nerdy effect #ดซชานแบค


♡♡♡♡♡
Nerdy Effect
- chanbaek -
#ดซชานแบค


นิ้วเรียวยาวจับผมด้านหน้าให้เข้าที่เข้าทาง ผมสีบลอนด์หม่นถูกย้อมกลับคืนให้เป็นสีดำ ตาเรียวเล็กที่มักจะสวมใส่คอนแทคเลนส์หลากสีเสมอถูกแทนที่ด้วยแว่นตาไร้เลนส์ทรงเชยๆที่หาได้ทั่วไป ร่างเล็กมองตัวเองในกระจกแล้วก็รู้สึกว่าการแต่งตัวแบบนี้แหละ !

เนิร์ดยิ่งกว่าเนิร์ด เพื่อนไม่คบอย่างแน่นอน

บยอนแบคฮยอนย้ายจากเมืองโซลมาสู่ปูซานที่เป็นเมืองแห่งท้องทะเล พูดถึงปูซานก็จะนึกถึงทะเล ตอนแรกเขาไม่ชอบใจนักหรอกที่โดนพ่อสั่งให้ย้ายที่เรียนในปีสองเทอมสองแบบนี้ แต่ก็นะ...ธุรกิจของพ่อก็ทำให้เขามีเงินใช้ไม่ขาดมือ อีกอย่างจะให้แยกกันอยู่ตอนนี้เขาก็ไม่อยาก เอาไว้เรียนจบจากที่นี่เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย จะย้ายกลับไปเรียนที่นั่นพ่อก็คงไม่ว่าอะไรหรอก

ตอนที่อยู่โซลเขาเป็นคนดังของโรงเรียน สีผมที่เห็นได้เด่นชัดรวมถึงตาเรียวของเขาที่กรีดอายไลน์เนอร์เรียวเล็กเพิ่มความน่าดึงดูดในดวงตา อันที่จริงมันก็ต้องบวกลักษณะท่าทางการกระทำต่างๆของเขาไปด้วยล่ะนะ ใครๆก็ต้องรู้จักบยอนแบคฮยอน สุดยอดของสุดยอดของสุดยอดคนดังที่น่าจับตามองมาตลอดหลายปี

แต่ที่ปูซานนั้น…ไม่มีใครรู้จักเขา

จะว่าดีมันก็ดีจะว่าไม่ดีมันก็ไม่ดี มันดีตรงที่เขาไม่เป็นที่จับตามอง แต่การไม่เป็นที่สนใจของใครบางทีมันก็ไม่เข้าท่า แบบว่าไม่เป็นที่สนใจของใครเลยแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่

แต่ก่อนจะเปิดเทอมเขาก็ได้ไปหยิบหนังเรื่องหนึ่งมาดูเพราะความเบื่อหน่ายจากการนั่งๆนอนๆอยู่บนโซฟาราคาหลายล้านวอน พล็อตความรักน้ำเน่าประมาณตามหารักแท้นั้นน่าสนใจไม่หยอก

พระเอกทำตัวเหมือนเป็นคนไม่เอาถ่าน รักกันด้วยหัวใจ พล็อตเล่นซ้ำมาหลายปีดีดัก แต่แบคฮยอนคิดว่าถ้าเขาเอามาเล่นซ้ำอีกรอบต้องสนุกแน่ๆ เย็นวันนั้นเลยตรงไปร้านทำผมที่เสิร์ชมาแล้วว่าดีที่สุดในปูซาน ขอทรงเด็กนักเรียนสมัยสิบปีก่อน ย้อมผมเป็นสีดำให้ด้วย จากนั้นก็เดินเข้าร้านแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในเมือง บอกให้พนักงานเลือกแว่นห่วยๆให้ ความจริงเขาก็ชอบใส่แว่นเลยเลือกอันสวยๆที่เหมาะกับหน้าสวยๆของเขามาอีกสองอัน เอาไว้ใส่เล่นก็ไม่เสียหายอะไร

ยิ่งส่องกระจกก็ได้แต่พร่ำบอกตัวเองว่าเนิร์ดแท้ๆ น่ารักแต่ว่าเนิร์ดสุดๆ พอตอนที่กำลังคิดแบบนั้นในช่วงเช้าสายเรียกเข้าจากเพื่อนปากดีของเขาก็คงมาทำให้อารมณ์แย่ลงในเช้าวันนี้

(ฮายมายเดียร์)
“ไม่มีอารมณ์มาพูดอะไรหรอกนะ”
(สวัสดียามเช้าไม่ได้หรือจ๊ะเพื่อนรัก ปูซานเป็นยังไง ?)
“ก็ไม่เป็นยังไง นอนอยู่แต่ที่บ้าน”
(อะไรกัน ไม่ได้ไปเดินชายทะเลสวยๆหรอ ?)
“หุบปากเถอะลู่หาน เอาเวลาไปเรียนดีกว่า” แบคฮยอนลูบผมตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย “ไปนะ ตอนกลางคืนค่อยคุยกัน”

เขาวางสายใส่มัน เชื่อเลยถ้าเขาบอกเล่าเรื่องปัญญาอ่อนของตัวเองไปมันจะต้องบ่นออกมาเสียยาวยืดเป็นแม่คนที่สองของเขาแน่ ส่วนคุณแม่ตัวจริงของเขานั้นตอนนี้คงกำลังอยู่ที่มิลาน กำลังนั่งตรวจสอบวงการแฟชั่นของโลกใบนี้อยู่

ถ้าแม่รู้ว่าเขาทำตัวแบบนี้เขามีหวังได้ฟังเสียงแม่กรีดร้องแน่ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องเห่ยๆนี่ต้องจบลงก่อนแม่จะกลับบ้าน แว่นนี่จะต้องถูกโยนทิ้งอย่างแน่นอน

เอาล่ะบยอนแบคฮยอน มาทำให้ปูซานเป็นโฮมสวีทโฮมกันดีกว่า !

เหลือเชื่อที่ต้องนั่งรถเมล์ไปเรียน แบคฮยอนขอเช็ดน้ำตาสักหน่อยก่อนที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไป ทำไมต้องมาตามหารักแท้ก็ยังคิดไม่ออก ตอนแรกคิดว่าสนุกดีแต่พอเริ่มคิดได้มันก็ออกจะ…อะไรของฉัน ฉันมาทำอะไรที่นี่กันนะ ?

พ่อบอกว่าโรงเรียนที่ให้เขาย้ายมานั้นเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในปูซาน เขาไม่รู้ว่าพ่อเอาตรงไหนมาบอกเขาว่าดี ทำไมไม่แตกรายละเอียดลิสต์เป็นรายชื่อมา ลงรถที่ป้ายรถ ขยับแว่นตาขึ้นให้พอดี เดินเข้าโรงเรียนไปหาคุณครูวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเป็นคุณครูที่ปรึกษาของเขา ในใบที่พ่อให้มาบอกว่าตึกเรียนของเขาคือตึกสามชั้นที่สี่

เรื่องมหัศจรรย์อีกอย่าง โรงเรียนนี้ไม่มีลิฟต์ !

พ่อกล้าพูดได้ยังไงว่านี่ดีที่สุด ไม่มีลิฟต์แล้วก็ต้องเดินขึ้นบันได เหงื่อก็จะออกหน้าก็จะไม่สวย ! ดีที่สุดคือมีราวบันไดสวยๆหรอ มันไม่ใช่นะ มันไม่ได้ !

“ครูซูโฮอยู่รึเปล่าครับ ?” แบคฮยอนเดินเข้าไปในห้องพักครู “ผมมาหาคุณครูซูโฮ”
“ทางนี้เลย” คุณครูซูโฮดูเป็นคนสะอาดสะอ้าน เข้ามาตรฐานของบยอนแบคฮยอน อย่างน้อยก็ผ่านไปหนึ่ง จะโกรธพ่อน้อยลงหนึ่งเปอร์เซนต์ “แบคฮยอนนะ ?”
“ครับ” เขาก้มหัวเล็กน้อย
“ครูชื่อซูโฮนะ จะเป็นครูที่ปรึกษาของเธอ มีปัญหาอะไรไม่ว่าจะเรื่องไหนมาพบครูได้เสมอ นี่สมุดประจำตัวนักเรียนกับตารางเรียนประจำเทอมนี้ ที่นี่จะเรียนวิทยาศาสตร์แยกกัน อาจจะมีบ้างที่เธอต้องเรียนร่วมกับเพื่อนห้องอื่น มีวิชาพละที่ครูลงบาสเก็ตบอลให้เธอไปแล้ว นั่งอยู่ที่นี่ก่อนนะ ค่อยเดินเข้าห้องเรียนไปพร้อมครู”

แบคฮยอนไม่ใช่คนเข้าใจยาก พูดแค่นี้เขาก็เข้าใจได้ เขาได้อยู่ห้องเอเพราะผลการเรียนที่ดีเลิศ เขานั่งตรวจดูตารางเรียนแล้วพบว่าเขาเรียนวิทยาศาสตร์คาบบ่ายทั้งสามตัวในวันที่ต่างกัน เรียนเซคชั่นที่สาม ส่วนบาสเก็ตบอลนั้นทำให้เขาอยากจะคว้าหนังสือตีหัวครูซูโฮให้มันรู้แล้วรู้รอด อย่างบยอนแบคฮยอนมันต้องวอลเลย์บอล ยิมนาสติกลีลาอะไรแบบนั้น บาสเก็ตบอลเนี่ยนะ ?

แต่รูปในสมุดนักเรียนนั้นพอจะให้อภัยได้ สวยไม่ลืมหูลืมตาเลยทีเดียวเชียว

เมื่อออดเข้าเรียนดังขึ้น เขานั่งรอคุณครูอยู่ประมาณสองนาทีก่อนจะเดินตามหลังเพื่อเข้าไปห้องเอด้วยกัน ถ้าเป็นเมื่อเขาคงจะยืนเชิดหน้าขึ้นสามสิบองศา ยกมือทักทายเล็กน้อย แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้ ไม่รู้จะต้องทำยังไง ต้องโค้งเก้าสิบองศาเขาว่ามันก็ออกจะเกินๆ หรือว่าต้องยิ้มเหมือนเจ๊กขายถั่วแบบที่ลู่หานชอบบอกว่าเวลาเขาหัวเราะแบบไม่ห่วงสวยแล้วหน้ามันเป็นแบบนั้น

ไม่หรอก ยิ้มพอเป็นพิธีก็พอ เอาแบบไม่สวยมากกำลังพอดี

“มีเพื่อนใหม่ย้ายมาจากโซล แนะนำตัวเลย” คุณครูส่งยิ้มให้กำลังใจมา
“เอ่อ…สวัสดีครับ ชื่อบยอนแบคฮยอน ขอฝากเนื้อฝากตัวนะครับ”

โอ๊ย เชยแท้ๆแต่ก็ต้องทำ น้ำตาจะไหลอีกแล้ว ทิชชู่หน่อยทิชชู่

“ครูฝากดูแลเพื่อนด้วยนะ เอาล่ะ…นั่งตรงไหนดี ?”
“ข้างชานยอลสิครับ เข้ากันตั้งแต่แว่นตายันทรงผม”
“นั่นสิคะ ข้างชานยอลก็ดี จะได้ไปอยู่กันสองคน”

เสียงหัวเราะดังขึ้นภายในห้องในขณะที่เขาอยากจะรู้ว่าคนที่ชื่อชานยอลมันคือใครกัน นี่ว่านี่ก็ตัดผมมาแบบไม่ซ้ำใครแล้วนะ ยังมาซ้ำกับคนชื่อชานยอลอีก มันจะเกินไปแล้ว

“อย่าล้อเลียนเพื่อน พวกเธอก็รู้ว่ามันไม่ดี” คุณครูซูโฮดุเด็ก “นั่งข้างชานยอลก็ดี พึ่งพาได้ แบคฮยอนไปนั่งข้างชานยอลนะ มีอะไรถามเพื่อนได้เลย เขานิสัยดี”

แบคฮยอนมองตามมือของอาจารย์ไป เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่มุมหลังเสาริมหน้าต่างแบบที่ถ้าไม่สังเกตจะไม่มีใครเห็น นั่งอยู่คนเดียวตรงนั้นแถมยังก้มหน้าไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองกันอีกต่างหาก

เขาเดินไปนั่งตามที่ครูบอก ห้อยกระเป๋านักเรียนที่โต๊ะข้างๆก่อนจะหันไปแนะนำตัวประสาเพื่อนใหม่ ปกติเขาไม่ทำหรอกนะ แต่ไอ้หนังไม่เอาถ่านนั่นพระเอกทำแบบนี้ เขาก็ควรจะทำบ้าง เริ่มต้นตามหนังก็อาจจะจบตามหนัง อาจจะได้เพื่อนที่ดีกลับมาก็ได้ ไม่ใช่ไอ้เพื่อนที่วันๆสนใจแต่หนุ่มนักฟุตบอล ดวงหมายเลขเจ็ด ต่างหูสารพัดแบบของมัน แบบนั้นมันไม่ได้เรื่อง

“นี่ ฉันชื่อแบคฮยอนนะ”
“…”
“เฮ้…”
“อื้ม” เขาได้ยินเสียงใหญ่ในลำคอ ตอบอ้อมแอ้มเป็นเด็กๆ “ฉันชื่อชานยอล”

เขาควรจะพูดต่อหรือแกล้งทำเป็นเงียบ เงียบไว้ก่อนก็ดีเหมือนกันเพราะตอนนี้คุณครูซูโฮกำลังพูดถึงการเปิดเทอมภาคเรียนที่สอง อะไรก็ไม่รู้ที่แบคฮยอนไม่อยากฟัง อยากเขวี้ยงแว่นนี่ถึงแล้วเอาคอนแทคเลนส์มาใส่เป็นบ้า แต่ก็ทำไม่ได้เพราะรักไม่เอาถ่านมันค้ำคอ

ขอร้องเพลงว่าฉันมาทำอะไรที่นี่อีกครั้ง…บ้าบออย่างแท้จริง

กว่าจะได้ฤกษ์คุยกับเพื่อนใหม่ที่นั่งข้างกันก็เวลาพักเที่ยงเข้าไปแล้ว ตลอดช่วงเช้าเขาไม่เห็นชานยอลพูดออกมาสักแอะ แต่พอเห็นแว่นตาหนาเหมือนพจนานุกรมก็เลยนึกถึงประโยคที่ว่า คนประเภทเดียวกันจะถูกดึงดูดเข้าหากัน แว่นตาหมอนี่ใหญ่กว่าของเขาอีก ผมก็เนิร์ดกว่า คุณพระคุณเจ้า เป็นพระราชาด้านการเนิร์ดสินะ

น้ำลายเขาจะบูด ต้องได้พูดเดี๋ยวนี้

“นาย ไปกินข้าวกลางวันกัน” เขาเอ่ยชวน
“ฉะ…ฉันเอามาจากบ้าน” ชานยอลหยิบกล่องข้าวมาวางบนโต๊ะ “นายไปกินเถอะ”

จะไปกินกับใครล่ะวะ ครูฝากฉันไว้กับนายไม่ใช่รึไง !!

