกสิบกรัม ตอนนี้เรากำลังตวงนั่นตวงนี่ให้พร้อมก่อนแล้วค่อยมาทำกันต่อ “น้ำตาลเท่าไหร่ ?”
“เก้าสิบ...นิดๆ พอแล้วพอ” แบคฮยอนบอกเขาที่เทน้ำตาลใส่เครื่องชั่งของแม่แบคฮยอน “เดี๋ยวเราทำเนยละลายก่อน ชานยอลตอกไข่ฟองนึงแล้วก็ไข่แดงฟองนึงนะ”
“ไม่เอา มึงไปทำ เดี๋ยวกูละลายเนย กูทำเก่ง”
“ชานยอลแยกไข่แดงไม่เป็นต่างหาก”
“อยากทำคนเดียวไง ? นี่กูขู่มึงแล้วนะ”
“ห้าสิบกรัมนะชานยอล อันนี้ถ้วยเอาเข้าไมโครเวฟ” แบคฮยอนเดินหนีไปเปิดแพ็คไข่ ส่วนเขานั้นเอากระดาษไขวางบนที่ชั่ง ตัดเนยแล้วชั่งให้ได้ห้าสิบกรัม ก่อนจะเอาใส่ถ้วยแล้วเอาเข้าไมโครเวฟ กดความร้อนเจ็ดร้อยด้วยเวลาครึ่งนาที จากนั้นเขาก็เอาช็อคโกแลตมาละลายต่อตามคำสั่งของคนที่ใช้เวลาแยกไข่แดงออกจากไข่ขาวมาห้านาทีแล้ว
“อันนี้อะไรวะ ?” เขาหยิบขึ้นมาดู “กลิ่นวานิลลา...แยมราสบ์เบอร์รี่”
“เราจะสอดไส้แยมเอาไว้ตรงกลาง แค่คิดก็น่ากินแล้วนะชานยอล”
“มึงคิดไปเองคนเดียวรึเปล่า มึงถามคนอื่นยัง ?”
“ชานยอลอ่ะ”
“ไม่ต้องมาเออะอ่ะ แยกไข่ได้รึยัง กูไม่อยู่รอมึงถึงเที่ยงคืนนะ”
“ได้แล้ว !” แบคฮยอนแยกไข่เรียบร้อย “เราถามแม่แล้ว แม่เราบอกให้ทำอันนี้แล้วค่อยแยกเป็นสองถ้วย ทำสองอย่าง”
“งั้นเดี๋ยวกูคั้นเลมอนก่อน มึงรอแปปนึง” เขาหันไปหยิบเลมอนออกจากถุง ผ่าครึ่งแล้วบีบมันใส่ถ้วยที่แบคฮยอนเอามาให้ “แล้วนมสดมึงอ่ะ ไม่ทำไง ?”
“เอ้อ เราลืมเลย” แบคฮยอนยิ้มเผละๆ “เราทำกันทีหลังได้ไหม ชานยอลรีบกลับรึเปล่า ?”
“รีบ อีกห้านาทีกูกลับล่ะ”

แบคฮยอนทำหน้าบึ้งก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นการร้องโอ๊ยเพราะเขาเอามือไปบีบปาก

เราวอร์มเตาอบที่อยู่ใต้เคาท์เตอร์ด้วยอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ก่อนจะหันมาตีน้ำตาลกับเนยที่ตวงไว้ให้เข้ากันจนกลายเป็นครีม จากนั้นเราก็เติมไข่ที่เตรียมไว้ แป้ง เกลือ เบคกิ้งโซดา ครีมเล็กน้อย เราก็แบ่งมันออกเป็นสองส่วน เถียงกันอยู่สิบนาทีว่ามันเท่ากันรึยัง หยุดเถียงกันได้เพราะหันไปเห็นตาชั่ง ไม่รู้ว่าจะมายืนเถียงกันทำไม เอาไปชั่งน่าจะง่ายกว่ามาทะเลาะกันแบบนี้

พอแยกเสร็จเราก็ทำส่วนที่เป็นแบล็คฟอเรสต์ก่อนด้วยการเทผงโกโก้ลงไป ส่วนอันที่เป็นเลมอนเราก็เติมน้ำที่คั้นเอาไว้ จากนั้นก็เอาไปเทใส่พิมพ์ที่แม่ของแบคฮยอนเตรียมเอาไว้ให้

“เราว่าชานยอลใส่เยอะเกินไปอ่ะ”
“นี่มึงกวนตีนกูเหรอ กูบอกให้มึงตักออกไง กูจะต่อยมึงแล้วนะ”
“ก็เราไม่มีช้อน”
“แล้วมึงกินข้าวยังไง !”
“เออใช่ เดี๋ยวเราหยิบช้อนก่อนนะ”

จากนั้นคัพเค้กทั้งสองถาดก็เข้าไปอยู่ในเตาอบ อีกยี่สิบนาทีถึงจะออกมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้มีเวลาเล่นเลย เพราะแบคฮยอนบอกว่าเราต้องมาทำเลมอนเคิร์ด ทำเมอแรงค์ ทำไอซิ่ง

“อะไรของมึง ทำไมทำเยอะจังวะ”
“มันก็ต้องเยอะสิ ตอนเราพูดให้ฟังเมื่อวานทำไมชานยอลไม่ขัดเราล่ะ มาบอกตอนนี้มันจะทันอะไร”
“ก็กูฟังไม่รู้เรื่อง เคิร์ดแรงค์ๆอะไร ภาษาคนรึเปล่า ?!”
“ชานยอลไปคั้นน้ำเลมอนเลย เดี๋ยวเราจะแยกไข่สี่ฟอง”
“งั้นกูคงไม่ต้องรีบอ่ะ อีกชั่วโมงค่อยคั้นก็น่าจะทันมึง”
“ดูถูกมากๆ ฟองเดียวเราใช้สิบนาทีเอง สี่ฟองก็แค่สี่สิบ ชานยอลบวกให้ทำไมตั้งยี่สิบนาที”
“เพราะมึงจะทำไข่แดงแตกไปฟองนึง”

แล้วแบคฮยอนก็ทำแตกจริงๆในใบที่สอง เจ้าตัวร้องเสียงดังให้เขาช่วย ก่อนจะน้ำตาคลอเบ้าบอกว่าไข่ขาวมันจะไม่ตั้งยอดนะ เขาเลยบอกว่านั่นมันปัญหาของไข่ขาว ช่วยตักไข่แดงออกให้แล้ว ไม่เหลืออยู่ในไข่ขาวแล้ว ถ้ามึงร้องไห้จะกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย แบคฮยอนถึงได้ตั้งใจทำต่อ มีเขาที่คั้นน้ำเลมอนเสร็จแล้วมายืนอยู่ข้างๆ คอยบอกว่าใจเย็น ไม่เป็นไรหรอก ทั้งๆที่เขาก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน

แบคฮยอนบอกว่าให้ทำเคิร์ดก่อนเพราะต้องทิ้งให้เย็น ต่อด้วยไอซิ่งแล้วก็เป็นเมอแรงค์ ไอ้เลมอนเคิร์ดอะไรนี่คือการเอาไข่แดง น้ำตาล น้ำเลมอนตั้งไฟ เขาก็ได้แต่คนๆไปตามที่แบคฮยอนสั่ง ยกลงตอนที่แบคฮยอนบอกว่าได้แล้ว ไม่รู้ว่ามันดูยังไงว่าแบบนี้ได้ไม่ได้ แต่แบคฮยอนก็บอกว่าจะเอาใส่ถุงบีบแล้วแช่ตู้เย็น ให้เขาไปชั่งน้ำตาลไอซิ่ง

“มึงก็ดูทำเป็นเหมือนกันนะ” เขารู้สึกว่าวันนี้มันไม่ได้ออกมาเละอย่างที่เคยเป็น
“เราทำแจกเด็กเมื่อวันเด็กอ่ะ ก็เลยได้ทำมาบ้าง แต่วันนั้นทำวานิลลา ไม่ได้ยากเท่าไหร่”
“อ๋อ จำได้แล้ว ที่มึงบอกว่าทำเสียไปตั้งสองถาด” เขาจำได้ว่าแบคฮยอนเคยเล่าให้ฟังแล้ว เจ้าตัวบ่นใหญ่จนเขาเถียงไม่ทันเลยได้แต่นั่งฟังอย่างเดียว
“ไปเอาน้องเค้กออกดีกว่า ไปดูกัน”

แบคฮยอนมาพร้อมกับไม้จิ้มฟันและถุงมือกันความร้อน เจ้าตัวดึงถาดออกมาแล้วจิ้มไม้ลงไปบนเค้กก่อนจะบอกเขาว่าสุกแล้ว ให้เขาใส่ถุงมือแล้วยกถาดที่เป็นช็อคโกแลตออกมาด้วย

ทำขนมนี่มันยากจริงๆนะ เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย สมัยที่ยังไม่รู้จักกับแบคฮยอน เขาซื้อของไปแลกมากกว่า มานั่งทำอะไรแบบนี้ไม่มีหรอก ลำบากชีวิต แล้วที่จริงเขาก็ไม่ต้องตกลงทำต่อก็ได้ หรือจะบอกให้ทำอย่างอื่นก็ได้อีก แต่ดวงตาเป็นประกายกับสีหน้ามุ่งมั่นนั้นก็ทำเขาขัดมันไม่ลง ได้แต่คิดว่าจะมาคิดบัญชีทีหลังก็แล้วกัน

