sodaisy95

🧸🎈💙 · @sodaisy95

13th Jun 2018 from TwitLonger

6/14 (with chanbaek day)


story : 6/14
CHANBAEK
- in this day





มือข้างหนึ่งถูกใช้ในการยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจรดริมฝีปาก ส่วนอีกข้างนั้นกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหากิจกรรมทำในคืนที่อยู่คนเดียวแบบนี้ มันเป็นเรื่องหน้าเศร้าที่เขาใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างคนบ้า ตั้งหน้าตั้งตาเป็นคนบ้างานอยู่แทบทั้งปี จนมาวันนี้เขากลับรู้สึกว่ามันโคตรจะแย่ ถึงเขาจะมีเงินเก็บเพราะทำงานอย่างหนัก ได้เลื่อนขั้นเพราะความขยัน แต่เขาก็ไม่เคยดีใจและนั่นมันก็ทำให้เขารู้ว่าเขาไม่เคยมีความสุขเลย

บางทีเขาอาจจะไม่ชอบงานที่ทำแต่มันก็ไม่ใช่ เขาทำงานที่นี่มาห้าปีแล้ว จำภาพของตัวเองได้ดีว่าตอนนั้นมีความสุขยังไงที่ได้ทำงานที่นี่ สนุกกับการได้นั่งลงที่ออฟฟิศแล้วตั้งใจทำงาน ถกเถียงข้อเท็จจริงในที่ประชุมหรือเสนอไอเดียใหม่ๆ แต่ความรู้สึกแบบนั้นในวันที่เขานั่งอยู่ตรงนี้นั้นมันไม่มีอยู่แล้ว

วิธีแก้ปัญหาแบบคนไร้ทางออกมักจะเริ่มต้นด้วยของมึนเมาสำหรับคนอย่างเขา เอาเข้าจริงนอกจากหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าปากแล้วมันก็คิดอะไรไม่ออกเลย ร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดจึงเป็นสถานที่พักพิงในการกวาดเบียร์กระป๋องมาซะหมดตู้แล้วเดินไปจ่ายเงินหน้าแคชเชียร์ น้องที่เป็นคนคิดเงินก็ส่งหน้าเห็นใจมาให้กันเสียเต็มประดา เพราะรู้ว่ากวาดซื้อเบียร์ด้วยสีหน้าแบบเขานั้นไม่พ้นมีเรื่องอะไรในใจก็เป็นไปได้

ที่จริง...เขาจะไปเที่ยวไหนกับใครก็ได้ จะไปทำอะไรที่ไหนยังไงอะไรก็ทำได้ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ นอนเอนหลังอยู่บนโซฟามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วกระดกเบียร์เข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่า เอาจริงๆเขาคิดว่าเขาไม่ได้เมา แม้ว่านี่จะเป็นกระป๋องที่ห้าก็เถอะ

โทรศัพท์ในมือกำลังจะถูกโยนทิ้งเพราะรู้สึกว่ามันไร้สาระถูกนำมาจ่อใกล้ๆหน้าอีกครั้งเพื่อมองรายชื่อในโทรศัพท์ที่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากดไปถึงตรงนั้นได้ไง และด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ เหตุผลที่เขาเองก็ไม่รู้ เหตุผลที่เขาก็ไม่อาจจะทราบมันได้ มือของเขากดไปที่เบอร์นั้นเพื่อโทรออกก่อนจะถัดตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วไปนั่งที่หน้าประตูระเบียงแทน

มือของเขาเกือบจะกดตัดสาย แต่อีกใจก็คิดว่าปล่อยให้มันตัดไปเอง แล้วเสี้ยวหนึ่งของใจ...ก็หวังว่ามันจะมีเสียงตอบรับกลับมา

(ฮัลโหล)

“...”

(...)

“...”

(มีอะไรรึเปล่า ?)

“สบายดีมั้ย ?” เขาหลับตาพึมพำคำถามโง่ๆออกไป ถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะเอาหัวโขกกำแพงเบาๆ ถามอะไรโคตรจะไร้สาระ

(อืม...ก็ดีมั้ง ถามทำไมล่ะ)

“ก็อยากรู้มั้ง” แต่พอคิดอีกที เขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนี้เหมือนกัน “ทำอะไรอยู่ ?”

(นอนน่ะ เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ)

“อืม...”

บทสนทนาระหว่างเราเงียบไปอีกครั้ง แต่น่าแปลกที่เขาไม่คิดจะวางสาย เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่ไม่ตัดสายกันไปเหมือนกัน

(โทรมาทำไม ?)

“...”

(ชานยอล)

“ไม่รู้” เบียร์ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง “แต่ก็โทรมาแล้ว”

(เมาใช่มั้ย ?)