“แล้ว…”
“แล้วก็อย่าคุยกับฉันนะ เพื่อนจะล้อนาย นายจะโดนใช้งานให้ทำอะไรเยอะแยะ”
“แต่ครูฝากฉันไว้กับนายนะ นายจะไม่รับผิดชอบอะไรหน่อยหรอ ?”
“…”
“พาลงไปกินข้าวหน่อย” บยอนแบคฮยอนจะลิ้นจุกคอตาย ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ “นายก็เห็นว่าฉันไม่มีใคร”

สุดท้ายเขาก็ลากอีกฝ่ายให้ลงไปโรงอาหารได้ ชานยอลเดินถือกล่องข้าวก้มหน้าก้มตา ตัวสูงใหญ่กว่าเขาสิบกว่าเซ็นนั้นไม่ได้ช่วยให้อีกฝ่ายดูน่าเกรงขามเลย เหมือนจะพยายามทำตัวให้เล็กลงตลอดเวลามากกว่า

ชวนคุยไม่ออกเลย แย่จริงเชียว

“แนะนำหน่อยสิ อันไหนอร่อย” เขากวาดสายตาไปทั่ว ป้ายของโรงอาหาร กับข้าวเซ็ตเอถึงเซ็ตอีนั้นมีมากมาย เมนูเส้นก็มี เด็กต่อแถวกันเต็มไปหมด คิดถึงโรงเรียนเก่าขึ้นมาที่เขากับลู่หานไปยืนสวยๆรอรับอาหารเหมือนต่างประเทศ
“นะ...นายชอบกินอะไร ?”
“ชอบหรอ ?” แบคฮยอนคิด “ฉันชอบกินขนม”
“เซ็ตดีมีขนมเค้ก...”
“งั้นหรอ งั้นเอาเซ็ตดีละกัน แล้วนี่ต้องไปต่อแถวตรงไหนนะ ?”

ชานยอลเดินนำเขาไป ให้เขายืนต่อแล้วยืนอยู่ข้างๆกัน ยอมรับว่าซึ้งใจนิดๆ เจ้านี่ก็มีดีอยู่ อย่างน้อยก็ไม่ให้เขาต่อคนเดียว

“ว้าววว ปาร์คชานยอลที่โรงอาหาร”
“เลิกหลบหลังเสาแล้วหรอวะ”
“แล้วนี่ใคร...อ๋อ มีเพื่อนแล้วหรอ อย่างมึงก็มี...”

เขารู้สึกได้ว่าชานยอลเลิกลั่ก พยายามถอยตัวห่างจากเขา เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นคนโดนรังแกต่อหน้าต่อตาแบบนี้เพราะปกติเขาไม่สนใจเรื่องคนอื่น ถึงหมอนี่จะไม่ใช่ไทป์ที่เขาจะนับเป็นเพื่อนแต่ก็เป็นเพื่อนที่ครูมอบให้ ปกป้องกันไว้คงไม่เสียหาย

แบคฮยอนยื้อเสื้ออีกฝ่ายไว้ ดึงให้เข้ามาใกล้ตัว

“...อย่าไปสน” เขากระซิบ “อย่าไปฟัง”
“มีกระซิบกระซาบกันด้วยเว้ย” เพื่อนหัวเราะ “พวกปัญญาอ่อน”

คันไม้คันมืออยากตบจริงๆ แต่แว่นตามันค้ำคออยู่ ภาพลักษณ์ไม่เอาถ่านต้องดำเนินต่อไป

พอเราไม่เถียงพวกนั้นก็เดินจากไปเอง เอาเข้าจริงเขาจดจ่ออยู่กับเซ็ตอาหารมากกว่า หิวจนจะตาลาย เมื่อเช้าห่วงภาพลักษณ์ตัวเองอยู่เลยไปกินแค่นมมากล่องเดียว หิวไส้จะขาด

อาหารเซ็ตดีน่ากินเกินคาด มีข้าวผัดไก่ห่อไข่ ซุปสาหร่าย แล้วก็ขนมเค้กตัดสี่เหลี่ยมรสวานิลลา รสชาติเองก็ใช้ได้เกินที่คิดไว้ ถือว่าผ่าน

“อาหารที่โรงเรียนก็ดีนะ ทำไมต้องห่อข้าวมากินล่ะ ?” แบคฮยอนชวนคุยเมื่อเห็นเพื่อนใหม่ของเขานั่งละเลียดข้าวตัวเองเงียบอยู่ตรงข้าม พวกเขาเลือกที่ไกลๆไม่ค่อยมีคนนั่งเพื่อความเงียบสงบในชีวิต
“...”
“แม่ทำแล้วปฏิเสธไม่ได้งี้หรอ แม่ฉันไม่เคยทำกับข้าวให้กินเลยนะ มีแต่ซื้อเสื้อผ้าให้”
“...”
“แต่ก็ดีอ่ะเนอะ ข้าวรสมือแม่เค้าว่าอร่อยที่สุดแล้ว” เกิดมาไม่เคยคุยเก้อเลย นี่เป็นครั้งแรก นั่งพูดคนเดียวแบบนี้ มันก็จะเศร้าหน่อยๆ

แบคฮยอนนั่งกินข้าวของตัวเอง คุยแชทกับลู่หานบอกว่าเด็กที่นี่โนคลาสมาก ไร้มารยาทสุดๆ เหยียดเนิร์ด เพื่อนชาวจีนของเขาพิมพ์กลับมาว่าโอ้มายก้อด โซแบดมากๆ ถึงแบคฮยอนกับลู่หานจะทำตัวเหมือนพวกหยิ่งแต่ก็ไม่เคยดูถูกหรือเหยียดหยามใคร มาเจอแบบนี้ก้รู้สึกแย่เหมือนกัน

กินข้าวเสร็จเขาก็เดินไปหยอดเหรียญลงตู้ได้น้ำชามาหนึ่งขวด เพื่อนใหม่ตัวสูงเดินก้มหน้าขึ้นตึกเรียนนำเขาไปก่อน เขาเองเดินตามหลังพลางคิดว่าทำไมถึงต้องทำตัวแบบนี้ เหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ แต่พอคิดจะถามก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอะไรมั้ย คนเรามันก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าพูดถึงตัวเองแล้วแบคฮยอนก็ต้องบอกว่าเขาให้พ่อแบกโลกของเขาไว้ บอกเลยว่าพ่อทำโลกที่ชื่อโรงเรียนตอนม.ปลายพัง เด็กที่นี่มันแย่สิ้นดี คิดว่าจะต้องเป็นเพื่อนกันแล้วมันโมโห เว้นชานยอลเอาไว้เพราะอย่างน้อยชีวิตก็ดูแย่อยู่แล้ว อย่าไปว่าอะไรอีกเลย

เขารื้อกระเป๋านักเรียนของตัวเอง ค้นเจอลูกอมสอดไส้สตรอว์เบอร์รี่ในกระเป๋าของตัวเอง ให้เจ้าชานยอลไปหน่อยก็แล้วกัน เผื่อโลกมันจะสดใสขึ้น

“อ่ะ” เขายื่นไปตรงหน้า “ฉันให้”
“...”
“เอาไปสิ” เขาย้ำเมื่อชานยอลไม่ขยับ
“ฉัน...นายควรไปอยู่กับ...”
“ไล่จังเลยนะ ฉันไม่ดีไม่เหมาะเป็นเพื่อนนายรึไง” แบคฮยอนชักจะโมโห สวยขนาดนี้โดนไล่สองรอบเลยหรอ ปกติอยู่โซลคนวิ่งเข้าหานะเว้ย ปาร์คชานยอลนี่มัน...

จะมาไล่แบคฮยอนก็เกรงใจแว่นตาที่หน้าบ้าง เหมือนกันขนาดนี้

“มะ...ไม่ใช่แบบนั้นนะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นก็เงียบไปเลย”
“แต่...”
“เอ๊ะ ! บอกให้เงียบไง” นิสัยเดิมเริ่มจะออก ต้องเบาๆลงนิดนึง

ชานยอลเด็กแว่นหนาผมน่าเกลียดประจำปีสองพันสิบแปดก้มหน้าลงกับโต๊ะ แบคฮยอนไม่รู้หรอกว่าหมอนี่คิดอะไรอยู่ แต่สุดท้ายมันก็เงยหน้าขึ้นมาทำหน้าเครียดสุดขีดใส่เขา

“นายจะไม่มีเพื่อนเลยนะ !!”
“มีนายไง !!” เขาเสียงดังใส่เหมือนกัน หน็อย...กล้าดียังไงกันนะหมอนี่ กล้ามาตะโกนใส่เขาได้ยังไง นอกจากนังลู่หานก็ไม่เคยมีใครตะโกนใส่มาก่อน
“...”
“พูดอีกรอบจะตบปากฉีกจริงๆด้วย” ไม่พูดเปล่า เขาเอากำปั้นทุบหัวเจ้านี้เล่นๆข้อหากล้าหือ ไม่รู้รึไงว่าบยอนแบคฮยอนเป็นใคร !
“นะ...นายบอกว่ามีฉัน” ชานยอลกะพริบตาใส่เขา ตาโตจนน่าอิจฉา ทำไมตาโตจัง “มีฉันหรอ ?”
“เออสิ หรือไม่มี ?” ต่อหน้าชานยอลขอเป็นตัวเองก็แล้วกัน เพื่อนกันต้องไม่เฟค !
“ขอบคุณนะ”
“...”
“นายจะมีฉันแน่ๆ ขอบคุณนะ”

อะไรกันวะนี่ ชานยอลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แบคฮยอนเลยตบหลังอีกฝ่ายเบาๆให้กำลังใจ

คาบเรียนตอนบ่ายนั้นดีขึ้นมากโข ไม่รู้สึกเหมือนน้ำลายจะบูดแล้วเพราะชานยอลชวนคุย แปลกใจเหมือนกันแต่ก็คุยตอบ ชานยอลพูดเก่งขึ้นมาหลายเท่า ทั้งที่ตอนแรกเหมือนโดนเย็บปากเอาไว้ ตอนนี้จ้อเก่งเหลือเกิน แต่มันก็มีแต่เรื่องมีสาระ แบคฮยอนเองก็ชอบใจเพราะปกติเวลาคุยกับลู่หานนั้นหาสาระไม่เจอ

พอเลิกเรียนอีกฝ่ายก็ทำท่าอึกอัก เหมือนมีอะไรติดอยู่ที่คอ อยากจะพูดอะไรก็ไม่ยอมพูดสักทีจนแบคฮยอนต้องเอ่ยปากถามว่ามีอะไรถึงได้อ้อมแอ้มตอบกลับมา

“ฉันจะไปยืมหนังสือที่ห้องสมุด” ชานยอลหูแดงก่ำ “ไปด้วยกันมั้ย ?”
“อ๋อ เอาสิ” เขาอยากเห็นห้องสมุดโรงเรียนนี้เหมือนกัน พรุ่งนี้มาโรงเรียนแล้วให้ชานยอลพาทัวร์ดีกว่า “นายจะยืมอะไรล่ะ ?”
“สารานุกรมน่ะ”

คนเราจะอ่านสารานุกรมไปทำไมกันนะ คือไอ้ได้ความรู้มันก็ได้นั่นแหละ แต่จากท่าทางแล้วดูเหมือนจะเอาไปอ่านเล่นซึ่งเขาคิดว่าเราควรเอาเวลาตรงนั้นไปเล่นจริงๆมั้ย นอนดูทีวีอะไรแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ

ห้องสมุดของโรงเรียนนี้กว้างขวางเข้าที เขาเองเดินเสียทั่วรอชานยอลเลือกหนังสือ เขาสังเกตเห็นได้ว่าชานยอลมองเขาตลอดเวลา มองตามเวลาเขาไปไหน พอหันกลับไปเจอก็หันหน้าหลบ ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เห็นแล้วตลกดี เพื่อนกันจะแอบมองกันทำไม มองโต้งๆแล้วด่าเหมือนไอ้ลู่หานก็ได้ หลังจากยืมหนังสือเสร็จก็เดินลงไปข้างล่าง ชานยอลเกิดอาการอึกอักขึ้นอีกครั้งให้แบคฮยอนได้ถามว่ามีอะไรเป็นรอบที่สองของวัน

“กลับ...กลับบ้านยังไง ?”
“รถเมล์” เขากลอกตาในใจ ลำบากแท้ๆ ชีวิตของแบคฮยอนมีแต่รถที่บ้านมารับ ตอนนี้ก็มีรถมารับเหมือนกันแต่เป็นรถสาธารณะ
“ฉันเอาจักรยานมา” ชานยอลยกมือเกาแก้มตัวเอง “กลับด้วยกันไหม ?”
“จะปั่นไปส่งงี้หรอ ?”
“อื้ม !”