การตีไอซิ่งนั้นก็เหมือนยืนดูเครื่องมันตี เทนั่นเทนี่ปรับความเร็วเครื่อง แต่ประเด็นคืออันนี้เป็นอันที่แบคฮยอนไม่รู้ว่าแบบไหนคือมันได้แล้ว เลยให้เขายืนเฝ้าเครื่องส่วนตัวเองไปตามแม่ให้มาดูว่ามันเป็นยังไงบ้าง แม่ของแบคฮยอนมาพร้อมกับคำถามว่าเขาจะกินอะไร แม่จะได้ให้คนยกมาให้ จะตอบว่าไม่มันก็คงเสียน้ำใจผู้ใหญ่ เขาเลยบอกว่าขอคุกกี้แมคคาเดเมียช็อคชิพกับนมไวท์มอลต์ ส่วนแบคฮยอนบอกแม่ว่าอยากกินด้วย ให้พี่ยองจีเอามาให้แบคฮยอนด้วยนะ

เรานั่งกินขนมกันก่อนเพราะแบคฮยอนบอกว่าเมอแรงค์เอาไว้ตีตอนจะทำเลยทีเดียว เราเลยมีเวลาว่างมานั่งกินคุกกี้ ดื่มนมชมวิวหลังบ้านของแบคฮยอนที่มีผ้าตากเอาไว้เต็มราว

“มึงใส่กางเกงในสีชมพูด้วยเหรอ ?”
“ใครก็ใส่กางเกงในสีชมพู ชานยอลไม่มีก็ไปซื้อนะ”
“ไม่เอาด้วยหรอก เดี๋ยวเหมือนมึง มีคนเดียวก็พอแล้ว ลำบากเพื่อนร่วมโลก”
“ไม่จริงหรอก คยองซูเคยบอกเราว่าเราน่ารัก เป็นแบบนี้ไปนานๆนะ”
“ไม่ได้การล่ะ ถ้ามันมาสารภาพรักกับมึงมึงปฏิเสธเลยนะ ไอ้โดมันขาโหด มันซ้อมมึงมึงไม่รอดหรอก”
“ชานยอลก็ไปว่าเพื่อน” แบคฮยอนหัวเราะจนสำลักนม “คยองซู...แนะนำเราตั้งเยอะ”
“แนะอะไร ?”
“ก็เรื่องทั่วไป เล่าไม่หมดหรอก เยอะมากเลย” แบคฮยอนกัดคุกกี้คำโต ยิ้มตาหยีใส่เขาที่ไม่ได้อยากจะเซ้าซี้ต่ออะไร รู้อยู่ว่ามันก็แนะนำกันตามประสาเพื่อที่หวังดี เขากับแบคฮยอนเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน

พอเสร็จจากการนั่งกินคุกกี้ แบคฮยอนก็บอกว่าจะพาเขาทำนั่นทำนี่ เอาเข้าจริงเขาก็ฟังมันผ่านไปอย่างนั้น เพราะการไปยืนมองเครื่องมันตีส่วนผสมโดยที่เขาไม่รู้อะไรเลยนี่มันก็น่าเบื่อเหมือนกัน สิ่งที่เขาทำจึงกลายเป็นการหากระดาษไขมาวางบนเครื่องชั่ง ก่อนจะเทแป้งลงไปตามน้ำหนักที่เขาคิดเอาไว้ในใจของตัวเอง

“ชานยอลจะทำอะไร เราต้องทำเมอแรงค์นะ !”
“เค้กมึงไง อยากกินไหมล่ะ ?” เขาตวงนั่นตวงนี่ พอได้ทำรอบนึงแล้วมันก็ดูเหมือนจะทำได้ไปโดยปริยาย “หรือว่าไม่เอา จะได้เลิกทำ”
“เอาสิ !” ตาเป็นประกายกลับมาให้เขาเห็นอีกครั้ง “ชานยอลจะทำให้เรา...ทำแบบทำคนเดียวหรอ ?”
“เออ มันก็ต้องทำให้มึงด้วยก็ถูกแล้วหนิ มึงก็อย่าลืมทำอะไรให้กูนะ วันจันทร์มามือเปล่ากูสั่งซ้อมมึงแน่”
“ได้เลย เราจะตั้งใจทำให้ชานยอลนะ วันจันทร์เราจะเอาไปเซอร์ไพรส์ !”

เขาไม่ได้ตอบอะไรนอกจากชั่งนั่นชั่งนี่ไปเรื่อยๆ ส่วนแบคฮยอนก็ผละมือจากสิ่งที่ทำอยู่ไปยกนมสดในตู้เย็นมาให้เขา บอกว่าให้เขาใส่นมผงเข้าไปด้วย เพราะลำพังนมสดอย่างเดียวมันไม่ได้ทำให้ขนมหอมกลิ่นนมเท่าไหร่ แต่จริงๆเขาก็แค่เตรียมของแล้วมาช่วยแบคฮยอนดูเมอแรงค์ตั้งยอดต่อ เขาไม่รู้หรอกว่าตั้งไม่ตั้งอะไรนั่นเป็นแบบไหน แต่พอเห็นแบคฮยอนทำหน้าดีใจ เขาเลยรู้ว่ามันได้ที่แล้วก็เป็นไปตามที่แบคฮยอนอยากให้เป็นแล้ว

“ชานยอลดูสิ !”
“เออ เห็นแล้ว”
“เนี่ยๆ มันเป็นแบบนี้เลยนะ !”
“เออ กูบอกว่ากูเห็นแล้ว !”
“โอ๊ย ชานยอลอย่าล็อคคอเรา เดี๋ยวมันหัก”
“เว่อร์ กูคงหักคอมึงไม่ได้ง่ายๆหรอก ไขมันคงช่วยชีวิตมึงไว้
“ชานยอลอ่ะ”

แขนข้างนึงของเขากอดคอแบคฮยอนไว้ ใบหน้าเขาตรงส่วนคางนั้นชิดกับส่วนขมับของคนที่กำลังบรรจงเอาไส้แยมที่ทำเตรียมไว้บีบใส่คัพเค้กช็อคโกแลต รวมถึงเคิร์ดมะนาวที่เย็นตัวดีแล้ว เจ้าตัวก็เอามันมาบีบด้วย เตรียมนั่นเตรียมนี่ทั้งที่เขาล็อคคอเอาไว้อยู่ก็คงไม่สบายนัก แต่แบคฮยอนก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยที่เขาทำแบบนี้

ทำเหมือนมัน...ปกติด้วยซ้ำ

นี่เขาคิดอะไรของเขาเนี่ย ไม่ได้นะ

“มึงชอบทำขนมไง ?” เขาชวนไอ้เตี้ยคุย ถือว่าได้เปลี่ยนความคิดด้วย
“ก็ชอบนะ เราเห็นแม่ทำแล้วเราก็อยากทำด้วย”
“แล้วเรียนหมอมึงอ่ะ ?”
“จริงๆแล้วเราอยากเรียนหมอฟัน เผื่อใครกินขนมของแม่แล้วฝันผุจะได้มาหาเรา” เสียงหัวเราะเล็กๆทำเขายิ้มออกมาได้ “ชานยอลไปเรียนหมอฟันกับเราไหม ?”
“ไม่รู้ดิ ยังไม่ได้คิดเลยว่าอยากเรียนอะไร” เขาพูดกับแบคฮยอน “ไม่อยากเอาเรื่องที่ชอบมาทำให้จริงจังว่ะ ถ้าวันนึงเกลียดขึ้นมาคงจะเสียใจ”
“ค่อยๆคิดก็ได้ แต่ยังไงต้องมาเรียนที่เดียวกับเรานะ”
“...”
“ถ้าไม่มีชานยอล...เราคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ”
“ขี้โม้แล้วมึง กูเห็นมึงจิ๊จ๊ะกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว”
“ไม่จริงสักหน่อย ชานยอลอย่ามากล่าวหาเรานะ โอ๊ย เดี๋ยวพุงเราเขียว !”
“เออ ให้มันเขียวไปเลย จงแดมันพกยาหม่องมาทุกวัน ไปขอมันทาเอาก็แล้วกัน” เขาละมือออกจากการล็อคคอรวมถึงการหยิกพุงแบคฮยอน เอาอ่างผสมไปล้างเพื่อเตรียมตีส่วนผสมคัพเค้กรสนมให้แบคฮยอน ส่วนคนที่ตั้งใจมากๆในวันนี้นั้นก็กำลังบีบครีมตกแต่งลงไปบนคัพเค้ก บีบเสร็จก็หันมาอวดเขาว่ามันสวยไหม พอเขาตอบไปว่าไม่ได้เรื่อง มันก็ยิ้มเหมือนเขาชมว่าสวยมาก ก่อนจะหันไปบีบอันต่อไปแล้วก็หันมาอวดเขาอีก เป็นแบบนี้ทั้งสิบสองอันที่มันทำ

“เดี๋ยวเราเอาไว้แบบนี้ก่อนนะ เรื่องตกแต่งอะไรเดี๋ยวเราจัดการเองวันอาทิตย์”
“เออ แล้วแต่มึงเถอะ มึงเอาไข่มาใส่ดิ้ มันต้องใช้เท่าไหร่วะเนี่ย” เขามองเค้กในอ่างผสมที่ไม่รู้ว่ามันจะกินได้ไหม “มึงว่าไงไอ้เตี้ย ?”
“ก็ดีแล้วนี่ ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลย” แบคฮยอนเอาไข่มาใส่ให้เขา “ทำดีแล้ว เยี่ยม !”
“วอร์มเตาให้กูด้วย เดี๋ยวกูใส่นมผงก่อน กูลืม”
“ได้เลย !”