“ดื่ม แต่ไม่ได้เมาหรอก”

(...)

“เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่าช่วงนี้ทำอะไรบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยนะ...แบคฮยอน”

เสียงกุกกักดังผ่านเข้ามาในโทรศัพท์ ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายทำอะไรเพราะก็ทำได้แค่รอว่าจะได้ยินเสียงหรือว่าจะโดนตัดสาย เขาแปลกใจตัวเองที่พูดประโยคยาวยืดไปเสียขนาดนั้น อาจจะเพราะเมาด้วยส่วนหนึ่งแต่เขาก็คาดหวัง...ว่าจะได้ยินเสียงที่เขาคิดถึงมากที่สุดตอบกลับมา

(ก็ทำแต่งาน ตื่นหกโมง เข้างานเก้าโมง ทำงานแล้วก็เลิกงาน ซื้อโซจูกลับห้องสองขวด นั่งทำงานต่อแล้วก็นอน ถ้าวันไหนหยุดก็จะตื่นสายหน่อยแล้วก็ลุกขึ้นมาทำงาน สั่งอาหารมากินหรือไม่ก็กินซีเรียลที่ห้อง ช่วงบ่ายดื่มกาแฟ ติดกาแฟไปแล้วล่ะ เสพติดคาเฟอีนแล้วก็แอลกอฮอล์ นิโคตินด้วย เหมาหมดเลยอะไรที่มันไม่ดีน่ะ ก็นะ...มันก็มีแค่นั้นแหละ)

“ซื้อโซจูกลับห้องทำไม”

(ไม่ดื่มแล้วนอนไม่หลับน่ะ)

“...”

(แล้ว...นายล่ะ ทำอะไรบ้าง)

“ก็เบื่อๆ” กระป๋องเบียร์ถูกวางลงที่พื้น “ทำงาน แล้วก็นอนแล้วก็ทำงานแล้วก็นอนอีก ไม่ได้ทำอะไรเหมือนกัน ซื้อแคคตัสมาปลูกด้วยนะ แต่มันตาย..”

(ฮะ...เลี้ยงแคคตัสแล้วตายหรอ)

“เออ”

(เกินไปนะ เลี้ยงยังไงเนี่ย)

“ไม่รู้ดิ เห็นอีกทีมันก็เฉาเหี่ยวตายคาหน้าต่างห้องไปแล้ว”

(ที่ห้องก็มีนะ ออกดอกแล้วด้วย น่ารักมากเลย)

ตากลมโตมองออกไปนอกประตูระเบียงอีกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่านาทีนี้วินาทีเขารู้สึกยังไง รู้เพียงแต่ว่าการได้คุยกับอีกฝ่ายนั้นเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเหลือเกิน

“แล้วเป็นไง...”

(...)

“ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง”

(แล้วนายล่ะ ?)

“...แย่” เขาพูดความจริงออกไป “ไม่อยากจะยอมรับให้ตัวเองแพ้หรอกนะ แต่โคตรแย่เลย”

(...)

“ไม่มีนายแล้วแย่ว่ะ แบคฮยอน”

(...)

“ตอนแรกก็คิดว่าอยู่ได้ ไม่มีก็อยู่ไหว แต่พอกลับห้องมาไม่เจอใคร ไม่เจอนาย ไม่ได้ยินนายบ่น ไม่มีนายให้กอดแล้วเหมือนจะตายเลย”

(...)

“แบค...”

(มาบอกอะไรตอนนี้...)

“...”

(เราเลิกกันไปปีนึงแล้วนะชานยอล)

ความจริงที่ตอกย้ำลงมาในใจทำให้เขายิ้มอย่างสมเพชให้กับความรู้สึกตัวเอง

“ฉันไม่รู้” เขาหลับตาลง รับรู้ความเจ็บในใจ “เราเลิกกันทำไม ทำไม”

(...)

“แบคฮยอน”

(ฉันพูดกับนายว่าถ้าทำแบบนี้ก็เลิกกันไปเลย แล้วนายก็บอกว่าเลิกก็เลิก...ฉันก็เลยออกจากห้องมา)

เขารู้ว่ามันเป็นเพราะเขา ช่วงหนึ่งที่เขาไม่ค่อยใส่ใจแบคฮยอน ทำแต่งาน สังสรรค์จนดึก กลับห้องมาก็เมากลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งต้องให้แบคฮยอนดูแล ทั้งที่อีกฝ่ายก็เหนื่อยจากงานมาเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่สนใจ ไม่เคยรู้อะไรเลยจนกระทั่งตอนที่แบคฮยอนร้องไห้ตะโกนใส่หน้าเขา เขาก็ยังถือทิฐิตอกกลับไปว่าก็เลิกกันไปเลย จนวันที่มันจบแล้วจริงๆเขาถึงได้รู้ว่าไม่ใช่แค่แบคฮยอนที่หายไป ความสุขของเขาก็ด้วย

“...แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย” เขาเองก็จำวันนั้นได้ดี “มันคงไม่ทันแล้ว แต่ฉันขอโทษนะ”

(...)