ท่าทางมันดูจริงจังมาก เหมือนเตรียมคำชวนนี้มาจากบ้านตั้งแต่เมื่อคืนวานที่ยังไม่รู้จักกัน ถ้าปฏิเสธสงสัยคงจะได้ขึ้นชื่อว่าทำเพื่อนร้องไห้แน่ๆ

“เอาดิ” แบคฮยอนยักไหล่ “ส่งให้ถึงบ้านก็แล้วกัน”

เขาขึ้นซ้อนจักรยานค่อนไปทางใหม่ของอีกฝ่าย มันเป็นจักรยานแบบที่ใช้ทั่วไปในเด็กมัธยม แอบเห็นล้อจักรยานแบนลงแล้วก็ได้แต่ท่องไว้ว่าไอ้ชานยอลนั่นแหละหนัก แบคฮยอนสวยแถมยังเบาราวกับปุยนุ่น

“บ้านฉันอยู่ตรงคอนโดข้างๆห้างอ่ะ จำชื่อไม่ได้” แบคฮยอนบอกทางคนที่ปั่นจักรยานลิ่วๆเหมือนไม่ได้ออกแรงอะไร มือเขายึดชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ เอนหน้าไปด้านข้างเล็กน้อยเพราะชอบเวลาลมตีหน้า มันสนุกดี “บ้านนายอยู่ไหน ?”
“ข้างๆตลาด”

ตลาดอะไรวะ เพิ่งจะย้ายมาไง อยู่แต่ที่บ้านไง ทำไมต้องพูดเหมือนแบคฮยอนย้ายมาแล้วสามปี รู้จักปูซานมุกซอกทุกมุม

“ตลาดอะไร ?”
“ก็ตลาดประจำที่นี่แหละ ใครมาเที่ยวก็ต้องมาเดิน” ชานยอลตอบก่อนจะเงียบไปสักพัก “ให้ฉัน...ฉัน...พามาเดินมั้ย ?”
“ก็ดีนะ วันไหนดีล่ะ ?” ตลาดแบบไหน ติดแอร์รึเปล่าก็ไม่กล้าถาม หรือว่าเป็นตลาดปลา แบบนั้นบยอนแบคฮยอนขอบาย ปลายังไม่สุกเขาทนเห็นไม่ได้ ใจมันร้าวรานยิ่งกว่าแผ่นดินไหวในอกเสียอีก
“วันไหนก็ได้ ฉันว่างทุกวัน”

จักรยานแล่นฉิวไปตามถนนตัวเมืองปูซาน ผู้คนมากมายเดินไปมาแต่การปั่นจักรยานก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับชานยอลที่ปั่นมันมาแล้วแทบจะตั้งแต่เด็กจนโต อีกอย่างที่เขารู้สึกได้คือความรู้สึกมีของการมีคนมาถามไถ่ ตอบสิ่งที่เขาชวนคุยแล้วถามกลับมาแบบไม่อึดอัด

แล้วก็บอกว่ามีเขา...เป็นเพื่อน

“แต๊งค์กิ้ว !” แบคฮยอนลงจากจักรยาน “บ้ายบายนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“...” ชานยอลเงียบไปก่อนจะตะโกนตามหลังแบคฮยอนที่กำลังจะเดินเข้าตัวตึก “แบค...แบคฮยอน !”
“หือ ?”
“พะ...พรุ่งนี้ฉันมารับมั้ย ?”
“เห ? นายจะมารับหรอ ?” แบคฮยอนเดินกลับมาที่เดิมตรงที่จักรยานชานยอลจอดอยู่ “บ้านนายมันใกล้ที่นี่มากรึไง ?”
“ก็ไม่ไกลเท่าไหร่” ชานยอลก้มหน้าหงุดๆ “แต่ถ้า...ถ้านายไม่สะดวกฉันก็...”
“เจ็ดโมงสิบนาที ห้ามเลทนะ”
ชานยอลเงยหน้ามองรอยยิ้มสดใสเหมือนพระอาทิตย์ของอีกฝ่าย ภายใต้แว่นตาหนาเตอะนั้นมีแววตาสดใสและขี้เล่นซ่อนอยู่ “ดะ..ได้ ไม่เลทแน่”
“...”
“...”
“ขอบใจมาก ชานยอล”



แบคฮยอนมาเข้าเรียนที่ปูซานได้เกือบสามสัปดาห์แล้ว

กิจวัตรประวำวันเวลาว่างของแบคฮยอนแบบว่าว่างไม่มีอะไรทำขั้นสุดแล้วคือการมองหาข้อดีของโรงเรียนนี้ นอกจากชานยอลเพื่อนไม่เอาถ่านกับครูซูโฮแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีตรงไหน

(เล่าเรื่องชานยอลอีกสิ)
“ย้ายมาเลยไหมจะได้สิ้นเรื่อง”
(ปีสาม ฉันย้ายไปแน่ !)

พูดเล่นโว้ย อุตส่าห์หนีมาได้แล้วอย่าตามมาอีกนะ แบคฮยอนนึกในใจ

“วันนี้จะไปตลาดกับชานยอล”
(ว้าววว ตลาดแบบไหน ?)
“ก็ตลาด” แบคฮยอนขี้เกียจอธิบาย “แค่นี้นะ ชานยอลรอกินข้าว ชะเง้อคอจะหลุด”
(เออๆ บอกชานยอลว่าเพื่อนหรือแฟนว่า มีรอกันกินข้าวด้วย)
“เอ๊ะ !” แบคฮยอนกำลังจะด่าลู่หานแต่อีกฝ่ายกดวางสายไปเสียก่อน

เวลาไปกินข้าวกับเพื่อนก็รอกินพร้อมกันนะเพราะไม่อยากหมดก่อนไง มึงก็เป็นไอ้ลู่หาน ทำมาซงมาแซว

“กินๆ รอเป็นยีราฟเลยเรา” แบคฮยอนเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วบอกให้ชานยอลที่รออยู่กินข้าวซะ

แผนไม่เอาถ่านเป็นไปอย่าง...ไม่มีอะไรเลย เขารู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตไม่เอาถ่านอยู่กับปาร์คชานยอลสองคน โดนเหน็บโดนแนมบ้างเพราะภาพลักษณ์ แต่โชคดีที่ไม่มีการกลั่นแกล้งรุนแรงเกิดขึ้น เพราะถ้ามีเรื่องแบบนั้นแบคฮยอนก็พร้อมจะเขวี้ยงแว่นทิ้งแล้วตบไอ้คนที่มาหาเรื่องกันไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเลย

แต่จะว่าไป ใช้ชีวิตอยู่กับชานยอลก็ดี คนที่หูแดงตลอดเวลาที่คุยกับเขา ไม่รู้มันเป็นอะไรนักหนา

เขามาโรงเรียนโดยมีชานยอลปั่นจักรยานมารับอยู่ด้านหน้าตอนเจ็ดโมงสิบนาที แวะซื้อโฮต๊อกด้วยกันที่หน้าร้านเช่าหนังสือการ์ตูนก่อนจะถึงโรงเรียนโดยสวัสดิภาพ นั่งคุยเรื่องมีสาระรวมถึงไม่มีบ้างอะไรบ้าง เข้าเรียนช่วงเช้าตามปกติ ช่วงกลางวันลงไปกินข้าวด้วยกัน เขาสั่งให้มันเลิกเอาข้าวมาเพราะจะได้ลงไปกินกับเขา ตอนแรกก็บอกให้มันบอกแม่ว่าไม่ต้องทำ มันเงียบไปสักพักก่อนจะส่ายหน้ากลับมา

‘มะ..ไม่ใช่หรอก’
‘...’
‘เพราะว่าไม่มีเพื่อนกินข้าวก็เลยให้แม่ทำให้’ ชานยอลยิ้ม ‘แต่ตอนนี้มีแล้ว จะไม่เอามาแล้ว’

ทำไมเพื่อนมันน่าเอ็นดูจัง พอคิดได้แบบนั้นก็ลูบหัวชานยอลไปทีสองที แกล้งให้หูแดงไปจนถึงตอนเย็น

หลังเลิกเรียนเขาก็ซ้อนจักรยานมันกลับบ้าน มีวันนึงเขาชวนมันเดินห้างด้วยกัน มันทำหน้าเหมือนโลกล่มสลาย บอกว่าป้ามาเยี่ยมที่บ้านวันนี้ต้องกลับบ้านเร็ว ขอโทษนะอยู่ประมาณยี่สิบแปดครั้ง จนเขาบอกว่าขอโทษอีกจะถีบจักรยานล้มมันก็เลยเลิก

จะอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีอะไรแย่เท่าบาสเก็ตบอลหรอก เขาขอบคุณพระเจ้าล้านครั้งที่ชานยอลก็เรียนวิชานี้เหมือนกัน มันน่าเหลือเชื่อมากที่ตารางเรียนของเราเหมือนกันทุกอย่าง เขาได้ยินคุณครูวิชาเคมีเอ่ยแซวชานยอลว่าคราวนี้ไม่ต้องทำแลปคนเดียวแล้วเพราะมีเขา ฟังแล้วก็ไม่ชอบเท่าไหร่ เพื่อนตัวโตของเขาก้มหน้าก้มตาเรียนจนเขาต้องเอาขาตัวเองไปเกี่ยวขาใหญ่ๆของมันไว้แล้วพูดให้เพื่อนมีกำลังใจ

‘ไม่มีนายฉันก็ต้องทำคนเดียวไง เรามาทำด้วยกันนะ’

แบคฮยอนก็พูดจาดีๆเป็น เข้าท่าจริงๆ ชานยอลยิ้มกว้างเหมือนจานบินในหนังอวกาศสักเรื่อง แถมยังจ้อไปหูแดงไปเหมือนไม่เคยพูดมาก่อน ทำเอาเขาต้องบอกให้เงียบๆตอนที่อาจารย์สอนเพราะเขาแยกโสตประสาทไม่ได้

นึกว่าจะเป็นคนเงียบๆ ที่ไหนได้ แค่ไม่มีคนคุยด้วยเฉยๆก็แค่นั้นแหละ

“แบคฮยอน วันนี้ไปตลาดนะ ไม่ได้ลืมใช่มั้ย ?”
“ไม่ลืม” แบคฮยอนตักข้าวห่อไข่เข้าปาก “เตรียมพรีเซนต์ไว้ยัง ?”
“เตรียมแล้ว” ตาของชานยอลวิบวับ “มีของกินเยอะเลย มีขนมปังเกลียว ซาชิมิ...”

ไม่กินปลาดิบ ไม่กินปลาดิบ !

ชานยอลพรีเซนต์ความดีงามของปูซานให้เขาฟังไม่เลิก เขาเองก็นั่งฟังไปตอบรับไป ช่วงที่มาวันแรกห่วงว่าตัวเองจะน้ำลายบูดตาย แต่ตอนนี้ต้องมาห่วงเรื่องน้ำลายแตกฟองแทน

“แล้วที่โซลเป็นยังไงบ้างล่ะ ?”
“ที่โซลหรอ...” แบคฮยอนใช้เวลาสักพัก “ก็เมืองทั่วไป”
“ไม่มีอะไรเลยหรอ ?” ชานยอลถาม
“ไอ้มีมันก็มี ลองเปิดยูทูปดูเอาละกัน” เขายกถาดข้าวขึ้นเพื่อเอาไปเก็บจะได้เตรียมขึ้นเรียน นั่งอยู่ตรงนี้ร้อนชะมัด ไปนั่งอยู่บนห้องดีกว่า
“วู้ววว ! คู่รักเด็กเนิร์ดไปไหนกันจ๊ะ ?”

อย่าให้ต้องถอดแว่นนะ อย่าให้ต้องถอดแว่น

“สาระแน” แบคฮยอนพูดเบาๆแต่ชานยอลที่ก้มหน้าอยู่ได้ยินแล้วถึงกับผงะ ก็พอจะเข้าใจว่านิสัยของแบคฮยอนตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งที่ตัดผมทรงใกล้เคียงกับเขา ใส่แว่นตากรอบหนาพอๆกัน แต่ในขณะที่เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตา แบคฮยอนก็เชิดหน้าเถียง ถึงจะพูดเบาเหมือนกระซิบก็เถอะ

“ชวนกันไปจมกองหนังสือตายล่ะมั้ง...”

แบคฮยอนเดินหนีพวกประโยคไม่เข้าหู เขาเดินไปหน้าตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติแล้วกดน้ำชาออกมาสองขวดเพื่อแบ่งให้ชานยอลที่เดินตามมา

“นี่...” แบคฮยอนเรียกเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา “โดดเรียนกัน”

ตาของชานยอลโตกว่าเดิมหกสิบเอ็ดเท่า เขาเป็นเด็กเรียนดีของที่นี่แล้วเขาก็คิดว่าแบคฮยอนจะเป็นเหมือนกัน ที่ไหนได้ ชวนเขาโดดเรียนหน้าซื่อตาใส

“ไง ?” แบคฮยอนถามซ้ำ “ไม่โดดหรอ”
“แม่ส่งเรามะ...มาเรียนหนังสือนะ” ชานยอลหูแดงอีกแล้วเวลาคุยกับแบคฮยอน “เราต้องเรียนหนังสือสิ”
“ตอนเช้าก็เรียนแล้วไง อย่าบอกนะว่านายไม่ได้เรียน ?”
“ระ..เรียน”
“นั่นไง ไปนอนเล่นดาดฟ้ากัน ไปเร็ว” แบคฮยอนคว้าแขนชานยอลก่อนจะลากขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกอเนกประสงค์ ตึกที่ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาเวลาเรียน ส่วนมากจะถูกใช้งานในช่วงพักหรือหลังเลิกเรียนมากกว่า
“แต่..แต่ครูจะว่านะ..”
“ไม่ว่าหรอกหน่า ถ้าครูมาว่าจะว่ากลับให้”

ในใจของชานยอลไม่เห็นด้วย เขาเอาแต่คิดว่าจะต้องเรียนหนังสือแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแบคฮยอน ปล่อยให้ตัวเองโดนลากขึ้นบันไดไป สองตามองมือเล็กที่จับแขนกันแล้วหูมัน..ก็แดงขึ้นมาอีกแล้ว

แบคฮยอนเดินขึ้นมาสำรวจดาดฟ้าของโรงเรียน วันนี้อากาศดี มีแสงแดดนิดหน่อยแต่ก็เย็นสบาย ห้องกระจกของพวกชมรมเพาะปลูกของโรงเรียนนั้นถูกใช้เป็นที่พึ่งพิงในการนอนลงไปบนพื้นปูนของแบคฮยอน

บอกเลยว่าปกติไม่ทำ เสื้อจะเลอะนะ หัวจะเปื้อนนะ แต่พอมาอยู่ในสภาพนี้ก็คิดว่าเอาหน่อย ห่วงตัวเองมากไปไอ้ชานยอลมันจะตกใจ เห็นชอบทำหน้าไม่อยากจะเชื่อใส่หลายรอบแล้ว

มีครั้งนึงตอนที่จอดจักรยานรอข้ามแยกอยู่ แบคฮยอนเองก็มองนั่นมองนี่เล่นไปเรื่อย ไปเจอกระเป๋าใบนึงสวยมากเลยพูดว่าอยากได้

‘...แต่นั่นมันกระเป๋าผู้หญิงนะ’
‘ก็เออน่ะ...’