แบคฮยอนวอร์มเตาให้แล้วมายืนอยู่ข้างเขาเพื่อดูคัพเค้กที่เขาทำให้ เจ้าตัวบอกว่าเดี๋ยวบีบวิปครีมแทนน้ำตาลตกแต่งแล้วเอาซอสราดก็เรียบร้อย เขาเทส่วนผสมลงไปในถาดที่แบคฮยอนเตรียมเอาไว้ให้ตั้งแต่ตอนที่เขายืนขมวดคิ้วอยู่กับปริมาณนมที่ต้องใส่ เทมันลงไปสองในสามส่วนของพิมพ์ขนม เคาะๆให้มันพอดีกันก่อนจะเอาไปเข้าเตาอบ

โดยที่เจ้าของบ้านลงไปนั่งอยู่ที่พื้น มองคัพเค้กที่เขาทำด้วยแววตาสดใส

“หน้ามึงนี่มันทุเรศจริงๆ”
“เรามีความสุขนี่หน่า” แบคฮยอนมองเค้กในเตาตาไม่กะพริบ “เราจะไม่ลืมเลยว่าชานยอลทำเค้กให้เรา”
“มึงปัญญาอ่อนรึไงเนี่ย กูทำได้มากกว่านี้อีก มึงมันไม่เคยจะรู้สำนึก”
“เรารู้ !”
“รู้อะไร รู้ว่าคุกกี้ต้องกินกับนมแล้วรู้อะไรอีก มึงไม่รู้แล้ว !”
“เรารู้ !” แบคฮยอนเถียงสู้ “ว่าคุกกี้ก็กินกับชาได้ !”
“เออ เอาเถอะ แล้วแต่มึงเลย” เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเพื่อนที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ของในเตาอบเหมือนเดิม
“ปีนี้น่ะ...เราเขียนจดหมายให้ชานยอลสิบหน้ากระดาษรายงานเลยนะ”
“ฉิบหาย มึงส่งสารคนอ่านบ้างสิ !”
“ชานยอลอ่านวันละหนึ่งบรรทัดก็ได้ แปปเดียวเดี๋ยวก็อ่านจบแล้ว”
“มึงช่วยบอกกูทีว่ามึงมันขี้โม้ นี่มึงเขียนสิบหน้าจริงเปล่าเนี่ย ?”
“ไม่จริงหรอก ปีนี้เราเขียนสั้นๆ” แบคฮยอนนั่งกอดเข่า “เขียนว่าชานยอลต้องปากเสียน้อยลงกว่านี้นะ”
“มึงเตรียมหน้าไว้โดนกูต่อยด้วย กูให้เวลาเตรียมตัวเลย”

แบคฮยอนหัวเราะคิกคักจนเขาหมั่นไส้ เขาขู่แบคฮยอนจนชิน แต่ก็ไม่เคยทำจริงๆหรอก อย่างแรงที่สุดก็คงจะเป็นผลักเบาๆแบบที่ทำให้ก้าวสะดุดลงไปเล็กน้อย ผลักที่ทำให้แบคฮยอนหันมาทำปากยื่นใส่เขา กอดอกเดินตึงตังบอกว่าชานยอลแกล้งเราอีกแล้ว และมันก็ทำให้เขาหัวเราะออกมาได้ทุกที

พอหันไปมองคนที่มีรอยยิ้มติดอยู่ที่ริมฝีปาก มองเค้กที่เขาพูดได้เต็มปากว่าโคตรตั้งใจทำแล้วมันก็รู้สึกดีไม่น้อย พอนึกไปนึกมาแบคฮยอนก็เป็นคนที่สนใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในชีวิตของเขา เขานั่งวาดรูปเล่นก็จะถามว่าวาดอะไร ซื้อของอะไรจะไปไหนก็จะถาม ถามในแบบที่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่การถามเพราะความอยากรู้หรือถามไปอย่างนั้น แต่แบคฮยอนถามเพราะบางทีอาจจะมีอะไรที่แบคฮยอนจะช่วยเขาได้บ้าง และมันก็ทำให้รู้สึกได้ต่อความใส่ใจที่แบคฮยอนมีให้เขาจริงๆ

“เวลา...กูพูดไม่ดีด้วยมึงรู้สึกแย่ไหม ?”
“...” แบคฮยอนหันมาสบตาเขา “ไม่เลย...เราชอบคุยกับชานยอล สนุกมากๆเลย”
“...”
“เรารู้ว่าชานยอลใจดี แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”
“กูไม่ได้ใจดีสักหน่อย”
“กับเราไง...” แบคฮยอนเบือนหน้าไปมองเตาอบ “กับเรา...ชานยอลใจดีที่สุดในโลกเลย”

กว่าคัพเค้กนมที่แบคฮยอนเอาออกมาจากเตาอบจะเย็น เราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก อาจะเป็นเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรด้วยล่ะมั้ง การที่แบคฮยอนพูดออกมาแบบนั้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะทำให้หัวใจของเขา…

เต้นผิดจังหวะไป...

แบคฮยอนน่ารักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ?

ไม่ได้ เขาจะคิดแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่ได้ชอบแบคฮยอน เราเป็นเพื่อนกัน

“ชานยอล ! เรียกรอบที่หนึ่งล้านแล้วนะ !” แบคฮยอนทำเอาเขาหลุดจากภวังค์ “เราจะกินแล้ว ชานยอลจะกินด้วยไหม ?”
“มึงกินเถอะ กูให้” เขาตั้งสติ มองคนที่มือซ้ายถือคัพเค้ก มือขวาถือขวดวิปครีม “มันต้องเรียกว่าอะไรนะ...สุขสันต์วันครบรอบโรงเรียนล่วงหน้า”
“อื้อ...” แบคฮยอนบีบวิปครีมลงไปบนคัพเค้ก ก่อนจะกัดมันคำโต ตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวจนเขากังวลไปด้วย “อร่อยจัง...”
“มึงโม้ป่ะ ?”
“เราไม่โม้ แต่เราไม่ให้ชานยอลชิมนะ เราจะเก็บไว้กินคนเดียว” แบคฮยอนกินเข้าไปอีกคำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไอ้ตะกละ งั้นกูกินอันนี้—โอ๊ย ไอ้อ้วน มึงตีกูทำไมเนี่ย !”
“ชานยอลต้องเก็บไว้กินพร้อมเพื่อนสิ !”
“มึงนี่มันน่ารำคาญจริงๆ” เขาบ่นพึมพำ นั่งมองแบคฮยอนกินคัพเค้กคำแล้วคำเล่า

แต่ที่เขาคิดอยู่มันก็จริงนะ

แบคฮยอน...น่ารักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาไม่เคยรู้เลย









♥ ———————










ปาร์คชานยอลไม่ชอบงานโรงเรียนเพราะการต้องมาปั้นหน้ารับของจากผู้หญิงเนี่ยแหละ เขาเข้าใจว่าพวกเธอคงเขินอายมากกับการเอาของมาให้เขาแบบนี้ แต่ถ้ามันจะลำบากใจมากก็ไม่ต้องเอามาให้วันนี้ก็ได้ ทำใจได้เมื่อไหร่ค่อยเอามาให้ก็ยังไม่สาย เขาคงไม่ได้โดนไล่ออกจากโรงเรียนเร็วๆนี้หรอก

“คือ...เราอยากให้ ตั้งใจทำมากเลยนะ” ผู้หญิงตรงหน้ายื่นกล่องคุกกี้อะไรก็ไม่รู้ให้เขา “อยากให้ชานยอลรับไว้”
“ขอบใจ” เขารับของมา มองเลยไปยังคนที่ยิ้มกว้างยืนรอเขาอยู่ “ไปก่อนนะ เพื่อนรออยู่”
“ทานให้อร่อยนะชานยอล”

เขาพยักหน้าตอบรับก่อนจะเดินไปหาแบคฮยอน ยังไม่ทันจะก้าวไปถึง สิ่งที่เขาเห็นคือการมีผู้ชายกลุ่มใหญ่ๆเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแบคฮยอน ส่งเสียงดังเพราะแซวเพื่อนของตัวเองคนนึงที่ยืนเด่นออกมามากกว่าเพื่อน คนที่เขารู้ดีว่ามันเป็นกัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียนเขา เราเคยเตะฟุตบอลด้วยกันบ่อยๆ

แล้วทำไมมันต้องมายืนอยู่ตรงหน้าแบคฮยอนด้วย

“เอ่อ...แบคฮยอน” ยุนโฮยิ้มให้แบคฮยอนที่ยิ้มตอบกลับไป “เรามีอะไรอยากจะบอก”
“...”
“เรา...ชอบแบคฮยอนมานานแล้ว”

