sodaisy95

🧸🎈💙 · @sodaisy95

13th Mar 2018 from TwitLonger

time #ดซชานแบค


Time
- chanbaek





สายลมยามเย็นพัดผ่านมาพอให้อากาศร่มรื่นเช่นเดียวกับต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ร่มเงาปกคลุมไปทั่วทุกที่ในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ คนตัวเล็กยืนมองตึกราในโรงเรียนมัธยมแห่งนี้พลางคิดในใจว่าเพียงแค่สองสามปีที่จบไป อะไรๆก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปซะหมด



ม.ปลายปีหนึ่งมีตึกใหม่ ไม่ต้องอยู่รวมกับม.ปลายปีสองแล้ว ห้องดนตรีถูกย้ายขึ้นไปชั้นสาม ชมรมศิลปะได้ห้องใหญ่ตรงหัวมุมไป ชมรมกีฬามีห้องพักใหม่ รวมถึงต้นไม้ต้นใหญ่หลายต้นที่คงถูกนำมาลงตอนที่แบคฮยอนเรียนจบไปแล้ว



แบคฮยอนหรือชื่อเต็มคือบยอนแบคฮยอนกำลังยืนลูบต้นไม้ต้นใหญ่ที่เคยมาอาศัยร่มเงาพึ่งพิงในยามพักกลางวันหรือยามเย็นหลังเลิกเรียน รอยยิ้มที่เกิดขึ้นนั้นเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายที่หาไม่ได้จากที่ไหนถ้าไม่ใช่ในรั้วมัธยมอีกแล้ว



ประสบการณ์มากมายเกิดขึ้นที่นี่และจบลงที่นี่เช่นเดียวกัน



แบคฮยอนไม่ใช่คนยึดติดกับอดีตแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลืมเลือนเสียหมดทุกอย่าง บางเรื่องมันก็คั่งค้างอยู่ในหัวใจจนไม่สามารถจะลืมมันไปได้ แต่สิ่งที่เราพอจะทำได้คือยิ้มออกมากว้างๆเมื่อคิดถึงมันเท่านั้นแหละ



ถ้าไม่มีความสุขเราก็จะไม่เจ็บปวด หากเจ็บปวด...นั่นแปลว่าเราเคยมีความสุข



และแบคฮยอนก็เคยมีความสุขกับมันมากเหลือเกิน



“ ..............ว่าแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่ “



เสียงทุ้มหนักที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังก่อนที่ร่างสูงนั้นจะเดินเข้ามาหากันพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากเช่นเดียวกับแบคฮยอนที่ยิ้มออกมาทันที



“ นั่นสินะ ชานยอลเดาถูกจริงๆด้วย “



ทั้งที่มันผ่านมาเนิ่นนาน แต่มันก็กลับเหมือนเดิมเสมอ...



“ โทษทีที่ไม่ได้ทักนะ เห็นแนะแนวยุ่งๆ....”


“ เราก็ไม่ได้ทักเหมือนกัน เสมอหนึ่งต่อหนึ่งเนอะ “ แบคฮยอนยิ้มกว้างอย่างยินดี “ เห็นน้องๆรุมชานยอลเต็มเลย “


“ นั่นสิ ฉันแนะแนวไม่ถูกเลย น้องไม่ได้อยากเรียนจริงๆ ลำบากคยองซูมาไล่ให้ เสียใจแทนน้องเหมือนกันนะ “



แบคฮยอนใช้มือรองใบไม้ที่กำลังร่วงลงมาสู่มือเล็กๆนี้ พลางคิดว่าการพูดคุยของเรามันไม่ได้เกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้วนะ



“ ตอนนั้น่ะ............ยินดีด้วยนะที่สอบการบินติด เราดีใจด้วยจริงๆ “


“ ยินดีด้วยเหมือนกันที่สอบติดวารสาร “ ชานยอลบอกแบคฮยอน “ ขึ้นมหาลัยแล้วก็ดีเนอะ นายจะได้ไม่ต้องแอบกินขนมใต้โต๊ะแล้ว “


“ อ่า....ก็ใช่แหละ เอาขึ้นมากินโต้งๆได้เลย ไม่มีใครว่าด้วยนะ “



เราหัวเราะให้กันด้วยความจริงใจเหมือนที่เมื่อก่อนเคยทำ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเรายังคงเหมือนที่แบคฮยอนจำได้



เรามักหัวเราะในเรื่องโง่ๆ หรือเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่บางทีเราก็หัวเราะกันในเรื่องที่มันจริงจังเสียยิ่งกว่าจริงจัง แต่เราก็หัวเราะไปด้วยกันเสมอ



“ โรงเรียนเปลี่ยนไปเยอะเลยเนอะ “ แบคฮยอนมองไปยังท้องฟ้าที่สดใส “ เหมือนโรงเรียนใหม่เลย “


“ .....ฉันลองเข้าไปดูห้องพักนักกีฬามา ฝักบัวอย่างใหม่เลย ไม่มีแล้วนะอันที่เราต้องไปเคาะให้น้ำมันไหลอ่ะ “


“ .......ยังจำได้อยู่เลยที่ฟองเต็มหัวชานยอลแล้วน้ำไม่ไหลอ่ะ ลำบากเราไปยืนเคาะฝักบัวเป็นเพื่อน ตัวเปียกหมดเลย “