เงียบเลย ทำเป็นมองไม่เห็นไปเลยอย่างนั้น

“ถ้านายอยากจะกลับไปเรียนก็ไปได้นะ”
“มะ..ไม่เป็นไร” ชานยอลนอนลงข้างแบคฮยอน “โดดได้”
“ไม่เคยโดดเรียนเลยหรอ ?”
“ไม่เคยเลย”
“นายนี่...ใช้ชีวิตยังไงกันนะ” แบคฮยอนหัวเราะออกมา “ถามจริงๆนะไม่ได้แกล้งพูด ฉันสงสัยน่ะ”
“ก็อยู่คนเดียว...ตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย” ชานยอลอยู่คนเดียวจริงๆ “เมื่อก่อนมีเพื่อนแต่ว่าไม่ได้เรียนที่เดียวกันก็เลย...”
แบคฮยอนพอจะเข้าใจได้ มันก็คงอารมณ์เดียวกับที่เขาต้องย้ายมาปูซานแบบงงๆ นอนโง่ๆอยู่แบบนี้ “เหงามั้ย ?”
“ก็เหงานะ” ชานยอลเงยหน้ามองฟ้า “แต่ตอนนี้ไม่เหงาแล้ว”

แบคฮยอนไม่รู้หรอกว่าจะทำชานยอลหูไหม้รึเปล่าแต่เขาก็ขยับตัวไปนอนหนุนท้องชานยอลเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกคิดจะหนุนแขนแต่ชานยอลยกแขนขึ้นรองหัว เป้าหมายเลยเปลี่ยน

“ไม่เข้าใจ ทำไมเพื่อนถึงไม่ชอบนาย”
“...”
“สำหรับฉันนายน่ารักมากๆ...รู้รึเปล่า ?”
“...”
“ชานยอล ?”
“ครับ” ชานยอลอยากขอบคุณที่แบคฮยอนนอนอยู่ ไม่งั้นแบคฮยอนเห็นหน้าแดงๆของเขาแน่นอน
“ได้ยินรึเปล่าเนี่ย ?”
“ได้ยิน”
“เลิกเรียนปลุกด้วยนะ นอนแล้ว”

โลกนี้มันอยู่ยาก บางครั้งคนที่เรามองว่านิสัยของเค้าสุนัขไม่รับประทาน เป็นคนห่วยแตกของโลกใบนี้กลับมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่คนดีๆที่มีมิตรภาพเต็มเปี่ยมในหัวใจกับโดนตัดสินจากอะไรที่มันกินไม่ได้ด้วยซ้ำ แบคฮยอนเลื่อนตำแหน่งชานยอลจากเพื่อนที่ครูซูโฮยัดเยียดให้เป็นเพื่อนจริงๆแล้ว เพื่อนที่ใส่ใจเขาในทุกสิ่งอย่างของชีวิต เป็นเพื่อนที่น่ารักมากจริงๆ

วันแรกที่เจอกันก็อาสามารับมาส่ง วันต่อมาก็หูแดงเหมือนเลือดคั่งที่หูตอนขอเบอร์เขา ถามไถ่ว่าทำการบ้านได้มั้ย มีอะไรทำไม่ได้บ้างรึเปล่า คนที่เดินยิ้มกว้างทั้งวันตอนที่รู้ว่าตารางเรียนของเราเหมือนกัน คนที่ก้มหน้าคางชิดอกตอนที่เพื่อนล้อแต่ก็กลับมายิ้มได้เวลาที่เขาให้กำลังใจ คนที่คอยแนะนำว่าอะไรอร่อยเพื่อให้เขาได้กินของที่ดีที่สุด

เวลาเราพูดจาดีๆแล้วมีคนยิ้ม ให้กำลังใจใครแล้วเค้าได้รับ มันดีมากเลยจริงๆ

หวังว่าสักวันคนอื่นจะเห็นแววตาสดใสหลังแว่นใหญ่ๆนั่นเหมือนที่เขาเห็นบ้าง

ทั้งที่บอกว่าให้ปลุกแต่แบคฮยอนก็ตื่นขึ้นมาก่อนจนได้เห็นเพื่อนใหม่ของเขานอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เหมือนกัน เขานั่งมองหน้าของชานยอลสักพักก่อนจะเอื้อมมือไปดึงแว่นหนาๆออก หวังให้เพื่อนได้นอนสบายมากขึ้น เผื่อพลิกหน้าพลิกตัวแว่นจะได้ไม่หัก

แต่การถอดแว่นครั้งนี้ทำให้เขาได้รู้อะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง

พระเจ้า...ไอ้ชานยอลมันหล่อ ! ใส่แว่นบดบังความหน้าตาดีเหมือนที่แบคฮยอนใส่แว่นบดบังความสวยใช่มั้ย ?

แบคฮยอนสำรวจใบหน้าของชานยอล มีสิวที่ข้างแก้มเม็ดนึงแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรหน้าตามันเลย ไม่เหมือนแบคฮยอนที่สิวขึ้นทีแทบจะโทรหาหมอ ทุกอย่างมันดูพอดีกับหน้าไปหมด ไม่มีตรงไหนที่ไม่เข้ากัน

อ๋อ มีไอ้แว่นนี่แหละที่อยากเอาไปกระทืบทิ้ง แต่มันคงจะร้องไห้กระโดดลงตึกไปแน่ๆ แบบนั้นคงจะเป็นการฆ่าเพื่อนทางอ้อม ทำไม่ได้จริงๆ

เขานั่งเล่นโทรศัพท์อยู่แบบนั้น คุยแชทกับลู่หาน ตอบแม่ว่าอยากได้กระเป๋าสีอะไร คุยกับพ่อเรื่องวันนี้กลับบ้านกี่โมง เรื่องอาหารการกินที่บอกให้พ่อไม่ต้องซื้อมาให้ เดี๋ยวหากินเอง

พ่อถามอยู่เรื่องนั่งรถเมล์ไปเรียน แบคฮยอนก็ทำแค่เพียงยิ้มแห้งๆก่อนจะบอกว่าเปลี่ยนบรรยากาศ คิดว่าพ่อคงรู้ว่าลูกตัวเองเล่นอะไรแผลงๆอีกแล้วแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่ปล่อยเลยตามเลยเพราะอย่างน้อยแบคฮยอนก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง

ตอนที่ออดเลิกเรียนดังชานยอลก็ลืมตาขึ้นมาพอดี กะพริบตาปรับแสงที่เข้าสู่รูม่านตาเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนก่อนจะรู้ว่าแว่นตาของตัวเองหายไป

“แว่น...แว่นไปไหน”
“อยู่นี่” แบคฮยอนส่งเสียง “ไม่ใส่แล้วก็หน้าตาดีเหมือนกันนะเรา ลองคอนแทคเลนส์มั้ย ?”
“ไม่เอา” ชานยอลส่ายหน้า “ขอแว่นหน่อย มองไม่เห็น”
“อ่ะ..” แบคฮยอนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆใบหน้าของชานยอล “เห็นรึยัง ?”

คนตัวใหญ่หันหน้าหนีทันควัน รู้สึกเหมือนหูจะไหม้ ขยับตัวหนีแบคฮยอนก็ขยับตามมา

“อย่าแกล้ง...”
“ยังไม่เห็นหรอ ?” แบคฮยอนขับชิดเข้าไปอีก “เห็นยัง ?”
“แบคฮยอนอย่าแกล้ง...” ชานยอลดันไหล่แบคฮยอนแต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ขยับหน้าเข้ามาจะชิดหน้าเขา
“ตกลงว่าเห็นรึยัง ถ้าไม่เห็นจะ....”
“บอกว่าอย่างแกล้งไงเล่า !!”

ชานยอลลืมตัวตะโกนเสียงดังก่อนจะผลักแบคฮยอนซะจนเกือบหงายหลัง ดีที่ทรงตัวได้ก่อนเลยเจ็บตัวแค่ก้นจ้ำเบ้าลงพื้นปูนก็เท่านั้น

“แบคฮ...”
“เอาไปเลย !” แบคฮยอนปาแว่นกระแทกตัวของเจ้าของของมัน
“คือฉัน...”
“ขอโทษที่แกล้ง !”

แบคฮยอนลุกขึ้นยืน ลืมความเจ็บที่ก้นตัวเองก่อนจะเดินลิ่วๆตรงไปที่ประตู ทิ้งให้ชานยอลที่ตอนนี้ทำตัวไม่ถูกมองตามมา พอร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งมาก็เปิดประตูไม่ได้เพราะแบคฮยอนลงกลอนมันไว้จากข้างใน เขารู้ว่าเดี๋ยวพวกชมรมเพาะปลูกก็จะขึ้นมา แต่เขาขอล็อคไปก่อน อย่างน้อยก็ไม่ให้ตามมาได้

แกล้งเล่นก็เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อน มีอย่างที่ไหนตะคอกใส่แถมยังผลักกันล้มแบบนี้ ลดตำแหน่งแล้ว เหลือแค่เพื่อนที่ครูซูโฮหามาให้เหมือนเดิมนั่นแหละ

วันนี้แบคฮยอนขึ้นรถเมล์กลับเอง ส่งข้อความหาพ่อว่าให้ซื้อข้าวเข้ามาให้ด้วย จากนั้นก็นอนเปิดการ์ตูนช่องนิคเคโลเดียนดู เอาขนมที่เคยซื้อตุนเอาไว้มากิน ขนมันออกมาสามสี่ถุง ส่วนไอ้แว่นปลอมๆตามหารักแท้นั่นน่ะหรอ โยนลงระเบียงตึกไปแล้ว

เช็คโทรศัพท์ที่เปิดโหมดกลางคืนไว้ก็พบว่าลู่หานถามเข้ามาเรื่องตลาดเลยลบแชททิ้งเพราะหงุดหงิดใจ ตอบแม่เรื่องข้าวเย็นวันนี้บอกว่าพ่อซื้อมาให้ ทำเป็นเมินข้อความขอโทษจากชานยอลแล้วก็ข้อความที่บอกว่าหมายเลขนี้พยายามติดต่อคุณด้วย

จะให้หายโกรธหรอ ไปหล่นลงจากชั้นสองแล้วก้นกระแทกพื้นสิ จะหายโกรธเลย ขอโทษมันกินไม่ได้ จะรู้สึกผิดยังไงแต่แบคฮยอนหายเจ็บที่โดนผลักหรอ...ก็ไม่

พ่อกลับมาช่วงเกือบหนึ่งทุ่มพร้อมกับอาหารจีน แบคฮยอนก็เอามานั่งกินหน้าทีวี ตอบคำถามสารพัดสารเพของพ่อเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ได้ความว่าพรุ่งนี้วันเสาร์พอดี จะกลับโซลไปรับแม่ จะไปด้วยกันรึเปล่า

“ไป” แบคฮยอนตอบแบบไม่ต้องคิด “จะย้อมผมใหม่ด้วย สีชมพูไปเลย !”

ช่วงเสาร์อาทิตย์แบคฮยอนไปรับแม่แล้วก็เที่ยวกับไอ้ลู่หานกระจุยกระจาย มันถามเรื่องเจ้าแว่นหนาขึ้นมาบ้างแต่พอแบคฮยอนทำหน้าเหมือนจะกัดมัน มันก็เลยเลิกถาม ยอมเปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆเช่นสภาพแวดล้อม อาหาร หรืออะไรก็ตามแต่ ส่วนตัวมันมันก็บอกว่ามันไปอยู่กับคยองซู เพื่อนก็ดีไม่ได้มีอะไร

ผมของแบคฮยอนถูกตัดให้สั้นขึ้นเล็กน้อยเพื่อจัดทรง เฉดสีชมพูที่อยากย้อมแม่ก็เป็นคนมาเลือกให้ว่าเฉดไหนจะเหมาะกับหน้าลูกชายตัวเอง แม่ไม่เคยว่าแบคฮยอนเลยเรื่องการแต่งตัว ถ้าไม่ได้เยอะเกินไปจนรับไม่ได้ก็ไม่เคยว่า ย้อมผมสีชมพูอยู่ในขอบเขตที่รับได้ แม่บอกว่ามันเหมือนหมากฝรั่ง แต่ก็เหมาะกับแบคฮยอนดี ส่วนพ่อก็ได้แต่ยิ้มๆ ถามว่าที่เล่นอยู่ไม่เล่นต่อแล้วหรือ

“ไม่เอาแล้ว เบื่อ !”
“พ่อยังไม่ทันถ่ายรูปเก็บไว้เลยนะ”
“ไม่ต้องถ่ายหรอก ผมมันโง่เองแหละ เล่นอะไรงี่เง่า”
“ทำไม เราเล่นอะไร ?” แม่ของแบคฮยอนไม่รู้เรื่องนี้ “บอกแม่หน่อยสิ”

บอกไปแม่ก็สติแตกเปล่าๆ แบคฮยอนไม่พูดหรอก

คืนวันอาทิตย์แบคอยอนกลับมาที่ปูซาน โทรศัพท์ก็ยังคงมีคนโทรเข้ามาหาเป็นพักๆเหมือนนึกขึ้นได้เมื่อไหร่ก็โทรเมื่อนั้น ถึงจะเป็นเพื่อนกันมาแค่สามสัปดาห์เขาก็พอดูออกว่าเจ้าแว่นหนานิสัยเป็นยังไง เลยฝากบอกคนที่ชั้นล่างเอาไว้ว่าถ้ามีคนมาจอดจักรยานรอข้างล่างตอนเช้าวันจันทร์ให้บอกด้วยว่าเขาไปโรงเรียนแล้ว

พอแม่มาอยู่แม่ก็จะไปรับไปส่ง รถเมล์อะไรไม่นั่งแล้ว ไม่เอา !

ในเช้าวันจันทร์แบคฮยอนฉีกยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ใส่คอนแทคเลนส์แล้วมันก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เหมือนได้ตัวเองกลับมา เคยถามคุณครูซูโฮแล้วว่าใส่คอนแทคเลนส์ไปเรียนได้มั้ยครูก็บอกว่าได้ เรื่องย้อมสีผมครูก็บอกว่าทางโรงเรียนไม่ได้ห้ามแต่ส่วนมากไม่ทำกัน แน่นอนว่าบยอนแบคฮยอนชอบเป็นส่วนน้อย เต็มที่ !

“จะไปเรียนหรือไปเดินแฟชั่นโชว์” แม่ของแบคฮยอนอาศัยช่วงรถติดลูบผมลูกชายที่เคี้ยวแซนด์วิชที่เธอทำให้ตุ้ยๆ
“ได้แม่มานั่นแหละ”
“แหม ยอกย้อนเก่งนะเรา” เขกหัวไปหนึ่งที “ลูกดูหงุดหงิดนะ เดี๋ยวนี้คิดห่างเหินมีอะไรไม่เล่าให้แม่ฟังรึไง ?”
“เปล่าสักหน่อย” แบคฮยอนเอาแซนด์วิชคำสุดท้ายเข้าปาก “งอนเพื่อนนิดหน่อย”
“เพื่อนขอโทษรึยัง ?”
“ขอโทษแล้ว แต่...” แบคฮยอนเม้มปาก “ก็ได้ๆ เดี๋ยวผมไปคุย”
“เด็กดี” แม่ของแบคฮยอนยิ้มให้ลูกชาย “วันนี้อย่าโดนเรียนตอนบ่ายล่ะ มีเรียนเคมีนะ”
“รู้แล้วหน่าแม่ หวัดดีครับ”

แบคฮยอนโดนมองตั้งแต่ก้าวเข้าประตูรั้วโรงเรียน แต่ขอบอกเอาไว้เลยตรงนี้ว่าชิน รับได้เสมอไม่ว่าจะสายตาประเภทไหน คนแบบแบคฮยอนโดนมาหมดแล้ว มันก็จะเปลี่ยวหน่อยๆเพราะไม่มีใครเดินอยู่ข้างๆ แต่แบคฮยอนว่าเดินคนเดียวก็สบายดี

เสียงพูดคุยในห้องเรียนเงียบลงทันทีที่แบคฮยอนเดินเข้าไปเอากระเป๋าวาง ดึงเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะแล้วนั่งลงไป เสียงซุบซิบดังขึ้นต่อจากนั้นตามด้วยแรงสะกิดเบาๆจากคนที่นั่งถัดไปหนึ่งช่วงทางเดิน

“คือ...ไปย้อมร้านไหนมาหรอ สีสวยจังเลย”
“ที่โซลน่ะ” แบคฮยอนตอบ “เบอร์สีจำไม่ได้”
“แล้วราคาประมาณเท่าไหร่หรอ มันอยู่นานมากมั้ย ?”