ยุนโฮพูดไป มีเสียงแซวของเพื่อนตามมาด้วย

“อื้ม...” เพื่อนของเขายิ้มกลับไป “ขอบใจยุนโฮมากนะ”
“บ่ายนี้...ไปที่สนามฟุตบอลได้ไหม เรามีอะไรอยากจะให้”
“...ได้สิ เราจะไปนะ”
“โอเค งั้น...ตอนเย็นเจอกัน”

เขายืนฟังบทสนทนาทั้งหมดแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างประหลาด เขาไม่รู้ว่าจะคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี ปกติแล้วเขาคงจะตรงเข้าไปพูดกับแบคฮยอนว่าไอ้นี่มันไม่ดีอย่างนั้น ไอ้นั่นมันไม่ดีอย่างนี้ แต่กับยุนโฮ เพื่อนที่เขาก็รู้จักคนนี้ เขาคิดไม่ออกเลยว่ามันไม่ดีตรงไหน

จะว่าไปเขาก็เคยเห็นมันมองแบคฮยอนเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้สนใจว่ามันมองด้วยสายตาแบบไหนของมัน แต่เรื่องในวันนี้มันทำให้เขารู้ว่าเพื่อนคนนี้คิดยังไงกับแบคฮยอน เพื่อนสนิทของเขาที่ไม่ทำอะไรนอกจากยิ้มบางๆเท่านั้น

“ชานยอลยืนทำอะไร มานี่เร็ว” แบคฮยอนเรียกเขา “เอาขนมไปให้เพื่อนกัน”
“เออ” เขาเดินตรงเข้าไปหาเพื่อน คิดจะถามเรื่องของยุนโฮทั้งที่ได้ยินทุกอย่าง “มันว่าไงอ่ะ ?”
“ไปสนามฟุตบอลตอนบ่าย ชานยอลไปกับเรานะ ไปรดน้ำน้องเขือก่อนแล้วค่อยมา”
“อืม...เค้าให้คุกกี้มา มึงเอาไหม ?”
“เดี๋ยวแบ่งกันกินบนห้องก็ได้ คยองซูต้องดีใจแน่ๆ”

ตรงระเบียงทางเดินมีคนอยู่กันหนาตา แต่ละคนมีของอยู่ในมือเพราะถ้าไม่ได้เอามาให้ใครก็จะมีคนให้มา เหมือนเขากับแบคฮยอนที่แบ่งถือของเพื่อนแล้วก็ของตัวเองด้วย ระหว่างทางเดินไปห้องเขาก็ได้ดอกไม้บ้าง มีคนมาทักบ้าง แบคฮยอนเองก็ได้เหมือนกัน จากผู้ชายที่เขาไม่ชอบขี้หน้า หรือไม่ก็ผู้หญิงที่เป็นเพื่อนกัน ซื้อดอกไม้มาให้แบคฮยอนเพราะว่าเป็นเพื่อนกัน บอกว่าดอกไม้สวยๆเหมาะกันคนน่ารักอย่างแบคฮยอน

“มา ! แลกของกันเลย” คยองซูมาพร้อมกับถุงสีชมพูห้าถุงที่ใส่ช็อคบอลหกลูกอยู่ในนั้น “อยากกินของเพื่อนใจจะขาด”

เขาได้ช็อคบอลหกลูกมาจากคยองซู คุกกี้น้ำตาลรูปหัวใจขนาดใหญ่สามชิ้นจากจงแด ช็อคโกแลตบาร์ขนาดเท่าฝ่ามือจากเซฮุน แล้วก็ข้าวปั้นอันเท่ากำปั้นไส้กุ้งเทมปุระจากจงอิน และอย่างสุดท้ายคือถุงกระดาษใส่คัพเค้กที่ทำกันเมื่อวันเสาร์ คุกกี้แมคคาเดเมียที่แบคฮยอนรู้ว่าเขาชอบ รวมถึงจดหมายน้อยตามสไตล์เจ้าตัวที่คงเขียนให้ทุกคน เขาเอาของที่เพื่อนให้ใส่ลงไป ยกเว้นข้าวปั้นของจงอินที่เราเอามานั่งกินด้วยกัน

“แม่มึงทำชัวร์ อร่อยเกินไป” เซฮุนกัดข้าวปั้นเต็มปากเต็มคำ
“เออ แม่กูทอดกุ้งเตรียมปลาให้ แต่กูปั้นเอง ถ้ากูทำก็แดกไม่ได้อ่ะ เละ” จงอินก็กัดข้าวปั้นของตัวเองที่เป็นไส้ปลาแซลมอน “จดหมายน้อยกูไม่ได้เขียนนะ แต่จะบอกพวกมึงว่ารักนะจ๊ะคนดีของฉัน”
“หุบปากไป เสียงมึงจะทำข้าวบูด” คยองซูรู้สึกเสียดหู “คัพเค้กนี่สวยมากเลยว่ะ จะกล้ากินไหมเนี่ย”
“เรากับชานยอลตั้งใจทำมากเลยนะ” แบคฮยอนบอกเพื่อนๆ “ชานยอลบอกว่ารักเพื่อนมาก”
“กูไปพูดตอนไหน มึงหุบปากไปเลย” เขากินข้าวปั้นจนเหลือครึ่งก้อน ก่อนจะเอานมที่ซื้อให้แบคฮยอนทุกวันออกมา “อ่ะ...นมน้ำผึ้ง”
“ขอบใจน้า” แบคฮยอนยิ้มหวานเหมือนน้ำผึ้ง ส่วนเขาได้แต่ทำหน้าเหม็นเบื่อกลับไป ทำท่าเหมือนรำคาญมัน

ในวันงานโรงเรียนนั้น มันไม่ใช่กิจกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไรมากนัก มันก็แค่มีการเฉลิมฉลองเล็กๆในโรงเรียน ข้าวกลางวันฟรี น้ำฟรี ทุกอย่างฟรี การเรียนก็มีแค่ช่วงเช้า กินข้าวกันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ตอนนี้เขาเองก็กำลังนั่งเรียนคณิตศาสตร์ในช่วงเช้า ซึ่งมันไม่ได้เข้ามาอยู่ในหัวสมองของเขาเลย เขาเอาแต่คิดเรื่องที่แบคฮยอนจะไปหายุนโฮตอนบ่ายนี้ ก่อนจะเรียนเราหกคนก็พูดเรื่องนี้กันเพราะแบคฮยอนเล่าให้เพื่อนฟัง เราต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชองยุนโฮนิสัยดีจริงๆ ถ้าเกิดว่ายุนโฮคิดจะจริงจังกับแบคฮยอน เราทุกคนก็เห็นดีเห็นงามว่าแบคฮยอนควรลองคุยกับเพื่อนคนนี้ดู

มีเขาที่รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก...แต่เขาก็พูดอะไรออกไปไม่ได้สักอย่าง เพราะเขาไม่รู้จะเอาอะไรไปขัด มันไม่มีอะไรที่ยุนโฮไม่ดี ไม่มีอะไรที่เขาจะพูดออกไปได้เลยจริงๆ

“เฮ้อ...”
“เป็นอะไรวะ ถอนหายใจอยู่นั่น” เซฮุนที่นั่งอยู่ด้วยกันหันมาถามเขา มือก็จดตามกระดานไปด้วย
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก” เขาไม่รู้จะพูดออกมายังไง “มึง...เคยรู้สึกว่าอยากจะห้ามแต่ก็ไม่รู้จะห้ามทำไมไหมวะ ?”
“มันจะไม่รู้ได้ยังไงวะ แค่เราอยากจะห้ามมันก็เป็นเหตุผลแล้ว” เซฮุนบอกกับเขา “ก็เหมือนทำเพราะอยากจะทำ ทำไมอ่ะ มึงจะทำอะไร”
“อยากจะห้ามใจไม่ให้ถีบมึง แต่มึงน่ารำคาญมาก ไม่รู้ว่าจะห้ามตัวเองไปทำไม”
“อ้าว ไอ้ปลวกนี่” เซฮุนด่าเขาแล้วหัวเราะ “เออ เรื่องของมึงเถอะ มีไรให้ช่วยก็บอกละกัน”

เขาพยักหน้ากลับไป พอดีกับที่มีคนสะกิดหลังเขาพอดี พอหันไปก็เจอแบคฮยอนยิ้มหน้าแป้น ถามเขาว่าขอดูคำตอบข้อหกหน่อยว่าเหมือนกันรึเปล่า

“ไม่ดูไอ้จงแดมันล่ะ ?”
“จงแดยังทำไม่เสร็จเลย เพิ่งถึงข้อสี่” แบคฮยอนบอกเขา “ชานยอลเก่งนี่หน่า ทำเสร็จแล้วใช่ไหม ?”
“ยัง เหลือสองข้อ” เขาทำถึงข้อแปดแล้ว “ทำไมทำช้า หัดทำให้มันเร็วกว่านี้หน่อย”
“ก็ถ้ารีบคิดเราจะคิดไม่ออกนี่ แบบนี้เราโอเคแล้ว”
“กูไม่โอเค วันไหนกูขี้เกียจทำแล้วกูจะลอกใคร มึงต้องทำตัวให้กูพึ่งบ้างสิ”
“เราให้ชานยอลพึ่งไม่ไหวหรอก ชานยอลตัวใหญ่”
“ยื่นปากมา กูจะต่อยมึง !”