“รู้ทั้งรู้ว่านายประชดแต่ก็พูดแบบนั้น ก็อย่างที่นายบอก ฉันจะมาพูดอะไรตอนนี้”

(...)

“นายก็คงมีความสุขดี ขอโทษนะที่เคยทำให้นายเจอกับอะไรแย่ๆ...”

(พูดสักคำแล้วรึยังว่ามีความสุข ฉันไปบอกนายตอนไหนกัน)

“...”

(อะไรไม่ดีๆที่ทำมันก็เพราะนาย แต่ก็ไม่ลืม...สักที)

“...”

(ยังคิดถึงนายตลอด..ฮึก..เลย)

“แบค...”

(โทรมาทำไมชานยอล พรุ่งนี้ฉันอาจจะลืมนายก็ได้ แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้...)

“...อยู่ไหน จะไปหา” เขาลุกขึ้นอย่างลนลานจนเท้าข้างหนึ่งเตะโดนกระป๋องเบียร์จนหกรดเต็มพื้นแต่เขาก็ไม่สนใจ “แบคฮยอน !!”

เขาได้ยินแต่เสียงสะอึกสะอื้นจากปลายสาย เขารีบเดินไปหยิบกุญแจรถก่อนจะคว้าของสำคัญอย่างกระเป๋าสตางค์และคีย์การ์ดแล้ววิ่งออกจากห้องไป ถึงจะยังไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางเป็นที่ไหนก็ตาม

“แบคฮยอนอยู่ไหน บอกสิ บอกฉัน !”

ชื่อคอนโดที่อยู่ห่างไปหลายช่วงถนนถูกเอ่ยให้ได้ยินก่อนที่เขาจะสตาร์ทรถแล้วมุ่งหน้าไปยังที่นั่นด้วยความรู้สึกแรงกล้า ถึงแม้จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นมึนเมาไปกับแอลกฮอลล์เล็กน้อย แต่สติที่มีอยู่ก็ไม่ได้น้อยจนขับรถไม่ได้ เขายังคงมีสติดีทุกอย่างและคิดว่าได้สติมากขึ้นตอนที่แบคฮยอนบอกว่ายังไม่ลืมกันแบบนั้น

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเลือกทิฐิและศักดิ์ศรีมากกว่าคำว่ารัก ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปหนึ่งปี ปีที่มันเลวร้ายที่สุดในชีวิต ปีที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง

เขาปล่อยให้แบคฮยอนเดินออกจากห้องของเราไปได้ยังไง ปล่อยให้เดินออกจากชีวิตไปได้ยังไง

เขาอาศัยจังหวะที่มีคนเปิดประตูเข้าคอนโดเข้าตามไปด้วยก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่อีกฝ่ายละล่ำละลักบอกกัน ไปยังห้องที่แบคฮยอนกำลังร้องไห้อยู่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ลืมกันมากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับเขานั้นความรู้สึกที่มีให้แบคฮยอนมันไม่เคยจางหายไปเลย แม้เวลาจะล่วงเลยไปเป็นปีแต่ความรู้สึกของเขากลับวนอยู่ที่เดิมแบบนี้

ชานยอลยังคงรักแบคฮยอนอยู่ ความรู้สึกนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย

มือหนาที่กำเป็นกำปั้นถูกใช้ในการทุบประตูห้องที่เขาแน่ใจว่ามันคือห้องของแบคฮยอน ทุบอยู่สองสามครั้งรวมทั้งตะโกนเรียกชื่อแต่อีกฝ่ายก็ไม่เปิดออกมา แต่เชื่อเถอะว่าเขาจะยังคงทุบประตูอยู่แบบนี้ จะไม่สนด้วยว่าใครจะว่าอะไร เพราะตอนนี้คนที่สำคัญคือคนที่อยู่ในนั้น คนที่อยู่ในห้องนั้นเท่านั้น

‘แกร๊ก..’