แบคฮยอนตอบคำถามเหมือนเป็นร้านขายของพรีออเดอร์ในอินเตอร์เน็ต รวมถึงสีคอนแทคเลนส์ที่เพื่อนถามว่าสีอะไรยี่ห้ออะไร อยากจะใส่แบบนี้บ้าง

แต่จะสายตาของใครหรือการซุบซิบรูปแบบไหนก็ไม่เท่าสีหน้าตกใจของปาร์คชานยอลตอนที่เดินเข้าห้องมาหรอก ใจแบคฮยอนยังนึกเจ็บที่ก้นกระแทกพื้นอยู่ แต่ที่แม่พูดเมื่อเช้าก็พอจะเตือนสติกันได้ เรื่องมันก็แค่นี้อีกอย่างเขาก็แกล้งมันก่อน ไม่รู้จะทำให้มันใหญ่โตไปทำไม ถ้าชานยอลไม่ชอบแบบนั้นเขาก็ไม่ควรจะไปเล่นอีก ควรจะรู้ไว้ว่าแว่นตาหนาเท่าฝาบ้านคือลูกรักของมัน ห้ามไปแตะต้องเด็ดขาด

“แล้วที่ร้านเราให้เค้าเทียบสีได้ไหมว่าประมาณไหน..” เพื่อนชวนแบคฮยอนคุยต่อ แบคฮยอนก็ให้คำแนะนำเต็มที่ ส่วนชานยอลที่เดินมานั่งข้างกันนั้นทำตัวเหมือนจะจมเข้าไปในกำแพง
“ไง” แบคฮยอนตัดสินใจทักก่อน “ขอโทษที่ไม่ได้รับโทรศัพท์”
“...”
“นี่ง้ออยู่นะ พูดอะไรหน่อยสิ !”
“อื้ม..”

ชานยอลไม่ได้พูดอะไรต่อ พอแบคฮยอนจะพูดครูซูโฮก็เดินเข้ามาพอดี บทสนทนาระหว่างเราเลยถูกหยุดเอาไว้เท่านั้น

แบคฮยอนถามเรื่องการบ้านก็ได้รับคำตอบเป็นการเงียบ เรื่องที่ต้องตอบจริงๆก็ตอบอยู่ในลำคอเหมือนไม่อยากพูด ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อยากคิดเหมือนกันว่าโดนงอนกลับรึเปล่าแต่มันจะงี่เง่าเกินไป

ช่วงพักเที่ยงเลยกลายเป็นเวลาในการแก้ปัญหาของเรา แบคฮยอนนั่งอยู่แบบนั้น ชานยอลเองก็นั่งอยู่เฉยๆไม่ยอมลุก

“แบคฮยอน ไปกินข้าวกับเราได้นะ” มีเพื่อนเข้ามาชวน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปกับชานยอล”
“อ๋อ โอเค...”
“จะไป...ก็ได้นะ” ชานยอลก้มหน้าก้มตาเก็บของ
“ไม่ไป มีอะไรรึเปล่าล่ะ” แบคฮยอนหันทั้งตัวเข้าหาชานยอล “เป็นอะไร ?”
“...”
“โกรธเรื่องไหน จะได้พูดไปทีละเรื่อง แต่ถ้าจะเอารวมๆล่ะก็นายมาผลักฉันก่อนนะ !”
“...ขอโทษ”
“ให้อภัยแล้ว เลิกทำหน้าแบบนี้สักที” แบคฮยอนเอื้อมมือไปจะดึงแก้มของชานยอลแต่ต้องชะงักเพราะชานยอลหลบ “นาย...”
“เพื่อน...ดูชอบนายนะ จะไปกับเค้าก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก...”
“ชานยอล !” แบคฮยอนนึกโมโหขึ้นมาจริงๆ “นายไล่ฉันรอบที่สามแล้วนะ เป็นอะไรมากป่ะเนี่ย !?”
“...” ชานยอลก้มหน้าคางชิดอกเหมือนเดิมแบบที่ชอบทำมาตลอด “ก็อยากให้มีเพื่อนเยอะๆ...”
“มองฉัน” แบคฮยอนเสียงดังเพราะในห้องไม่มีใครอยู่แล้ว “บอกให้มองฉัน ปาร์คชานยอล !”
“...”
“มองสิ !”

ชานยอลเงยหน้าขึ้นสบตากับแบคฮยอนที่ตอนนี้เปลี่ยนไปเหมือนคนละคน

“ฉันยังคุยกับนายอยู่แบบนี้ รอไปกินข้าวพร้อมนายแบบนี้ไม่คิดว่าฉันอยากเป็นเพื่อนกับนายบ้างรึไง นายจะไล่ฉันอะไรกันนักกันหนา ฉันมันไม่ดีพอเป็นเพื่อนนายหรือว่ายังไง แล้วนี่เอากล่องข้าวมาทำไม จะทิ้งฉันให้ไปกินข้าวคนเดียวใช่ไหม ไม่รับโทรศัพท์สองวันจะตัดเพื่อนกันเลยหรอ มันจะเกินไปแล้วนะ !!”

ด่ามาราธอน ด่าแบบไม่หยุดพักหายใจ ด่าจนแบคฮยอนอยากหอบลิ้นห้อย

“ก็คิดว่าโดนทิ้งแล้ว...เลยเอาข้าวมากิน”
“...” แบคฮยอนชะงักไปจากคำพูดสั้นๆ “ชานยอล”
“โทรศัพท์ก็ไม่รับ ข้อความก็ไม่ตอบ ไม่ยอมมาโรงเรียนด้วยกัน...”

แบคฮยอนเอนหัวเอาหน้าผากไปพิงกับไหล่ของเพื่อนตัวใหญ่ที่ใจไม่ได้ใหญ่ตามตัวเลย

“ยอมรับว่าที่ไม่รับโทรศัพท์เพราะว่างอน” แบคฮยอนพูดความจริง “แต่เรื่องไม่มาโรงเรียน เมื่อเช้าแม่มาฉันมาส่ง แต่เย็นวันนี้จะกลับด้วยนะ”
“...”
“ยังอยากปั่นไปส่งกันอยู่มั้ย ?”
“...อยากครับ”

ข้าวกล่องของชานยอลถูกแบ่งครึ่งเพราะแบคฮยอนไม่อยากลงไปกินข้างล่างแล้ว ตอนแรกที่ต้องใช้ตะเกียบกับช้อนด้วยกันแบคฮยอนก็กลัวชานยอลจะลำบากใจ ปกติแล้วแบคฮยอนไม่ถือเรื่องพวกนี้ ถ้าเป็นเพื่อนก็ใช้ร่วมกันได้ ชานยอลเห็นเขามีท่าทีอึกอักก็บอกว่าไม่เป็นไร การกินข้าวร่วมกันจึงผ่านไปด้วยดี

“...คือฉันดูหนังเรื่องนึงน่ะ” แบคฮยอนอ้าปากรับปลานึ่งซีอิ๊วจากชานยอล “มันเป็นอารมณ์ทำตัวจืดชืดเพื่อตามหารักแท้ ฉันเบื่อๆไม่มีอะไรทำก็เลย..”
“ก็ถึงได้ว่า นายดูไม่ใช่เลย” ชานยอลพูดถึงภาพลักษณ์ของแบคฮยอนที่เปลี่ยนไป
“ฉันเล่นไม่เนียนหรอ ?”
“ก็รู้สึกได้ว่าเราไม่เหมือนกัน” ชานยอลรู้สึกมาตั้งนานแล้ว “นายดูเด็ดเดี่ยว มั่นใจในตัวเอง”
“แล้วนาย...ยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่มั้ย ?” อยู่ๆก็กลัวชานยอลหัวใจวาย รับไม่ได้ขึ้นมา ถ้ามันไล่เขาอีกรอบ สาบานเลยว่าจะคว้าแว่นมันแล้วโยนลงตึกไป
“ต้องถามนายต่างหาก” ชานยอลดูนิ่งขึ้น “ถ้านายอยากจะไปคบกลุ่มอื่น มีเพื่อนหลายคน แบบนั้นฉันโอเคนะ ไม่ต้องห่วงเลย”
“แล้วถ้าไม่อยากไป จะอยู่เป็นเพื่อนนายแบบนี้ จะช่วยเลิกพูดเรื่องนี้สักทีได้มั้ย” แบคฮยอนเบื่อจะฟัง “สำหรับฉันนายน่ารักที่สุดในโรงเรียนแล้ว ไม่ต้องไล่ให้ไปคบคนอื่นหรอก ขอขู่ไว้เลยนะ พูดให้ไปคบคนอื่นอีกคำแว่นนายแตกแน่ !”
“...” ชานยอลรู้ตัวว่าหูเขากำลังแดงก่ำ ปิดมันไม่ได้ด้วย “โหด...จัง”
“รู้แล้วก็ทำตัวดีๆเข้าไว้แล้วส่งหัวไชเท้ามาซะดีๆ”

แบคฮยอนนั่งคุยกับชานยอล เล่าถึงความเบื่อหน่ายในการต้องเป็นคนแบบนั้น บอกว่ามันไม่ใช่ตัวเองเลย พอได้มาทำตัวแต่งตัวตามที่อยากทำแล้วมันรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด พอชานยอลถามเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเปลี่ยนกลับเป็นเหมือนเดิมแบคฮยอนก็บอกว่าเพราะทะเลาะกับนายนั่นแหละ

“แล้วผมสีนี้สวยมั้ย ?” แบคฮยอนถาม
“ก็สวยดี”
“แล้วสีคอนแทคล่ะ สวยมั้ย”
“ไม่ต้องเอาหน้ามาใกล้” ชานยอลดันแบคฮยอนออกเบาๆ “สวยแล้ว”
“นายลองใส่บ้างดิ สีใสๆก็ได้ หล่อลืมตายเลยนะ”
“ไม่เอา ไม่ชอบเอาอะไรมาใส่ที่ตา” ชานยอลปฏิเสธ
“งั้นเปลี่ยนแว่นมะ ?” แบคฮยอนเสนอหนทางการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ชานยอล
“...นายไม่ชอบ...แบบนี้หรอ ?”
“ถ้าหมายถึงแว่นตานายล่ะก็..ฉันเกลียดเลยแหละ” แบคฮยอนอยากหักมันทิ้งวันละสามรอบ “ถ้าแม่ฉันเห็นนายแม่ฉันเป็นลมแน่ๆ แม่คงจะบอกว่าแว่นนายเชยไปสองทศวรรษ”

ช่วงเรียนคาบเคมีตอนบ่ายนั้น แบคฮยอนตอบคำถามเพื่อนต่างห้องหลายคนเกี่ยวกับเรื่องเดิมๆที่พูดไปแล้วตอนเช้า แต่พอได้คุยแบบนี้ก็เหมือนเป็นการผูกมิตร มีเพื่อนมาถามผลแลปกับชานยอลเหมือนกันทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาแทบเป็นอากาศในห้อง แบคฮยอนมองชานยอลที่ไม่ได้ดูเหมือนแบกโลกทั้งใบเหมือนเคยอีกแล้ว แววตาดูสดใสอารมณ์ดีไม่เหมือนเช้าวันนี้ที่เจอกัน

เห็นแบบนั้นก็ดี ไม่อยากให้คิดมาก เขาเปลี่ยนไปแบบนี้เพื่อนต้องตกใจอยู่แล้ว เวลาคนโดนแกล้งมาอยู่ด้วยกันจะรู้สึกว่ามีเพื่อน เขาเปลี่ยนไปแบบนี้ไม่โดนล้อแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้ชานยอลโดนเหมือนกัน

“ไงไอ้แว่น จมตายอยู่คนเดียวแล้วสิ เพื่อนมึงเค้า...”
“หุบปากเลยนะ” แบคฮยอนขัด “พูดเรื่องดีๆไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด”
“...”
“เอาเวลาว่าคนอื่นไปเรียนหนังสือให้เก่งขึ้นเถอะไป ที่บ้านส่งมาเรียนมาเดินกร่างว่าคนอื่นเค้าไปทั่วแบบนี้ภูมิใจในตัวเองนักรึไง ไร้สาระสิ้นดี ถ้ายังจะมาล้อชานยอลอีกฉันจะตบนายจนเลือดกลบปากแน่ อย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน !”

ถ้าเป็นลู่หานจะปรบมือเหมือนชมโอเปร่าแล้วพูดออกมาเสียงว่าบราโว่ ! แต่ถ้าเป็นชานยอลจะเป็นการทำตาโตอ้าปากค้าง ประมาณว่าเรื่องแบบนี้มันไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

เพื่อนถอยหนีไปอีกทาง นอกจากเพื่อนใหม่คนนี้จะอัพเกรดรูปลักษณ์ของตัวเองแล้วยังอัพเกรดนิสัยด้วย มองตาก็รู้แล้วว่าตบจริงเลยคิดว่าถอยดีกว่า

“แบคฮยอน...”
“เจ๋งล่ะสิ โค้งให้สักทีก็ได้นะ” แบคฮยอนเทสารตามขั้นตอน “ขอบคุณก็ได้ รับเหมือนกัน”
“ทำไมด่าเก่งจัง ?”
คำชมป่ะวะ ฟังดูทะแม่งยังไงชอบกล
“ตามระดับความโกรธอ่ะ เมื่อกี้โกรธนิดหน่อย”
“แล้วเมื่อเช้าล่ะ ?”
“อันนั้นแบบโกรธมาก เพราะว่านายพูดไม่ฟัง” ดึงหูชานยอลไปทีเพราะหมั่นไส้ ก่อนที่จะกลับทำแลปต่อ ให้ชานยอลนั่งเขียนผลไป

แบคฮยอนนั่งส่งข้อความหาแม่ในห้องเรียนว่าไม่ต้องมารับเดี๋ยวกลับกับเพื่อน แม่ก็โอเคกลับมา ถามว่าจะเอาอะไรไหมจะซื้อให้กิน บ้านแบคฮยอนไม่มีใครทำกับข้าวเป็น ลำพังง่ายๆอย่างแซนด์วิชเมื่อเช้าแม่ก็ทำได้ แต่อะไรที้ใช้ไฟนั้นแม่ทำไม่ได้เลย

หลังเลิกเรียนแบคฮยอนกับชานยอลก็ตรงกลับบ้าน เจ้าแว่นหนาปั่นจักรยานคล่องแคล่วเหมือนเดิม จนกระทั่งทิศทางของจักรยานมันตรงกันข้ามกับทางกลับบ้านของเขา

“ชานยอลไปไหน ?!”
“ไปตลาดกัน !”