เขาเห็นคยองซูแอบกินคุกกี้น้ำตาลระหว่างที่อาจารย์ปล่อยให้ทำโจทย์ ส่วนจงอินนั้นหันเก้าอี้มาใช้โต๊ะเรียนของเขา ทำเป็นตั้งใจทำแต่ความจริงกำลังตั้งหน้าตั้งตาลอกอย่างขะมักเขม้น

“ใครเสร็จแล้วเดินมาส่งที่หน้าห้องแล้วลงไปกินข้าวได้เลยนะ วันนี้มีพิซซ่าให้คนละชิ้นด้วย อย่าลืมไปรับกันนะ”
“คนละชิ้นเนี่ยนะ ?” คยองซูไม่อยากจะเชื่อ “คนอย่างกูกินทีเป็นถาด นี่โรงเรียนแจกชิ้นนึง ?”
“มีไอศกรีมอีกนะ คยองซูไปเอาได้เหมือนกัน เห็นเพื่อนข้างหลังบอกว่าตักไม่อั้น” แบคฮยอนบอกคยองซูที่ตาวาวขึ้นมาทันทีทันใด
“เรอะ !”
“จงแด ลอกข้อสิบเราเถอะ เราอยากกินพิซซ่า”

เขานั่งมองแบคฮยอนยัดเยียดให้จงแดลอกคำตอบข้อสิบของตัวเองเพราะเราจะได้ลงไปกินข้าวพร้อมกัน ขึ้นชื่อว่าการลอกนั้นมันก็มักจะใช้เวลาน้อยกว่าการทำเองไปเกือบครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที เราก็ลงไปที่โรงอาหาร เขานั้นไปยืนต่อแถวรับพิซซ่าหกชิ้นกับแบคฮยอน ส่วนอีกสี่คนนั้นไปตักไอศกรีม บอกว่าจะตักมาให้ได้สักครึ่งถัง กินให้น้ำตาลเข้าเส้นเลือดไปเลย

“ชานยอล เขาจะมีหน้าเปปเปอโรนีไหม ?”
“กูก็ยืนอยู่กับมึงเนี่ย จะไปตรัสรู้ได้ไง”
“เขย่งดูให้หน่อย นะนะ”

เขาทำเป็นถอนหายใจเสียงดัง แต่ก็ชะโงกหน้าไปดูว่าเด็กที่อยู่ข้างหน้าสุดมันถืออะไรเดินออกมา

“เห็นแต่ฮาวายเอี้ยน”
“เราไม่ชอบสัปปะรด”
“ไม่ต้องกินสิ ใครบังคับมึง”
“โรงเรียนบังคับ เพราะไม่มีอย่างอื่นให้เรากินแล้ว”
“เดี๋ยวกูพาไปกินก็ได้ ซื้อให้กินเลยถาดนึง”
“ชานยอลพูดแล้วนะ !” แบคฮยอนเสียงดังขึ้นมากลางแถว “เรายอมกินสัปปะรดก็ได้”
“เรื่องของมึงเถอะ”

เราได้พิซซ่าหน้าเปปเปอโรนีมาทั้งถาด เพราะแบคฮยอนไปยืนทำหน้าตาหน้าสงสารกับคุณป้าว่าช่วยหาถาดที่เป็นเปปเปอโรนีได้ไหมครับ ขอหกชิ้น ยืนรอป้าหาอยู่สิบนาทีก่อนจะได้มา แบคฮยอนยิ้มหน้าบานเหมือนถาดพิซซ่าไปที่โต๊ะที่นั่งกันประจำเพื่อไปเจอไอศกรีมช็อคโกแลตกับสตรอว์เบอร์รี่ที่ใหญ่เท่าภูเขา

“กูไปรับจ้างตักไอศกรีมตามงานเทศกาลดีกว่า ท่าจะได้เงินดี” จงอินภาคภูมิใจกับภูเขาช็อคโกแลต “มึงเห็นสายตาไอ้มุนยองไหม มันอึ้งไปเลย”
“ถ้าจงอินตักมาเยอะแบบนี้แล้วคนอื่นจะกินอะไรล่ะ ?” แบคฮยอนมีความสงสัย
“ไปดูถังไอศกรีมก่อน เหมือนเอามาเลี้ยงคนทั้งภาค มีหวังแจกถังให้ตักกลับบ้านได้ชัวร์ๆ”
“จริงเหรอ งั้นเราไปตักอีกได้ไหม ?!”
“พอเลยมึง นั่งอยู่นี่เนี่ยแหละ กินที่ตักมาให้หมดก่อน”

เรานั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไปตามประสาเพื่อน มีคยองซูกับเซฮุนที่จบจากไอศกรีมแล้วก็เอาคัพเค้กที่เขากับแบคฮยอนทำมากิน ทั้งสองคนบอกว่าอร่อยมากก่อนจะตอกย้ำคำนั้นด้วยการกินกันคำโตจนแยมเลอะปากไปหมด เขาเห็นแบคฮยอนที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นยิ้มอย่างยินดีที่เพื่อนมีความสุขในการกินแบบนี้

พอใกล้จะบ่ายโมงเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพราะว่าโรงเรียนเลิกแล้ว ส่วนเขากับแบคฮยอนนั้นต้องไปดูไอ้เขือก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน ไม่สิ...ต้องไปนั่งรอแบคฮยอนไปคุยกับไอ้ยุนโฮด้วย ถึงเขาจะรู้ว่ามันเป็นคนดีแต่เขาก็ต้องนั่งรอแบคฮยอน

เขาไม่อยากให้แบคฮยอนไปคุยกับมันเลย เขาไม่อยากเลยจริงๆ

“คัพเค้กกูมึงแดกหมดยัง ?”
“ยังๆ แต่ว่าเหลือแค่สามชิ้นเอง เมื่อเช้าเราก็กินนะ แต่พอเหลือสามชิ้นแล้วเราก็กลัวหมด”
“มึงก็ให้แม่มึงทำให้ใหม่สิ”
“ไม่เอาอ่ะ แม่ทำก็ไม่เหมือนที่ชานยอลทำ ใครทำให้ก็ไม่เหมือนกันทั้งนั้นแหละ”
“พูดดี ไปพรวนดินไป เดี๋ยวกูไปเอาบัวรดน้ำก่อน”

เขาเดินไปหยิบบัวรดน้ำที่วางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะเดินไปตรงก๊อกน้ำเพื่อเปิดน้ำใส่ให้พอดีกับที่จะใช้ในการรดน้ำมะเขือเทศ ตอนนั้นเองที่เขารู้ตัวว่าเขาเองแต่คิดเรื่องที่แบคฮยอนกำลังจะไปทำต่อจากนี้ มันทำเอาเขารวนไปหมด ทั้งระบบความคิดและระบบจัดการความรู้สึก เขาควรจะทำยังไงดี เขาควรจะพูดอะไรไหม หรือจะนั่งรออยู่เฉยๆปล่อยให้แบคฮยอนไป

พอหันไปมองคนที่กำลังพรวนดินไอ้เขือรวมถึงร้องเพลงให้มันฟัง เขาก็ได้แต่คิดว่าเขาคงปล่อยไปไม่ได้จริงๆ

เขาคงต้องพูดอะไรออกไปสักอย่าง พอคิดถึงเรื่องความเป็นเพื่อน เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิทำแบบนี้ เพราะถ้ามีใครสักคนมาพูดในสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไป ยังไงก็ต้องมีคำถามกลับมาอยู่แล้วว่าทำไม แล้วถ้าแบคฮยอนถามเขากลับมา เขาจะเอาอะไรไปตอบ หรือจะตอบแค่ว่าไม่อยากให้คุยกับยุนโฮ อย่าไปคุยกับมันเลย

มันดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่บางที...มันอาจจะเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่เขามีแล้วก็ได้

“มึง...” เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างแบคฮยอน “รู้รึเปล่าว่ายุนโฮจะพูดอะไร...”
“ที่สนามฟุตบอลน่ะเหรอ...ก็คงจะขอคบอะไรแบบนั้น หรือไม่ก็อาจจะบอกว่าลองคุยกันดูไหม”
“กูก็คิดแบบนั้น มันคงขอคบมึงแน่ๆ” เขาแค่นหัวเราะออกมาทั้งที่ในใจไม่ได้รู้สึกตลกเลย “มึง...”
“...”
“กูรู้ว่ามันเป็นคนดี เรียนก็เก่ง นิสัยดี เพื่อนเยอะ ไม่รู้จะหาข้อเสียมาจากไหนเพราะมันดีจริงๆ แต่ว่ามึงไม่ตกลงได้ไหม ?”
“...”
“มึงบอกอะไรมันไปก็ได้ แต่ไม่ตกลงได้รึเปล่า ?”
“...”
“อย่าไปคุยกับมัน อย่าไปตกลงคบกับมันได้ไหม”
“ได้สิ”

แบคฮยอนหันมายิ้มให้เขาที่ใจเต้นเพราะความตกใจผสมกับความรู้สึกที่ผสมปนเปไปเมื่อได้ยินคำตอบจากปากแบคฮยอน รวมถึงรอยยิ้มบางๆ ที่ติดอยู่บนใบหน้าของเจ้าตัว เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าแบคฮยอนจะตอบกลับมาแบบนี้ ไม่มีคำถามให้เขาต้องตอบ ไม่มีความไม่พอใจว่าทำไมเขาถึงต้องห้าม มีเพียงรอยยิ้มที่เขามองเห็น และมันทำให้เขารู้สึกว่ามันออกมาจากใจของแบคฮยอนจริงๆ