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยน้ำตาคือสิ่งที่เขานั้นเห็นเป็นอย่างแรก

จากนั้นเขาก็รู้เพียงแต่ว่าตัวเองดันอีกฝ่ายเข้าไปในห้องก่อนจะรั้งใบหน้าที่แสนคิดถึงเข้ามาใกล้แล้วสัมผัสลงไปอย่างแนบแน่นที่ริมฝีปากเล็กๆนั่น รสชาติแสนหวานที่เขานั้นคิดถึงมันมาตลอด เพียงแค่เล็กน้อยก็ทำให้สติของเขานั้นกระเจิงไม่มีชิ้นดี

ร่างเล็กก้าวเท้าถอยหลังไปเรื่อยๆพลางตอบรับจูบอันแสนดุเดือดของเขาที่ไม่แม้จะเปิดโอกาสให้ได้หายใจ มือทั้งสองข้างถูกจับที่แขนของอีกฝ่ายก่อนที่จะเซล้มลงไปกระแทกกับโซฟาโดยมีคนตัวสูงตามขึ้นมาคร่อมทับกันไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้

“ชะ..ชานยอล”

“อย่าลืมฉันนะ...นายลืมฉันไม่ได้”

“...”

“ไม่ได้เด็ดขาด”

ใบหน้าเล็กถูกรั้งขึ้นไปให้รับจูบจากคนเอาแต่ใจอีกครั้ง แน่นอนว่าความคิดถึงและความต้องการในตัวของแบคฮยอนไม่ได้ปฏิเสธมันเลยสักนิด ริมฝีปากที่ลากผ่านลำคอยาวไปถึงกระดูกไหปลาร้าทิ้งรอยรักเอาไว้อย่างเต็มพิกัดรวมถึงทำให้เกิดเสียงเบาๆที่คนโดนกระทำไม่อยากให้มันดังเล็ดลอดออกมา ชุดนอนผ้าซาตินสีน้ำเงินเข้มถูกปลดออกจากตัวอย่างรวดเร็วจนสุดท้ายเจ้าของห้องนี้ก็เหลือเพียงแค่กางเกงที่คงจะถูกปลดลงไปในไม่ช้านี้

แบคฮยอนคิดถึงชานยอล พอๆกับที่คิดถึงสัมผัสนี้ของชานยอลเช่นกัน

ร่างเล็กที่หอบหายใจอย่างหนักหน่วงนั้นถูกยกขึ้นจากโซฟาก่อนจะถูกปล่อยลงอีกครั้งที่เตียงในห้องนอน ร่างสูงที่ตามมาทาบทับทำให้รู้ว่ามันคงจะเป็นอีกครั้งในค่ำคืนนี้ที่เราจะหลอมรวมเป็นคนคนเดียวกันอีกครั้งอย่างที่เคยเป็นมา

“แบคฮยอน...”

“อื้อ...”

“รักนะ รักเหมือนเดิม รักมาตลอด”

“...”

“ให้โอกาสฉันได้มั้ย อย่าเลิกกันไปเลยนะ กลับมาคบกันเถอะ”

“...”

“รู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ได้โปรดให้โอกาสฉันนะ จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

เขาคิดถึงแบคฮยอนและรักมากที่สุด มากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เขามีความสุขในชีวิตนี้ เขารู้สึกมีความสุขได้ก็เพราะมีแบคฮยอนที่ทำมันไปพร้อมกันกับเขาต่างหาก

ได้โปรด...ให้โอกาสเขา

“จะเลิกประชดแล้ว” มือเล็กไล้ไปตามสันกรามของอีกฝ่ายเบาๆ “แต่อย่าบอกว่าจะเลิกกันอีกนะ”

“ไม่ครับ...ไม่มีวัน”

เขาทิ้งตัวลงกอดแบคฮยอน ก้าวข้ามผ่านคืนนี้ที่เขากล้าพูดว่ามันอาจจะเป็นวันที่มีความสุขที่สุดในปีนี้ก็เป็นได้ เขามองเห็นแบคฮยอน ได้ยินเสียงแบคฮยอน สัมผัสและรู้สึกได้ถึงแบคฮยอน

และมีแบคฮยอนอยู่ตรงนี้
.
.
.
.
.
.

แสงที่สะท้อนเข้ามาจากพระอาทิตย์ตอนสายทำเขาลืมตาตื่นหลังจากหลับไปตอนช่วงใกล้เช้า ข้างลำตัวและในอ้อมกอดของเขานั้นมีคนที่เขารักมากที่สุดอยู่ตรงนั้น หายใจไปพร้อมกับเสียงหัวใจของเขาที่เต้นตึกตักอยู่ในอกข้างซ้าย

สายตาของเขาหันไปมองนาฬิกาที่ข้างหัวเตียง เก้าโมงยี่สิบสามนาที

เดือนมิถุนายน วันที่สิบสี่

วันที่เขาได้ตื่นมาแล้วพบว่ามีแบคฮยอนอยู่เคียงข้างเขาอีกครั้ง

เป็นวันที่ดีที่สุด ในชีวิตของปาร์คชานยอลเลย









******
จริงๆแล้วทุกวันก็คือวันชานแบค
ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงชานยอลกับแบคฮยอน
อยู่ด้วยกันไปนานๆเลยนะ :)


Reply · Report Post