ชานยอลปั่นจักรยานไปอีกฟากฝั่งของปูซานที่เขาไม่เคยไป จะว่าไปเขาก็ไม่เคยมาเที่ยวทะเลปูซานเลย เอาไว้ว่างๆจะชวนชานยอลมาเดินสวยๆอยู่ริมทะเลด้วยกัน

จักรยานถูกจอดพิงไว้กับรั้วบ้านใครก็ไม่รู้ แบคฮยอนถามเหมือนกันว่าแบบนี้จะไม่โดนว่าหรอ ชานยอลก็บอกว่าไม่หรอก จอดประจำ

ตลาดเริ่มมีแม่ บ้านมาจับจ่ายซื้อของสองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยของสดหรือของที่ปรุงสุกแล้ว ของใช้ในชีวิตประจำวัน ของซื้อฝากอะไรเยอะแยะไปหมด แต่ทุกอย่างนั้นมักจะเน้นอาหารทะเลเป็นส่วนมาก และแน่นอนว่ามันก็มี...

ปลา !! ปลาที่ยังไม่สุก !!

“แบคฮยอนลองอันนี้มั้ย อร่อยนะ” ชานยอลชี้ไปที่แผงให้ชิมเนื้อปลาสดที่เพิ่งแล่ออกมา “จิ้มกับน้ำจิ้ม”
“มะ..ไม่เอาดีกว่า”
“อร่อยจริงๆนะ แนะนำเลย”
“เอาหน่อยสิจ๊ะหนู อร่อยนะ”

ถ้าแบคฮยอนบอกว่าไม่กินปลาดิบ โลกของชานยอลจะแตกแล้วมันจะวิ่งลงทะเลไปเลยมั้ย ?

“คือฉัน...กุ้งทอดๆ !” เปลี่ยนเรื่องเลยก็แล้วกัน ถ้าเป็นกุ้งแบคฮยอนสู้ตาย “เพิ่งทอดเสร็จเลย”

เขาถามไถ่ราคาจากคุณลุงคนขาย จากนั้นก็ซื้อมาสี่ตัว แบ่งชานยอลสองตัวคนละครึ่ง เพื่อนตัวใหญ่ของเขาหูแดงก่ำรับกุ้งจากเขาไปก่อนจะเอ่ยเบาๆว่าขอบคุณ

จริงๆแล้วเขาคิดว่ามันตลกดี คนอะไรหูแดงตลอดเวลา มีหูเป็นอาวุธ เห็นแล้วก็น่ารักดี

“แบคฮยอนลองปลาหมึกมั้ย ?”
“มันเหนียวอ่ะ ไม่ชอบ”
“ถ้าบั้งดีๆมันจะไม่เหนียวนะ” ชานยอลชี้ให้ดู “ถ้าเหนียวจะเลี้ยงกุ้งสิบตัวเลย”
“เหนียว !”
“ยังไม่ทันจะกิน” ชานยอลหัวเราะก่อนจะส่งซูชิปลาหมึกใส่ปากแบคฮยอนที่อ้าปากรอรับอยู่
มันไม่เหนียวจริงด้วย รสชาติหวานธรรมชาติน้ำจิ้มก็อร่อย แต่บอกว่าเหนียวได้มั้ย อยากกินกุ้งอีกสิบตัว “อร่อยจัง”
“นั่นไง” ชานยอลจ่ายเงินคุณป้าก่อนจะส่งใส่ปากแบคฮยอนอีกชิ้น
“นายก็กินด้วยสิ” แบคฮยอนเคี้ยวตุ้ยๆ “หรือว่าต้องให้ป้อน ?”
“มะ...ไม่ต้อง” ชานยอลหยิบซูชิเข้าปากของตัวเอง “ฉันกินเองได้”
“หมายความว่าไง ฉันกินเองไม่ได้นายเลยต้องป้อนหรอ ?”
“ไม่ใช่นะ...”
“ไม่ใช่แล้วมันยังไง ก็นายพูดอยู่เมื่อกี้” แบคฮยอนแกล้งทำหน้าดุใส่ชานยอลที่ตอนนี้ตัวลีบลงเรื่อยๆ
“ไม่ใช่ ฉันไม่ป้อน...” ชานยอลพูดยังไม่ทันจบก็ถูกแบคฮยอนเอาซูชิหน้ากุ้งเข้าปากพร้อมรอยยิ้ม
“ล้อเล่นหน่า ขอบใจนะ”
“อะ...อื้ม”

แบคฮยอนเดินเที่ยวในตลาดกับชานยอลไปเรื่อยๆ พยายามหลีกเลี่ยงร้านที่ขายปลาดิบซึ่งเยอะมากเหลือเกิน เขาซื้อสาหร่ายแพ็คใหญ่ติดมือมาด้วย มีความคิดอยากซื้อของสดกลับบ้านแต่ติดที่ว่าไม่มีใครทำกับข้าวเป็นเลย

ชานยอลวอแวกับปลาไม่เลิก แบคฮยอนก็เครียดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพูดว่าไม่ชอบปลาสดๆ กลัวชานยอลตกใจ

“คือ...” ชานยอลยกมือเก้าท้ายทอย “คือนาย...”
“ว่าไง ?”
“...”
“อันนี้น่าซื้อกลับไปฝากแม่นะเนี่ย ซุปทะเล...”
“ไปกินข้าวที่บ้านฉันมั้ย ?” ชานยอลดูประหม่า “แม่บอกให้ชวน”
“ไปคุยกับแม่ตอนไหน ทำไมไม่เห็นเลย”
“...” ชานยอลเลิกลั่ก “ไม่เป็นไร ไม่ต้องไป...”
“ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่ไป นายนี่” แบคฮยอนยิ้มกว้าง “ให้โอกาสชวนใหม่ เป็นเด็กเป็นเล็กหัดโกหกหรอฮะ ?”
“...”
“ไง ?”
“ปะ...ไปกินข้าวที่บ้านฉันมั้ย ?” ชานยอลชวนใหม่ “ฉันอยากให้ไป ไปนะ”
“เออ ไปดิ” แบคฮยอนไม่ปฏิเสธหรอก เดี๋ยวชานยอลร้องไห้ “บ้านอยู่ไหน ?”
“ก็...ที่เอาจักรยานไปจอดไว้”
“นั่นบ้านนายหรอ ?” แบคฮยอนหันไปมองบ้านหลังใหญ่ข้างตลาด “ใช่ย่อยนะเรา แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก มาบอกว่าเค้าให้จอดได้...”
“โกรธหรอ ขอโทษนะ” ชานยอลขอโทษออกมาทันที
“...บ้าไง จะโกรธทำไมล่ะ ไปกินข้าวกัน ฉันหิวแล้ว” แบคฮยอนเดินลูบท้องอยู่ข้างชานยอลที่เดินนำทางกลับไปบ้านของตัวเอง พูดตามจริงเขาลดทิฐิของตัวเองลงมามากโข ไปกินข้าวบ้านคนอื่นเขาก็ไม่เคยทำ ไม่ชอบต้องมารับความรู้สึกของใครที่บางทีเราก็ไม่ได้อยากให้กลับไป แต่สำหรับเจ้าแว่นนี้เขาจะทำข้อยกเว้นให้มันก็แล้วกัน สารภาพว่าไม่ชอบเห็นหน้าเศร้าของชานยอลเลย มันรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้

ชานยอลจูงจักรยานของตัวเองเข้าบ้านโดยมีแบคฮยอนเดินตามไป ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้ๆกับตลาดแต่สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้แย่อะไร เสียงก็ไม่ค่อยดัง ตัวบ้านก็เดินเข้าไปค่อนข้างลึกจากประตูหน้าเลยไม่มีปัญหาเรื่องมลภาวะเท่าไหร่นัก

มันก็แค่สิ่งที่แบคฮยอนคิด แต่อยู่แบบนี้ก็อาจจะดี วันหลังอาจจะลองแนะนำพ่อว่าให้หาซื้อบ้านใกล้กับย่านที่ขายของกินเพราะบ้านเราทำอาหารไม่เป็น เวลาหิวจะได้ออกมาหาอะไรกินได้ง่ายไม่ต้องขับรถขับอะไรไปซื้อ

“เดี๋ยวชานยอล” แบคฮยอนเรียกเพื่อนเอาไว้ “ที่บ้านนาย…แบบโอเคมั้ยกับเด็กแต่งตัวแบบฉัน..”

แบคฮยอนไม่รู้ว่าตัวเองกังวลอะไร ไม่มีความมั่นใจขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้นทั้งที่ปกติแทบจะไม่สนใจอะไรด้วยซ้ำ แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ถามออกมาแต่ก็ถามออกไปแล้ว

“โอเคสิ นายก็แค่แต่งตัวเอง” ตาของชานยอลเป็นประกายสดใส “ฉันเล่าเรื่องนายให้แม่ฟังตั้งเยอะ บอกว่านาย…”
“อะไร ?”
“เข้าบ้านเถอะ แม่กับพ่อต้องรอแล้วแน่ๆ”
“อะไรอ่ะ บอกมานะชานยอล ชานยอล !!”

ชานยอลเดินหนีเขาเข้าบ้านไปเลย ทิ้งให้เขาวิ่งตามไป พอเขาวิ่งทันก็เตะมันเข้าไปเต็มเหนี่ยว มันเองก็หัวเราะเสียงดัง จนเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ที่ประตูเข้าบ้าน คนที่แบคฮยอนรู้ว่ายังไงก็คือแม่ของชานยอล

“สวัสดีครับ” แบคฮยอนโค้งแสดงความเคารพ รู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เพราะบางทีผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ชอบแฟชั่นเหมือนแม่เขา ก็คงจะไม่ชอบคนแต่งตัวแบบเขาด้วย ยิ่งไอ้สีผมสีชมพูแบบนี้
“สวัสดีจ้ะ เข้าบ้านกันป่ะ แม่เตรียมกับข้าวเอาไว้เต็มเลย”
“แม่ทำของโปรดผมไว้หรอ ?”
“ของโปรดแบคฮยอนต่างหาก มีเค้กวานิลลาด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ !” ได้ยินคำว่าของโปรดแบคฮยอนแล้วมันก็ตื้นตัน ได้แต่เดินเคียงคู่กับแม่ของชานยอลเข้าบ้านไป ปล่อยชานยอลเอาไว้ข้างหลัง ให้เดินตามเข้ามาเหมือนตัวเองเป็นแขก ทั้งที่ความจริงแล้วนี่เป็นบ้านมัน

อาหารมื้อนี้ที่บ้านของชานยอลนั้นเต็มไปด้วยความสุข เขายิ้มรวมถึงพูดคุยกับแม่ของชานยอลและชานยอลตลอดมื้ออาหาร บ้านของชานยอลเป็นบ้านที่อบอุ่นเหมือนกับบ้านของเขา อาหารที่แม่ของชานยอลทำให้กินก็อร่อยมาก ไม่มีปลาดิบมาทำให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด รวมถึงเค้กวานิลลาหนึ่งปอนด์ที่เขากินคนเดียวแทบจะทั้งก้อน ส่วนชานยอลนั้นกินไปแค่ห้าคำถ้วน

แม่ของชานยอลเอาคุกกี้ใส่ขวดโหลให้เขากลับไปกินที่บ้านชุดใหญ่ ตอนแรกชานยอลก็จะปั่นจักรยานไปส่งเขา โชคดีที่พ่อของชานยอลกลับมาก่อน คุณพ่อเลยไปส่งเขาที่บ้าน โดยมีชานยอลนั่งรถไปด้วยกัน เขาคอยตอบคำถามของคุณพ่อเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขาเอง แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติถ้าพ่อแม่อยากจะรู้ว่าพื้นเพของเพื่อนลูกชายเป็นยังไง เพราะมันจะสามารถคาดคะเนได้ว่าเพื่อนจะพาลูกชายของพ่อกับแม่เดินไปทางไหน

แต่แบคฮยอนจะไม่ชวนชานยอลย้อมผมสีชมพูด้วยกันหรอกนะ เพราะว่าเคยเห็นมันถอดแว่นแล้วมันหน้าตาดี ถ้ามันทำออกมาแล้วดูดีกว่า แบคฮยอนรู้สึกว่ายอมไม่ได้

“เอ่อ...แบคฮยอน” ชานยอลลงมาลาเขาที่หน้าคอนโด
“ว่าไงจ๊ะ ?” แบคฮยอนหัวเราะขำเมื่อหูชานยอลแดงก่ำ “อะไร ?”
“ขอบคุณนะ ฉันดีใจมากที่ได้เป็นเพื่อนกับนาย” ชานยอลหน้าแดงไปพูดไป ไม่รู้จะแดงไปถึงไหน “เอาไว้วันหลังมากินข้าวบ้านฉันอีกนะ”
“ดีใจที่ได้เป็นเพื่อนหรอ ถ้าเป็นมากกว่านี้จะดีใจป่ะ ?”
“อย่ามาแหย่ดิ...” ชานยอลผลักไหล่เขาเบาๆ ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อน
“แหนะๆ”
“ไม่คุยด้วยแล้ว กลับบ้านดีกว่า”
“นายทำไมหูแดงอ่ะ เขินเหรอ ?”