“เราจะไม่ตกลงหรอก...ถ้าชานยอลไม่อยากให้เราคุยหรือว่าคบกับใครเราก็จะไม่ทำ”
“แต่ถ้ามึงอยาก—”
“เราไม่อยากหรอก เรามองยุนโฮเป็นเพื่อนคนนึง” แบคฮยอนเอาบัวรดน้ำไปจากมือเขา รดน้ำให้ไอ้เขือจนชุ่ม เพราะวันนี้แดดค่อนข้างร้อน “เรา...อยากคุยกับชานยอลมากกว่า”
“...ขอบใจ” เขารู้สึกดีมากเหลือเกิน ดีจนต้องยิ้มออกมาเพราะกลั้นเอาไว้ไม่ไหว “ไม่โกรธใช่ไหม ?”
“ไม่โกรธหรอก เราจะโกรธทำไม” แบคฮยอนยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า “ต่อให้ชานยอลไม่พูด เราก็จะปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ว่าเราดีใจนะ...ที่ชานยอลไม่อยากให้เราตกลง”
“ทำไม ?”
“เราก็แค่ดีใจ” แบคฮยอนหันไปสนใจมะเขือเทศ “ไม่มีอะไรหรอก”

เขากับแบคฮยอนไม่ได้พูดอะไรจนเดินมาถึงสนามฟุตบอล เขาเดินแยกไปนั่งที่โต๊ะริมสนามฟุตบอลเป็นสัญญาณว่าเขาจะรออยู่ตรงนี้ ส่วนแบคฮยอนนั้นเดินตรงไปที่สนามฟุตบอล เขามองแผ่นหลังเล็กๆที่เดินลงไปที่สนาม ตอนนี้แบคฮยอนคงจะยิ้มให้คนที่ยืนรออยู่ตรงกลาง มีเพื่อนอยู่เต็มไปหมดทั้งที่เขารู้จักและไม่รู้จัก เขาเองก็ได้แต่มองอยู่ตรงนี้ มองแบคฮยอนคุยกับยุนโฮโดยที่เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน แต่แบคฮยอนบอกเขาไว้แล้วว่าจะไม่ตกลง มันไม่มีอะไรต้องกังวลทั้งนั้น

เขารู้สึกดีใจที่แบคฮยอนบอกว่าถึงเขาไม่บอกก็ไม่คิดจะตกลงเพราะคิดกับยุนโฮแค่เพื่อน ไม่ได้เป็นเพราะเขาขอให้ทำ ขอให้ไม่คบกับยุนโฮ แต่เพราะแบคฮยอนจะไม่คบจริงๆ ความรู้สึกที่ว่าใจมันฟู ใจมันโคจนคับอกเพราะความรู้สึกที่ดีมันเป็นอย่างไร เขาได้รู้ในตอนที่ได้ยินแบคฮยอนพูดแบบนั้น

ไม่รู้ว่าในสนามฟุตบอลเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้ว่าแบคฮยอนมีสีหน้าอย่างไรเพราะเจ้าตัวหันหลังให้เขา และกลางสนามนั้นก็ไกลเกินกว่าที่เขาจะมองเห็นรายละเอียดบนใบหน้าของใครได้ชัดเจน แต่ก็พอจะจับสังเกตได้ว่าความรื่นเริงมันน้อยลงไปกว่าตอนที่แบคฮยอนเพิ่งมา ไม่ได้มีเสียงเพื่อนแซวดังมาให้เขาได้ยินแล้ว เขามองเห็นแต่ยุนโฮที่กำลังทำหน้าเครียด ก่อนที่จะพยักหน้าให้กับแบคฮยอนที่เดินหันหลังกลับมายิ้มให้เขาที่นั่งอยู่ตรงนี้

“เป็นไง ?” เขาถามแบคฮยอนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เรารู้สึกแย่มากเลย แต่ยุนโฮก็เข้าใจ แต่เหมือนเราหักหน้าเพื่อนเลย...แต่...”
“ไม่เป็นไร อย่าทำหน้าแบบนี้” เขาลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นยีหัวแบคฮยอนเบาๆ “เดี๋ยวพาไปกินขนม”
“ชานยอล”
“อะไร ?”
“อยากกินทาโกะยากิร้านคุณอาคิโตะ ยี่สิบลูกไปเลย”
“ไอ้อ้วนเอ๊ย”









♥ ———————









พอกลับมาถึงบ้านหลังจากพาไอ้อ้วนไปฟาดทาโกะยากิยี่สิบลูก เขาก็เอาขนมไปแช่ตู้เย็น คัพเค้กฝีมือของแบคฮยอน ช็อคบอล คุกกี้ ช็อคโกแลต เกือบจะเอาจดหมายของแบคฮยอนแช่ตู้เย็นไปด้วยแล้ว ดีที่เขานึกขึ้นได้ก่อนแล้วหยิบออกมาจากถุง

เขาเอาถุงให้แม่ที่บอกว่าจะเอาไว้ใส่ของเพราะว่ามันน่ารัก มันก็เป็นถุงคุกกี้ของร้านขนมบ้านแบคฮยอนที่แม่เขาชอบเอาไปใส่สารพัดของกุ๊กกิ๊ก แม่เขาบอกว่าถุงสวยอย่างนั้นอย่างนี้ ชอบไปซื้อของบ้านแบคฮยอนบ่อยๆก็เพราะถุง เคยไปชมแม่แบคฮยอนด้วยว่าออกแบบถุงได้สวยมากจริงๆ

“แม่ ขึ้นไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวลงมากินข้าว” เขาบอกแม่ที่นั่งดูละครภาคบ่ายอยู่
“ได้ๆ วันนี้อยากกินอะไร ช่วยคิดหน่อย เดี๋ยวออกไปซื้อให้”
“แม่ถามพ่อดิ ชานอะไรก็ได้”
“เออๆ ไปนอนไป อาบน้ำก่อนนะแล้วค่อยนอน สกปรกรู้รึเปล่า”
“สกปรกก็ดีดิ เดี๋ยวแม่ว่างไม่มีงานทำ”
“ชานยอล ลงมาให้ตีเดี๋ยวนี้เลยนะ !”

เขาวิ่งขึ้นบ้านหนีเสียงแม่ เปิดประตูห้องนอนของตัวเอง เอากระเป๋าวางไว้ที่เก้าอี้ ยื่นเท้าไปเปิดพัดลมที่ไม่ได้ถอดปลั๊กเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า ก่อนจะทิ้งตัวลงเตียงนอนไม่ได้พับผ้าห่มเอาไว้เพราะตื่นสายไปสิบนาที นอนหลับตาระบายความเหนื่อยในวันนี้ที่ไปพบเจอมา ที่จริงวันไหนที่ต้องออกจากบ้านเขาก็เหนื่อยทุกวัน แต่จะให้นอนอยู่เฉยๆก็ไม่อยากทำอีก

แล้วพอคิดถึงคนที่มันยัดทาโกะยากิยี่สิบลูกเขาไปได้ เขาก็เอาแต่คิดถึงมันไม่หยุดเลย ไอ้เพื่อนที่ชอบยิ้มตลอดเวลาคนนั้น

ตั้งแต่เราทะเลาะกัน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดถึงมันบ่อยขึ้นเวลาที่เราไม่ได้เจอกัน หรือไม่เขาก็เพิ่งรู้ตัวเขาคิดถึงมันตอนที่เขาไม่ได้คุยกับมันเลย เขายอมรับว่าตัวเองเหงาเวลาไม่มีแบคฮยอน ถึงไลฟ์สไตล์ชีวิตที่ใช้อยู่ทุกวันนี้จะไม่ได้ตรงอะไรกันเท่าไหร่ แต่ว่าเราก็เป็นเพื่อนกันมาได้เพราะความรู้สึกบ้าๆบอๆของเขา จำได้เลยว่าเมื่อหลายปีก่อนเขาไปเจอมันในโรงยิม กำลังโดนเพื่อนผู้ชายแกล้งแบบทะลึ่งๆจนมันน้ำตาซึม ตัวงอเป็นกุ้งอยู่กับกำแพง ตอนแรกเขาก็คิดจะเดินผ่านไปหยิบลูกบาสเกตบอลตามที่ตั้งใจเอาไว้ แต่พอเห็นไอ้เหี้ยคนนึงเอื้อมมือจะไปจับก้นแบคฮยอน เขาก็พุ่งตัวเข้าไปชนมันจนคว่ำ ก่อนจะต่อยหน้ามันไปเพราะเขาคิดว่าคนอะไรโคตรทุเรศ ทำเพื่อนแบบนี้ได้ยังไง

สุดท้ายพวกนั้นมันก็ไปเพราะเขาไม่ยอมถอย แถมพวกเซฮุนวิ่งตามมาอีกเพราะได้ยินเสียงดัง คนที่ตอนแรกตัวงอน้ำตาซึมนั้นร้องไห้เหมือนฟ้ารั่วจนเสื้อเขาชุ่มไปหมด กอดเขาไม่ยอมปล่อยจากทางด้านหลัง เหมือนเอาเขามาเป็นเกราะกำบังไม่ให้ใครมาทำอะไรได้