ชานยอลรีบเปิดประตูรถ ปิดประตูใส่เขาดังปัง แต่เขาไม่ได้นึกโกรธอะไรหรอก ชานยอลคงจะเขินขึ้นมาจริงๆ โชคดีที่ชานยอลมันไม่เขินจนเป็นลม เพราะเขาแบกมันไม่ไหวหรอก พ่อชานยอลจะตกใจอีกต่างหาก

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกดกระจกมาคุยกับเขา ทั้งที่หูยังแดงอยู่นั่นแหละ

“พรุ่งนี้เจอกันนะ”



แบคฮยอนมาอยู่ปูซานได้เกือบสามเดือนแล้ว การเรียนและการสอบกลางภาคของเขาผ่านฉลุยไปอย่างไม่มีปัญหา เพราะว่าเขานั้นเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลก แถมยังมีคนติวให้อย่างปาร์คชานยอล คะแนนดีๆมันจะหนีไปไหนรอด มันก็ต้องมาต่อท้ายชื่อบยอนแบคฮยอนเนี่ยแหละ

ในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนคนใหม่นี้ เป็นไปได้ด้วยดีตามที่ใจเขาอยากให้เป็น ยิ่งเวลาเขาเข้าใกล้แล้วชานยอลทำตัวเขียนมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแหย่ยิ่งใกล้มันมากขึ้นเท่านั้น ใช้เวลาเกือบเดือนมันถึงจะเลิกตกใจ แต่ใบหูทั้งสองข้างก็ยังคงเป็นสีแดงจางๆ เวลาใกล้ชิดกับเขาอยู่ดี

เขาชอบเข้าไปควงแขน เอาหัวไปหนุน เอาขาเอาแขนไปพาด เป็นเรื่องปกติที่เขาทำอยู่แล้ว ตอนแรกไอ้ชานยอลมันก็ทำตัวไม่ถูก หน้าแดงเหมือนจะเป็นลม แต่ตอนนี้ชานยอลโอเคแล้ว เขานอนหนุนพุงมันตอนโดดเรียนมันก็ไม่ว่า ให้มันแบกเขาขึ้นหลังเดินริมชายหาดมันก็ไม่ว่า เขาจับมันใส่คอนแทคเลนส์ตอนอยู่กันสองคนมันก็ไม่ว่า เขาเอาแว่นมันไปซ่อนมันก็ไม่ว่าเหมือนกัน

แต่ยังไม่ถึงกับหักทิ้งหรอกนะ กลัวหัวใจมันจะสลายกลายเป็นผุยผง

เรื่องกินข้าวที่บ้านของชานยอลนั้น เขาไปกินทุกวันศุกร์ตอนเย็น จนกระทั่งครั้งที่สี่ของการไปกิน เขาก็ได้ฤกษ์ได้ยามสารภาพกับไอ้แว่นว่าเขาเกลียดปลาดิบสุดหัวใจ มันก็อมยิ้มให้เขาดูอยู่หลายนาที พอเขาทำท่าจะตบมัน มันก็รีบบอกออกมาว่า รู้แล้ว

‘รู้แล้ว ?!’
‘ก็นายเลี่ยงทุกครั้งที่ฉันให้กินเลย ก็เดาได้แหละว่าไม่ชอบ’
‘แล้วทำไมนายชอบชวนฉันกินปลาดิบอยู่เรื่อย ?’
‘ก็แกล้งนายสนุกดี—โอ๊ย แบคฮยอนอย่าดึงหู...’

เขาเปลี่ยนสีผมทุกเดือน สุดท้ายแล้วก็กลับมาเป็นสีดำเพราะแม่บอกว่าให้ย้อมกลับ แล้วก็สั่งให้หยุดย้อมไปสามเดือนเพื่อรอตัดผมที่มันเสียออก เขาเองก็ขี้เกียจจะขัดใจแม่ แม่ว่าไงเขาก็ว่าอย่างนั้น รวมถึงแว่นตาที่บางวันเขาก็ใส่มาเป็นเพื่อนชานยอล บางวันก็ใส่คอนแทคเลนส์มา

ตอนแม่เขาเห็นหน้าชานยอลครั้งแรก แม่เขาก็ตกใจมากเพราะไม่คิดว่าเขาจะมีเพื่อนแบบที่เล่าให้แม่ฟังจริงๆ แม่เขาพูดถึงเรื่องแว่นของชานยอลประมาณสามสิบครั้ง สุดท้ายชานยอลก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามผู้นำแฟชั่นวัยสี่สิบ ได้กรอบแว่นที่สมัยนี้นิยมใส่กันมาไว้ในครอบครอง

แน่นอนว่าหล่อสมกับเป็นเพื่อนบยอนแบคฮยอน เพื่อนของบยอนมันต้องแบบนี้ !

แต่เขาไม่ได้เห็นมันหล่อคนเดียวน่ะสิ นั่นแหละปัญหา คนทั้งโรงเรียนเขาก็เห็นกันหมด เรื่องที่มันหล่อก็เป็นเรื่องดี คนมาสนใจมันก็เป็นเรื่องดี มันไม่ต้องนั่งอมขี้ฟันรอเขามาคุยด้วยอีกแล้ว มีคนอื่นนอกจากเขามาคุยกับมันตั้งเยอะ เราซื้อขนมมาฝากบ้างล่ะ เราทำนั่นมาให้บ้างล่ะ แหวะ อยากจะอาเจียนข้าวเที่ยงออกมาจริงๆ รำคาญ

“แบคฮยอน กินขนมมั้ย ?”
“ไม่กิน”
“ทำไมล่ะ ร้านนี้นายก็—”
“ฉันไม่ชอบแล้ว เอาไปไกลๆเลย” แบคฮยอนนั่งลงข้างชานยอล มองขนมที่วางอยู่บนโต๊ะของชานยอลด้วยหางตา
“นาบีให้มา บอกว่าให้แบ่งแบคฮ—”
“ไม่ต้องมาแบ่ง บอกว่าไม่กินไง !”
“ไม่กินก็ไม่กิน” ชานยอลไม่เซ้าซี้ต่อ “โมโหอะไรเหรอ ฉันช่วยได้ไหม ?”
“รำคาญ ยัยนาบงนาเบนี่มันจะอะไรนักหนา เอาขนมมาให้อะไรทุกวัน บ้านรวยนักรึไง หรือนายไม่มีปัญหาซื้อกินเองฮะ !”
“เค้าชื่อนาบี” ชานยอลแก้ให้ “เค้าก็เอามาให้ทุกวัน ฉันก็รับมาเฉยๆ...”
“นายจะรับมาทำไม ทำไมไม่บอกไปว่าไม่เอา !”
“ก็น้ำใจเพื่อน เราควรจะรับไว้นะ”
“รำคาญ !” แบคฮยอนเสียงดัง วางกระเป๋าลงบนโต๊ะดังตุบ ก่อนจะเดินหนีไปทางหน้าประตูห้อง “ไม่ต้องตามมาด้วย อยากอยู่คนเดียว !”

แบคฮยอนเดินฟึดฟัดขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกที่เขาชอบไปโดดเรียนไปนอนกับชานยอลบ่อยๆ ถอนหายใจใส่อากาศกับท้องฟ้าที่สดใสจนเขาอารมณ์เสีย เขาเบื่อที่มีแต่คนเข้าหาชานยอล ทั้งที่เมื่อก่อนมันไม่เคยมี จะบอกว่าเขาไม่ดีใจที่เพื่อนมันสังคมที่กว้างขึ้นมันก็ไม่ดีอีก เขาไม่ควรจะรู้สึกแบบนี้ รู้สึกไม่อยากให้ชานยอลมีใคร ไม่อยากให้ใครเอาอะไรมาให้ชานยอล เจ้าแว่นนั่นมันควรจะมีเขาคนเดียวสิ เขาเป็นเพื่อนที่ทำให้มันมีผู้หญิงเอาของมาให้นะ ถ้าเขาจะไม่พอใจ มันจะมีสิทธิรึเปล่า

ถ้าถามไอ้ลู่หาน มันก็คงจะตอบกลับมาว่านายเครซี่ไปแล้วบยอน ไปย้อมผมสีน้ำเงินให้มันหายฟุ้งซ่านไปมายเฟรนด์

“แบค...”
“ก็บอกว่าไม่ให้ตามขึ้น—จะมากอดทำไม !”
“เป็นอะไรอ่ะ นายโกรธอะไร”
“ไม่ต้องมายุ่ง !”

รู้อยู่แหละว่าชานยอลมันต้องทำใจกล้าเหมือนเหล็กไหลเพื่อที่จะกอดเขาหลวมๆ แต่เขาไม่มีอารมณ์จะมากอดมันฉันเพื่อนหรอกนะ คนมันโมโห ไม่อยากให้ใครมาแตะตัว

แต่พอมันทำหน้าเหมือนโลกล่มสลาย เหมือนโลกนี้ไม่มีปลาให้มันกินแล้ว เขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพื่อลดอาการโกรธในใจ ปัดอาการไม่พอใจออกไปให้หมด แล้วเดินเข้าไปกอดชานยอลแทน

“เลิกทำหน้าแบบนี้ ไม่งั้นนายโดนตบแน่” เขากอดชานยอลหลวมๆ ไถ่โทษที่สะบัดตัวออกมาเมื่อกี้
“ไม่ทำแล้ว” ชานยอลกอดเขาตอบ “แบคฮยอนเป็นอะไร”
“เบื่อนาย จะรับของคนทั้งโลกเลยมั้ย ฉันจะได้ย้ายกลับโซลเทอมหน้า”
“...ก็เค้าให้มา จะไม่รับได้ยังไง”
“คือยังไงก็จะรับใช่มะ !” แบคฮยอนดันชานยอลออก “เพื่อนเยอะแล้วนี่ ฉันกลับโซลไปมันก็ไม่สะเทือนใจนายสินะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ”
“แล้วมันแบบ—”
“เอ่อ...ชานยอล”

แบคฮยอนกับชานยอลหันไปที่ต้นเสียงพร้อมกัน ก็เจอยัยผู้หญิงที่ชื่อนาบงนาเบอะไรนั่นกำลังยืนยิ้มเหมือนรู้ตัวว่าเข้ามาขัดจังหวะพวกเค้ากำลังทะเลาะกันอยู่

คือถ้ารู้ว่าทะเลาะกันอยู่แล้วทำไมไม่หันกลับลงบันไดไปวะ จะเสนอหน้าเรียกชื่อไอ้แว่นมันทำไม กล้าดียังไงมาขัดตอนแบคฮยอนทะเลาะกับชานยอล

“เรามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ ชานยอลมาคุยกับเราได้มั้ย ?”
“ได้สิ มีอะไร—”
“ได้หรอชานยอล นายทะเลาะกับฉันอยู่นะ !”
“ก็เค้ามีเรื่องจะคุยด้วย อาจจะให้ช่วย...”
“เออ !” แบคฮยอนห้ามอารมณ์โมโหไม่ได้แล้ว มันแล่นขึ้นไปถึงสมอง “เธอ มานี่ !”

ยัยนาเบทำหน้าเหมือนไม่กล้าเดินเข้ามา แต่พอแบคฮยอนตะโกนใส่อีกครั้ง เธอก็ยอมเดินมาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะกลัวกันหน่อยๆ

“คุยกันไปเลยนะ ช่วยกันให้เต็มที่ไปเลย ตามสบาย !”

แบคฮยอนเดินลงมาจากดาดฟ้า เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลาเรียน เขาเลยคว้ากระเป๋าที่อยู่บนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องไป ระหว่างทางเขาสวนกับจีอึนที่ชอบเอาชุดมาให้เขาช่วยเลือก เธอถามว่าเขาจะไปไหน เขาเลยตอบกลับไปว่าจะกลับบ้าน ท่าทางเธอก็ดูจะงุนงงว่าทำไมเขาถึงรีบกลับทั้งที่มันยังไม่แปดโมงครึ่งด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาทั้งนั้น

ถ้านั่งเรียนข้างชานยอลทั้งวันด้วยอารมณ์แบบนี้เขาคงประสาทกินตาย กลับห้องไปสงบสติอารมณ์ก่อนนั่นแหละดีแล้ว ตอนนี้ถ้าเห็นหน้ากันคงได้หงุดหงิดกว่าเดิม เผลอสติแตกเอากระเป๋าฟาดมันเหมือนที่เอาขวดน้ำเขวี้ยงหัวลู่หานก็ได้ ใครจะไปรู้

เขาใช้ประตูหลังโรงเรียนเป็นทางออก ก่อนจะเดินต่อไปอีกหน่อยเพื่อเรียกแท็กซี่ไปส่งที่คอนโด ระหว่างที่อยู่บนแท็กซี่เขาก็ส่งข้อความหาแม่ว่าวันนี้จะไปไหนมั้ย เขาจะไปด้วย แม่ก็บอกว่าจะเข้าโซลไปเอาเสื้อที่สั่งตัดไว้ เขาเลยบอกแม่ว่าจะไปด้วย วานให้แม่ช่วยจัดเสื้อผ้าไปค้างคืนให้หน่อย พอแม่ถามกลับมาว่าเราไม่เรียนหนังสือรึไง เขาก็ตอบไปว่าไม่มีอารมณ์เรียนแล้ว แล้วก็บอกว่าค่อยคุยกันนะแม่

พอถึงหน้าคอนโดก็เห็นว่าแม่ยืนรออยู่ ยังไม่ทันจะพูดจะเอากระเป๋าไปเก็บ แม่ก็บอกให้ไปขึ้นรถเลยเพราะจะไปไม่ทันเวลานัดเอา การเดินทางไปโซลตามที่ปากพูดจึงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เหมือนหายใจเข้าตอนอยู่ที่โรงเรียน แล้วพอหายใจออกก็วาร์ปมาอยู่ในรถของแม่ที่กำลังขับไปโซล รวดเร็วทันการในแบบที่ค่อนข้างพอใจ ที่นี้ไอ้ชานยอลมันจะได้รู้ว่าเขาน่ะของจริง

แบคฮยอนไม่อยู่แล้วจะรู้สึก !

อยู่บนรถไม่ถึงสิบนาทีโทรศัพท์ก็สั่นครืดคราด ไม่ต้องเดาหรือมีเซนส์ใดๆก็รู้ว่าใครโทรมา ตอนแรกเขาทำท่าจะโยนโทรศัพท์ไปเบาะหลัง แต่สายตาของแม่ที่ไม่ชอบให้เขาทะเลาะกับเพื่อนนั้น สั่งให้เขากดรับสายของชานยอลแทน

“อะไร”
(อยู่ไหน ใกล้เวลาเรียนแล้วนะ)
“แล้วไง คุยกับยัยนาบงเสร็จแล้วรึไง”
(เค้าชื่อนาบี)
“เออสิ ฉันมันชื่อแบคฮยอนนี่ !”
(อะไรของนายน่ะ เป็นอะไร แล้วนี่อยู่ไหน)
“ฉันกลับโซลแล้ว แค่นี้ !” แบคฮยอนตัดสายชานยอลทิ้ง ก่อนจะหันไปคุยกับแม่ที่รู้ว่าไม่พอใจในสิ่งที่เค้าพูดอย่างที่สุด “รู้ว่างี่เง่า แต่ไม่ไหวอ่ะ รำคาญ”
“เรารำคาญอะไร ?” แม่ถามเขา
“ก็ชานยอลอ่ะแม่ มีแต่ผู้หญิงเอาของมาให้ แล้วมันก็รับของทุกคน ยิ้มให้คนทั่วราชอาณาจักรอ่ะ ตอนมันไม่มีใครแบคก็ยังอยู่กับมัน แว่นที่ทำให้มันหล่อนี่เราก็ช่วยกันเลือกป่ะ ทำไมทำเหมือนไม่เห็นหัวกันอ่ะแม่”
“เค้าไม่เห็นหัวเราอะไร เค้ารับของใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา”
“เกี่ยวสิ แบคเป็นเพื่อนคนเดียวในโรงเรียนของชานยอลนะ !” แบคฮยอนกอดอก “หรือจะไปอยู่กลุ่มอื่นดี เบื่อเต็มทนแล้ว”
“เรางี่เง่านะ แม่ว่ามันเกินไป”
“แม่ !”
“งอนให้พอแล้วก็กลับไปคุย เรื่องแค่นี้อย่าเอามาทะเลาะกับเพื่อน”

แบคฮยอนหันหน้าบึ้งๆของตัวเองออกนอกหน้าต่าง ถ้าแม่ไม่เข้าข้างแบคฮยอนก็จะไม่คุย เอาไว้ไปโทรไปฟ้องพ่อก็แล้วกัน

พอลู่หานรู้ว่าเขาไปโซลก็ปีนรั้วออกมาเที่ยวด้วยกัน แม่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะจะเรียนไม่เรียนมันเรื่องของลูก อีกอย่างเขาโดดเรียนอะไรยังไงก็บอกตลอด ไม่ได้ออกนอกสายตาไปไหน

เขาได้หมวกใบใหม่มาสองใบ ได้เสื้อมาอีกตัว กางเกงก็อีกตัว แล้วก็เสื้อคลุมอีกสอง เป็นเรื่องดีๆในวันนี้ ส่วนเรื่องไม่ดีเรื่องที่สองคือไอ้ลู่หานมันจ้อไม่หยุด หูเขาจะหนวกเอาเพราะเสียงมัน

-นายอยู่ไหน มาเรียนได้แล้ว-
-ฉันขอโทษ-
-นี่ไปโซลจริงๆหรอ-
-ทำไมไม่ตอบล่ะ-
-นายจะไม่ตอบฉันอีกแล้วหรอ-
-แบคฮยอน ไปจริงๆใช่มั้ย-
-กลับมานะ-
-จะกลับมาเมื่อไหร่-
-ฉันไม่รับของใครแล้วก็ได้ กลับมาเถอะ-
-กลับมาคุยกันก่อน-
-กลับมาทะเลาะกันต่อก็ได้-
-แบคฮยอน-

แบคฮยอนถอนหายใจดังเฮือกใส่โทรศัพท์ เมื่อได้อ่านข้อความของชานยอลที่ส่งมาตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนตอนนี้ฟ้ามืดแล้วมันก็ยังไม่เลิกส่ง สลับกับโทรมาบ้างแต่เขาก็ไม่ได้รับ จนมันดังตอนที่แม่เดินผ่านนั่นแหละ เขาถึงได้ต้องกดรับสายมันด้วยอารมณ์บูดบึ้งเต็มทน

ไม่ได้อยากรับหรอกนะ แม่สั่งด้วยสายตาทั้งนั้น !

“อะไร !”
(กลับมานะ อย่าไปอยู่โซลเลย)
“ทำไมจะอยู่ไม่ได้ !”
(ก็...นายบอกว่านายเป็นเพื่อนฉันไม่ใช่หรอ)
“ไม่เป็นแล้ว !”
(แบคฮยอนโกรธอะไรอ่ะ ทำไมต้องโกรธ)
“ไม่—”
(กลับมาพรุ่งนี้นะ จะพาไปเล่นทะเลด้วยกัน)
“ชิ...”
(นะ แบคฮยอนนะ จะให้แม่ทอดกุ้งเอาไว้ให้ กิโลนึงเลยเป็นไง)
“ไม่ !”
(เค้กวานิลลาอีกปอนด์นะ อย่าโกรธกันเลย)
“...”
(ถ้าใกล้ถึงแล้วก็โทรมาบอกนะ จะปั่นจักรยานไปรับ)
“เรื่องของนาย !”

กับไอ้แค่กุ้งทอดกิโลนึงกับเค้กหนึ่งปอนด์นี่ ไอ้ชานยอลมันคิดว่าคนอย่างเขาจะยอมใจอ่อนให้มันหรอ ที่คนอย่างบยอนแบคฮยอนกลับมาถึงปูซานตั้งแต่สามโมงเย็น มายืนรอซ้อนจักรยานนี่ก็เพราะแม่บังคับมาทั้งนั้น แม่บอกว่าอย่าทะเลาะกับเพื่อน ไม่ได้เกี่ยวกับยิ้มปัญญาอ่อนของไอ้ชานยอลสักนิด ไม่เกี่ยวเลยสักนิด !

ไอ้ชานยอลมันบอกว่าจะพาเขาไปทะเลก่อน เพราะวันนี้จะรอพ่อกลับมากินข้าวด้วยกัน เขาเองก็ทำแค่นั่งหน้าบึ้งซ้อนท้ายจักรยานของมัน ไม่พูดอะไรตอบสักคำแต่ไอ้ชานยอลมันก็เอาแต่พูดไม่หยุด พูดอยู่ได้ !

“โกรธอะไรเหรอ ?”

ดูสิ ตอนนี้ก็ยังพูดไม่หยุด จะปล่อยให้เขาดื่มด่ำกับเสียงคลื่นและลมทะเลที่ตีเข้าหน้าเหมือนในซีรี่ย์ไม่ได้รึไง ชวนคุยอยู่นั่น

“แบคฮยอน...”
“อะไรนักหนา” พอพูดไม่ดีออกไป ไอ้ชานยอลก็หน้าหงอยลงในพริบตา จนเขาใจอ่อนยอมพูดใหม่ “ช่างเถอะ”
“ไม่เอาดิ ไม่อยากทะเลาะกับแบคฮยอน”
“เออๆ” เขาตัดปัญหา เพราะมันยากจะพูดว่าตัวเขาเองเป็นอะไร “ไม่ทะเลาะด้วยแล้ว”

ชานยอลขยับตัวเข้ามาชิดไหล่เขา เขาเลยเอนหัวไปพิงไหล่มันแบบที่ชอบทำมาตลอด เหม่อมองทะเลรวมถึงเกลียดคลื่นที่ซัดสาด เมื่อก่อนเขาก็ไม่เข้าใจคนที่บอกว่ามองทะเลแล้วสบายใจหรอก แต่พอได้มานั่งมองเอง ถึงได้รู้ว่ามันรู้สึกสงบในใจได้มากขนาดไหน

คนตัวโตแต่ใจเล็กมากๆข้างเขาเคยเล่าให้ฟังว่า เวลาที่เกลียดโรงเรียนจนไม่อยากไปอีกแล้ว ได้มานั่งมองทะเลอยู่เงียบๆก็สบายใจขึ้นเป็นกอง วันนั้นจำได้ว่าเขากอดมันอยู่ตั้งนาน บอกว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ มาฟ้องได้เลย จะไปจัดการให้

แบคฮยอนเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้จัง

“เมื่อวาน...ที่นายเดินลงไปแล้ว” สายตาของชานยอลมองทะเล ริมฝีปากขยับพูดกับแบคฮยอน
“...”
“นาบีบอกว่าชอบฉัน—โอ๊ย แบคฮยอน !”

แบคฮยอนไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองทำอะไรลงไป อยู่ดีๆก็กำทรายปาใส่หน้าชานยอล ก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไปไหน ก็โดนชานยอลที่คว้ามือสะเปะสะปะมากระชากกางเกงเขาจนต้องทรุดนั่งลงที่เดิม

มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก ทรายไม่เข้าตามันสักเม็ด แว่นช่วยชีวิตมันไว้

“หุบปากไปซะ ไม่งั้นฉันจะเอาทรายยัดปากนาย !”
“โอ๊ย แบคฮยอนใจ—อย่าสิ โอ๊ย !” ชานยอลปัดป้องตัวเองจากเงื้อมือของแบคฮยอน
“นายมันไอ้เพื่อนชั่ว ฉันจะ—”
“ฉันบอกนาบีว่าฉันชอบนาย !!”
“...” มือของแบคฮยอนที่กำลังจะเอาฟาดหัวชานยอลค้างกลางอากาศ “อะไรนะ ?”

เขามองหน้าไอ้เพื่อนแว่นที่ตอนนี้มันคงหน้าแดงที่สุดในชีวิตมันแล้ว เขาไม่เคยเห็นชานยอลหน้าแดงเท่านี้มาก่อน รวมถึงหูที่แดงก่ำจนคิดว่ามันคงแดงไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว มือใหญ่ๆของชานยอลจับอยู่ที่แขนของเขา สายตากลมโตที่เขารู้มาตลอดว่ามันน่ามองขนาดไหนนั้นกำลังจ้องเขาด้วยสายตาจริงจังจนทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ในหัวมีแต่สิ่งที่ชานยอลพูดออกมาเมื่อกี้ มันบอกว่ามันบอกยัยนาเบว่าชอบเขาหรอ ไอ้ชานยอลมันชอบเขาหรอเนี่ย

“พูดจริงป่ะ ?”
“จะ...จริง” ชานยอลพยักหน้าประกอบความหนักแน่น “แต่...แต่ไม่ได้อยากทำให้ลำบากใจนะ แค่อยาก..ให้รู้ไว้เฉยๆ”
“นี่ถึงขนาดต้องกลับมาพูดคำเว้นคำเลยรึไง” แบคฮยอนอารมณ์ดีขึ้นมาฉับพลัน หัวใจเต้นแรงสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย รวมถึงที่แก้มทั้งสองข้างของตัวเองด้วย
“ก็...ก็...ก็มัน...” ชานยอลพูดไม่ถูก “กลัวนายจะโกรธ แต่ก็คิดว่าต้องพูด”
“แล้ว ?”
“แล้ว...แล้ว...ฉันก็เลยไม่อยากให้นายโกรธฉัน...”
“นายชอบฉันมากมะ ?”

ถึงชานยอลจะไม่ได้ตอบ แต่อาการหน้าแดงไปทั้งหน้าลามไปถึงหูก็บอกได้อยู่

“ฟังนะไอ้แว่น นี่เป็นคำสั่งจากคนที่นายชอบ” แบคฮยอนจ้องหน้าชานยอล “ข้อหนึ่ง ห้ามรับของจากผู้หญิงคนไหนอีก ไม่ต้องมาคำนึงถึงน้ำใจอะไรทั้งนั้น ถ้ารับฉันจะโกรธนาย ขนของกลับโซลเลย”
“อืม...”
“ข้อสอง ผู้หญิงคนไหนยิ้มให้ห้ามยิ้มตอบ ถ้าเกิดว่าเป็นเพื่อนกันให้มาสะกิดฉันก่อน จะพิจารณาอีกที เข้าใจ๊ ?”
“เข้าใจ” ชานยอลพยักหน้าเบาๆ
“ข้อสาม ชอบแล้วห้ามเลิกชอบ ถ้านายเลิกชอบฉัน ฉันจะจับหัวนายกดลงทะเล เก็ทไม่เก็ท ?!”
“เก็ทครับ”
“ตอนนี้ก็แบกฉันขึ้นหลังเดี๋ยวนี้เลย ฉันอยากเดินเล่น !”

ชานยอลหันหลังให้เขา เป็นสัญญาณที่แสดงออกว่าให้เขาปีนขึ้นหลังใหญ่ๆนี่ไป เอาแขนคล้องคอเอาไว้ ให้มันแบกเขาไปจนสุดริมหาด

“แล้ว...ยัยนาเบว่าไง ตอนนายบอกว่าชอบฉันอ่ะ” เขาถามชานยอล ขณะที่กำลังสบายอยู่บนหลังกว้างๆนี่
“ก็...ร้องไห้”
“ไปบวชเลยมั้ย ทำผู้หญิงร้องไห้เนี่ย”
“ไม่ไปหรอก ต้องอยู่กับแบคฮยอน”
“โถ่ น่ารักอะไรขนาดนี้” เขาหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นใบหูแดงๆนั้นแดงขึ้นไปอีก “พรุ่งนี้มารับเช้าๆนะ จะเลี้ยงโฮต๊อก”
“ได้เลย”

ปกติแล้วแบคฮยอนคงเอื้อมมือไปดึงแก้มชานยอลจนยืด ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเขินให้เขาเห็น แต่วันนี้เขาจะไม่ทำแบบนั้นหรอก ชานยอลอุตส่าห์กลั้นใจแทบตายมาบอกว่าชอบเขา มองก็รู้ว่ามันคงรวบรวมความกล้ามาจากแกนกลางของโลก

เขาก็เลยยื่นหน้าเข้าไปแทน แล้วแนบริมฝีปากลงไปที่ข้างแก้มของชานยอลเบาๆ

“โอ๊ย ไอ้บ้าชานยอล แกปล่อยฉันลงพื้นทำกุ้งอะไรฮะ !!”
“ขะ...ขอโทษ คือ...คือฉัน..” ชานยอลทำตัวไม่ถูก จากหน้ากับหูที่แดง มันจะแดงทั้งตัวอยู่แล้ว อยู่ดีๆแบคฮยอนก็ทำแบบนั้น ชานยอลตั้งตัวไม่ทัน มือไม้มันอ่อน
“ไม่ให้ชอบแล้ว เจ็บก้น !!”
“โถ่...แบคฮยอน”
“ไม่ต้องเอามือมาแตะเลยนะ เอ๊ะ...บอกว่าอย่ามาแตะไง !”
“แบคฮยอนอ่ะ...”

แบคฮยอนว่า เขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเนิร์ดหรอก

ไอ้ชานยอลคนเดียวก็พอแล้ว เนิร์ดได้ใจแบคฮยอนเลย

ให้ตายสิ !

щ(ಥ益ಥщ)



















♡♡♡♡♡
เพราะว่าชานยอลหล่อมาก
หล่อเกินไป หล่อแบบหล่อ
หล่อจัง หล่อแบบทนไม่ไหว
หล่อแบบ โอ๊ยยย หล่อเว้ยยยย

แต่งไว้นานแล้วค่ะ นำมาปัดฝุ่นที่หนามากๆ
ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ ช่วยรักเอ็กโซกันไปนานๆนะคะ
รักเซฮุนนะ 55555555555

























Reply · Report Post