‘มันไปแล้ว เลิกร้องไห้ได้แล้ว’
‘…’
‘กูบอกให้เลิกร้องไง เสื้อมันเปียก !’
‘ขะ...ขอบใจ...นะ’

สอบถามชื่อแซ่ได้ความว่าชื่อบยอนแบคฮยอน เพิ่งเข้ามาใหม่ไม่มีสังกัด เรียนอยู่ห้องเดียวกับพวกเขาแต่ว่านั่งหลังห้องเพราะไม่รู้จะไปนั่งตรงไหน ระบบโรงเรียนของเขาไม่มีการแนะนำตัวหน้าห้องอยู่แล้ว เข้ามาใหม่ก็นั่งปนไปกับเพื่อน พอปลอบไปปลอบมาก็เข้าใจว่าทำไมถึงโดนแกล้ง แก้มกลมไม่สู้คนแบบนี้จะเอาอะไรไปฟ้องครูได้ หน้าตาก็จิ้มลิ้มในแบบที่ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมถึงโดนทำลามกใส่ แถมพูดจาเราๆชานยอลแล้วมันก็เหมือนคนนุ่มนิ่มมากขึ้นไปอีก ปล่อยไว้ก็คงไม่ดี เหมือนทำดีแต่ทำไม่สุด

‘มึงลากโต๊ะมานั่งกับพวกกูก็ได้ คยองซูเป็นเศษอยู่พอดี’
‘เศษบ้านมึงไอ้ชานยอล หยาบคาย’

พอพูดไปแบบนั้นก็ทำให้ร้องไห้หนักกว่าเดิม กว่าจะเลิกร้องออดเข้าเรียนตอนบ่ายก็ดัง บาสเบิสอะไรไม่มีใครได้เล่นเพราะต้องปลอบแบคฮยอน คนร้องไห้เหมือนเด็กแรกเกิดยิ้มทั้งน้ำตา เดินตามเขาที่อาสายกโต๊ะให้เพราะดูท่ามันแล้วน่าจะยกไม่ขึ้นมานั่งด้วยกัน คยองซูเองก็ลากโต๊ะลงมาชิดผนัง เพื่อที่จะได้นั่งเป็นคู่สามแถว ไม่ใช่แถวละสองละสามแบบที่เป็นอยู่

ตั้งแต่วันนั้นมามันก็อยู่กับพวกเขา และไม่เคยโดนใครรังแกให้ร้องไห้อีกเลย

แฮปปี้เอนด์ดิ้งจริงๆชีวิตไอ้อ้วนนี่ ถ้าเขาไม่ไปเจอมันโดนแกล้งแบบนั้นไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง จะไปร้องไห้อยู่ที่ไหน มีใครปลอบใจรึเปล่า

เขาพลิกตัวเพราะจะเปลี่ยนท่านอน เสียงกร็อบแกร็บของกระดาษทำให้เขาลืมตาขึ้นมามอง ก่อนจะพบว่ามันเป็นจดหมายน้อยของแบคฮยอนที่ไม่เคยน้อยตามชื่อ แต่ปีนี้มันก็บอกเขาว่ามันจะเขียนน้อยๆ ไม่ให้เขาต้องอ่านไปหาวไปอีกแล้ว

—เราไม่รู้จะเริ่มยังไงดี แต่เรามีอะไรอยากจะบอกชานยอลเยอะมากๆเลย
พอเยอะแล้วเราก็เริ่มไม่ถูก เรียงลำดับเรื่องก็ไม่เก่ง ที่จริงปีนี้เราคิดจะเขียนอวยพรชานยอลให้สอบมหาวิทยาลัยได้ตามที่ชานยอลหวังเอาไว้ แต่พอเราทะเลาะกัน เรื่องที่เราต้องเขียนก็คงไม่ใช่เรื่องนั้นแล้ว อีกอย่างชานยอลยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเรียนอะไร แต่เอาไว้มาคิดกับเราก็ได้นะ
เรารู้สึกแย่มากกับเรื่องที่เกิดขึ้นนะ เราเสียใจมากจริงๆ แต่เราไม่รู้ว่าเราจะพูดยังไงให้ชานยอลเข้าใจ เรารู้ว่าเราพูดออกไปไม่ได้ แต่เพื่อนก็เข้ามาเปลี่ยนความคิดเรา บอกว่าถ้าเราไม่พูดความจริงกับชานยอล เรื่องทะเลาะเบาะแว้งมันคงจะเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง แค่คิดเราก็รู้สึกอยากจะร้องไห้แล้ว เราไม่ชอบตัวเองเวลาไม่มีชานยอลเลย เรารู้สึกเหมือนคนที่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่มีใครคอยปกป้องเรา ตอนที่ชานยอลไม่ห่วงเราแล้วมันทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีใคร เราทำโทษตัวเองด้วยการไม่กินข้าวเย็นแล้วนะ แต่ชานยอลก็ไม่ยอมคุยกับเราสักที เราพยายามมองตาชานยอล เราอยากคุยกับชานยอลมากๆ แต่เราก็รู้ว่าชานยอลโกรธ เราผิดเองทุกอย่างเลยไม่กล้าพูดอะไรออกไปเลย แต่พอชานยอลมาคุยกับเราตอนที่อยู่กับน้องเขือ เราดีใจจนร้องไห้ออกมาเลย เราคิดถึงชานยอลมากๆ ขอโทษที่ทำให้เสื้อเปียกอีกแล้วนะ แต่เราก็แค่อยากกอดชานยอลเอาไว้ เราจะได้รู้ว่าเราไม่ได้ฝันไป ชานยอลกลับมาคุยกับเราแล้วจริงๆ
ขอโทษนะ...ถึงชานยอลจะไม่อยากให้เราใช้คำนี้อีก แต่ว่าเราก็ต้องขอโทษจริงๆ เราขอโทษที่เราไม่อยู่กับชานยอลแล้วไปเข้าข้างคนอื่น ขอโทษที่ตกลงไปเที่ยวกับเค้าทั้งที่ชานยอลไม่อยากให้เราไป ขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่ชานยอล เราเหมือนคนบ้าเลยตอนนั้น เราไม่รู้เลยว่าเราพูดอะไรออกไปจนตอนที่ชานยอลเดินหายไปแล้ว เราขอโทษจริงๆนะ
เราขอโทษ...ที่เราชอบชานยอล ชอบมากเกินกว่าคำว่าเพื่อน
เราชอบตั้งแต่วันนั้นที่ชานยอลเข้ามาปกป้องเรา วันที่เราได้รู้จักกัน วันนั้นมันยังไม่ได้มากเท่านี้ แต่ในวันนี้มันมากจนเกินออกมานอกหัวใจของเราแล้ว เราชอบจนรู้สึกอยากจะประชดชานยอลที่บอกว่าไม่ได้ชอบเรา เราน้อยใจที่ชานยอลพูดตอบเพื่อนแบบนั้น รู้ทั้งรู้ว่ามันก็เป็นเรื่องจริงแต่พอได้ยินแล้วเราก็เสียใจ เราเลยอยากทำอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีชานยอลเราก็อยู่ของเราเองได้ แต่พอไม่มีชานยอลจริงๆแล้วเราไม่ชอบเลย เรารักช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับชานยอล เรารู้ได้เลยตอนนั้นว่าเราจะเป็นเพื่อนชานยอลไปตลอดชีวิตก็ได้ ขอแค่ชานยอลยังคุยกับเราเหมือนเดิมก็พอ
ที่เราบอกว่าเราชอบ เราไม่ได้อยากให้ชานยอลรู้สึกอะไรหรอกนะ ชานยอลทำเหมือนไม่เห็นมันไปก็ได้ เราแค่อยากบอกเพราะเราอยากให้ชานยอลรู้ว่า ถ้าเกิดว่าเราทำตัวไม่ดีขึ้นมา ชานยอลอย่าโกรธเราเลยนะ เราก็แค่รู้สึกมากเกินไป ถ้ามันเบาลงหน่อยเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เราแค่ไม่อยากให้ชานยอลโกรธเราอีกแล้ว เรื่องที่เราชอบ...ชานยอลก็อย่าโกรธเราเลยนะ
ชานยอลจะชอบใครก็ได้...แต่ว่าต้องเป็นเพื่อนกับเราตลอดไปเลยนะ
สุขสันต์วันครบรอบโรงเรียน ปีหน้าเราจะหาวันครบรอบมหาวิทยาลัยมาเขียนให้ชานยอลนะ ไม่ต้องลำบากใจอะไรทั้งนั้น เราจะเป็นเพื่อนกับชานยอลตลอดไปเหมือนกัน
จะเป็นเพื่อนให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย—


ไอ้บ้าบยอนแบคฮยอน วันนี้เขาจะไม่เตะมันแล้ว เขาจะฆ่ามัน !

“ชานยอลอย่าวิ่งลงบันได แล้วนี่จะไปไหน กลับมายังไม่ถึงชั่วโมงเลยนะ !”
“แม่ไม่ต้องทำข้าวเย็นให้นะ จะไปกินบ้านไอ้อ้วนมัน !”

เขารีบออกจากบ้าน ในใจคิดแต่ว่าจะต้องไปบ้านไอ้อ้วนมันให้เร็วที่สุด มาเขียนอะไรแบบนี้ให้เขาได้ยังไง มันเป็นคนประเภทไหนของมันกัน !

ยิ่งใจเขาร้อนอะไรมันก็ช้าไปหมด ปกติแล้วจากบ้านเขาไปบ้านแบคฮยอนใช้เวลาประมาณสิบห้านาที แต่วันนี้เขาเหมือนใช้เวลาไปเป็นชั่วโมง กว่าจะวิ่งไปถึงร้านคุกกี้ของแบคฮยอน เขาว่าอารมณ์ในใจของเขาที่กำลังพัดเหมือนพายุนั้นพร้อมจะถล่มไอ้บยอนแบคฮยอนที่ตอนนี้กำลังจัดคุกกี้อยู่ในร้านที่มีลูกค้าเพิ่งเดินออกไปเมื่อกี้ ทำให้ในร้านมีแค่แบคฮยอนกับกับพี่ที่ทำงานประจำอยู่ที่ร้าน ส่วนแม่แบคฮยอนนั้นเขาไม่เห็น คงจะอยู่หลังบ้าน อบคุกกี้มาขายช่วงเย็น

“บยอนแบคฮยอน !”
“อ้าว ชานยอลมาซื้อคุกกี้หรอ ?” คนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสั้นยิ้มแป้นให้เขา ก่อนที่มันจะเลือนหายไปเพราะเห็นสิ่งที่เขาชูขึ้นมาในมือ
“มึงเขียนอะไรมาให้กูเนี่ย !”

“เปล่านะ เราไม่ได้เขียน” แบคฮยอนส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่ใช่นะ”
“ก็นี่มันลายมือมึง !”

เขาจับแบคฮยอนลากไปด้านหลังร้านที่เป็นสวนของบ้านเพราะเขารู้ว่าเราไม่ควรจะตะโกนใส่กันตรงนี้ ยิ่งแบคฮยอนเอาแต่ส่ายหน้าเขาก็ยิ่งโมโห

“ชะ...ชานยอล...ไม่นะ...เรา...ฮึก”
“มึงร้องไห้ทำไม !” เขาเสียงดังใส่แบคฮยอน “หยุดร้อง !”
“เราไม่ได้ร้อง...” แบคฮยอนยกมือขึ้นปาดน้ำตาต่อหน้าเขา
“ตกลงมึงทำอะไรบ้าง อันนี้ก็ไม่ได้เขียน ร้องไห้ก็ไม่ได้ร้อง”
“...ฮึก”
“ตกลงมึงไม่ได้เขียนจริงๆใช่ไหม ?” เขามองแบคฮยอนที่เอาแต่ก้มหน้ามมองพื้นสนามหญ้า “หนึ่ง !”
“ฮึก...ฮือ...เราขอโทษ ชานยอลอย่าเกลียด...เราเลย..เลยนะ”

แบคฮยอนปล่อยโฮออกมาตรงหน้าเขา ร้องไห้เหมือนในตัวมีถังน้ำตาสิบแปดลิตรกักเก็บไว้ เอามือปิดหน้าตัวเองไม่ให้เขาเห็น มองยังไงก็ต้องได้ตีกันสักที วันนี้มันไม่รอดแน่

“มึงมันน่าโมโหมากเลยรู้ไหม สมควรโดนกูเตะสักที !”
“ไม่...ไม่เอา” แบคฮยอนเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ร้องจนหน้าแดงไปหมด สะอึกสะอื้นอยู่ตรงหน้าเขา “เรา...เราจะ...พยายามเลิก...”
“เลิกอะไร สิ่งที่มึงต้องเลิกตอนนี้คือเลิกร้องไห้ ไม่งั้นกูต่อยมึงตรงนี้เลย กูไม่ขู่มึงเล่นแล้ว !”
“ฮึก...”
“มึงเขียนมาว่าชอบกูตั้งรู้จักกันแล้วมึงมาบอกกูตอนนี้เนี่ยนะ ไอ้ปีที่ผ่านๆมามึงทำอะไรอยู่ กูเห็นมึงเอาแต่กิน ไม่เห็นจะยุ่งอะไร ทำไมมึงไม่บอกกูตั้งแต่ตอนนั้น !”
“...”
“แล้วนี่จะทำยังไง ไม่ถึงปีก็จะจบมัธยมแล้ว เวลาอยู่ด้วยกันมีแค่นี้แล้วมึงจะรับผิดชอบยังไงไอ้อ้วน มึงเลิกกินข้าวเย็นหนึ่งปีเลยนะ ไม่งั้นกูไม่—”

เขาโดนขัดเพราะแบคฮยอนพุ่งตัวเข้ามากอดเขาไว้แน่น ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆก็ยังจะทำ ในใจเขาบอกว่าต้องต่อยมันสักทีเผื่อมันจะได้โต แต่สิ่งที่เขาทำจริงๆคือการกอดแบคฮยอนกลับไป กอดคนที่ปล่อยโฮใส่เสื้อนักเรียนของเขาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไรนักหนา ชอบมาเช็ดน้ำตากับเสื้อนักเรียนของเขาทุกที

“ชานยอล...ไม่โกรธเรา...ใช่ไหม ?” เสียงของแบคฮยอนอู้อี้ แต่ก็พอจับใจความได้
“ไม่โกรธ แต่โมโหที่มึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้”
“...”
“เป็นแฟนกันตอนมัธยมกับมหาลัยมันเหมือนกันที่ไหนวะ”
“แฟน ?” แบคฮยอนเงยหน้ามามองหน้าเขา “ชะ...ชานยอลหมายความว่าไง ?”
“เอ้า !”
“ไม่โมโหนะ คือ...คือเราไม่เข้าใจจริงๆ”
“มึงบอกว่าชอบกูแล้วยังไง เพื่อนยังไงของมึง เป็นได้หรอเพื่อนกูอ่ะ ก็เป็นแฟนกันก็ได้ กู...” เขารู้สึกว่าหูตัวเองกำลังแดงขึ้นมาแล้ว “กูไม่รู้ว่าชอบมึงไหม แต่ถ้ามึงต้องไปเป็นแฟนใครที่ไม่ใช่กู กูสาบานว่าจะฆ่ามึงทิ้ง”
“โห...”
“โหไร ! หรือมึงจะไม่เป็น !”
“...แต่...ชานยอลบอกว่าไม่ได้...”
“กูรู้ว่ากูพูดว่าไม่ได้ชอบมึง แต่ตอนที่ทะเลาะกับมึงกูก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน กูไม่อยากทำห่าอะไรสักอย่าง กูอยากคุยกับมึงแทบตายก็คุยไม่ได้เพราะกูต้องหยิ่ง มึงมาลองรับรู้ความลำบากของกูบ้างไหม มึงคิดว่ามึงรู้สึกคนเดียวรึไง”
“ชานยอล...” แบคฮยอนทำท่าจะปล่อยโฮออกมาอีกแล้ว
“ตกลงมึงเอาไง กูง้างหมัดรอแล้วนะ”
“ชานยอลกำลังขอคบเราอยู่ใช่ไหม ?”
“มึงวอนแล้วไอ้อ้วน กูว่ามึงไม่ได้อยู่ดีแน่”
“เราจะคบกับชานยอลนะ จะเป็นแฟนกัน ใช้เวลาช่วงมัธยมให้สุดเหวี่ยงไปเลย !”
“เออ !”

แบคฮยอนยิ้มให้เขาดูทั้งคราบน้ำตา ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างเพราะความตกใจที่เขาเช็ดน้ำตาบนแก้มให้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พอตั้งสติได้แบคฮยอนก็ยิ้มรับ แขนอ้วนๆทั้งสองข้างที่กอดเขาไว้ก็กอดแน่นขึ้นอีก กอดเหมือนวันนั้นที่เราได้รู้จักกันครั้งแรก วันที่แบคฮยอนบอกว่ามันเป็นวันที่ชอบเขาเข้าให้แล้ว

“เราจะโทรไปบอกเพื่อนก่อนนะว่าชานยอลขอเราคบ เราดีใจมากเลย เพื่อนของเราต้องรู้เรื่อง—”
“มึงกลับมานี่เลยนะไอ้อ้วน มึงต่างหากที่บอกชอบกูก่อน มึงกลับมานี่ !”

ถ้าสิ่งที่แบคฮยอนเขียนมาทั้งหมด มันคือความรู้สึกของการที่เราได้ชอบใครสักคน เขาก็คงจะชอบแบคฮยอนมาตั้งนานแล้ว ชอบทุกวันที่แบคฮยอนยิ้มให้เขา ไม่ว่ารอยยิ้มนั้นจะมีเหตุมาจากเรื่องอะไรก็ตาม

เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากจริงๆ

เวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มของบยอนแบคฮยอน










#HappyChanyeolDay

เอ๊ะ...วันเกิดใครนะ เหมือนเป็นวันเกิดแบคฮยอน
แต่เป็นแฟนกัน ไม่เป็นไรนะ...

สุขสันต์วันนะคะพี่ชานยอล มีความสุขมากๆ ได้ทำอะไรที่อยากทำไปกับแบคฮยอนนะคะ
เห็นหน้าพี่แล้วหนูลืมเมนทุกทีเลยค่ะ แต่หนูรักทุกคน แบบนันก็โอเคค่ะ ไม่เป็นไร

(ล่วงหน้าไปหนึ่งวันกว่าๆ แต่วันที่ยี่สิบเจ็ดเป็นฮาร์ดเดย์ มาวันนี้แทนนะคะ ♥)


Reply · Report Post