“ แล้วใครบอกให้หันฝักบัวไปหาตัวเองล่ะ “



ตอนนั้นแบคฮยอนจำได้ว่าเรียนม.ปลายปีสอง ชานยอลที่เล่นบาสเสร็จตอนหกโมงเข้าไปอาบน้ำในห้องพักแล้วให้แบคฮยอนนั่งรออยู่ที่ล็อคเกอร์ เข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องนุ่งผ้าเช็ดตัวพร้อมฟองเต็มหัวออกมาบอกแบคฮยอนว่าน้ำไม่ไหล ไม่ไหลทุกห้องเลย แต่เพราะว่าปั๊มน้ำก็ยังส่งเสียงทำงานตามปกติเลยได้แต่ไปยืนช่วยกันเคาะให้น้ำมันไหล โชคร้ายที่ตอนน้ำมานั้นแบคฮยอนถือฝักบัวหันเข้าตัวเองพอดี



“ เสื้อชานยอลยังอยู่ที่บ้านเราอยู่เลย โทษทีนะที่ไม่ได้คืน....”


“ ไม่เป็นไรแค่เสื้อเอง “ ชานยอลยิ้ม “ .......ยังเก็บไว้ก็ดีใจแล้ว “



แบคฮยอนเองก็ยิ้มกลับไปเหมือนกันก่อนจะพูดเรื่องห้องดนตรีที่ถูกย้ายไปชั้นสาม



“ ตอนเราเข้าไปดูนะ....มีกลองชุดใหม่ด้วย ไอ้โป้งเหน่งที่เราเคยไปตีมันไม่อยู่แล้วอ่ะ “


“ ที่นายทำฉาบร่อนไปชนกำแพงน่ะเหรอ ? “


“ โห ยังจะเอามาล้ออีก ก็ชานยอลไม่ใช่ไงที่แกล้งไขน็อตจนหลวมอ่ะ ! “


“ เออหน่า....ขอโทษไปแล้วไง ซื้อขนมมาง้อตั้งเยอะยังจะงอนอยู่อีกหรอ “


“ ไม่ได้งอนแล้ว “


“ พูดถึงเฉยๆเองนะ ไม่ได้เอามาล้อ “ ชานยอลพูดกับแบคฮยอน “ ก็มันตลกดี ฉันหัวเราะน้ำตาไหลเลยนะ ตอนที่นายบอกว่าไม่มีเงินจ่ายค่าซ่อมกลองอ่ะ “


“ เฮอะ ! “ แบคฮยอนหันหน้าไปมองชานยอลที่ยังไม่ยอมเลิกหัวเราะสักที



คนตัวเล็กกว่ามองเด็กๆชมรมกีฬาซ้อมกันที่สนามหญ้าก่อนจะทรุดตัวนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่เช่นเดียวกับอีกคนที่นั่งตามลงมาด้วย เหมือนภาพวันวานในตอนนั้นซ้อนทับขึ้นมาว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยมานั่งเล่นกันอยู่ตรงนี้



“ แล้ว.....ยังตีกลองได้อยู่มั้ย ? “


“ คิดว่าไม่ได้แล้วนะ แต่ก็จำได้นิดนึง “ แบคฮยอนตอบชานยอล “ นายล่ะ ? ยังตีอยู่มั้ย ? “


“ ก็ยังตีอยู่ ก็งานอดิเรกนี่....”


“ แล้ว...ยังวาดรูปอยู่มั้ย.....”


“ ก็วาดบ้าง...เวลาคิดอะไรไม่ออก “


“ โมเดลเครื่องบินล่ะ ยังต่ออยู่รึเปล่า ? “


“ ไม่ต่อแล้ว........ต่อคนเดียวไม่สนุกเลย “ ชานยอลพูดความจริง


“ แต่ก็ยังเรียนการบิน....” แบคฮยอนยิ้มกว้าง “ ดีใจด้วยจริงๆนะ “


“ ฉันรู้.....” ชานยอลเลือกที่จะล้มตัวลงไปนอนมองท้องฟ้าแบบที่เคยชอบทำสมัยเรียน “ ......ขึ้นไปดูดาดฟ้ารึยัง ? “


“ ยังเลย ทั้งสองตึกนั่นแหละ “ แบคฮยอนรู้ว่าชานยอลหมายถึงดาดฟ้าของตึกปีสองและปีสาม


“ มันเป็นที่เดียวที่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ.....เหมือนตรงนี้เลย “



แบคฮยอนล้มตัวลงนอนเช่นเดียวกับชานยอลพลางมองท้องฟ้าที่กำลังส่องประกายอยู่เบื้องหน้า พลางคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด ช่วงเวลาที่เคยนึกว่าลืมมันไปแล้ว รายละเอียดต่างๆที่เคยคิดว่าจำมันไม่ได้ แท้จริงแล้วมันยังคงหยั่งรากฝากลึกลงในจิตใจไม่เคยหายไปไหน



ตรงนี้ ใต้ต้นไม้ต้นนี้ที่เราสองคนต่างสารภาพความรู้สึกในใจต่อกัน วันนั้นเป็นวันที่กรมอุตุประกาศว่าเรากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงอย่างเป็นทางการ วันนั้นเป็นวันที่แบคฮยอนโดนแม่ว่าเรื่องไม่ยอมซักรองเท้า ที่โรงอาหารขายแซนด์วิชไข่ ตอนเย็นเมฆครึ้มแต่ฝนไม่ตก และตอนเย็น...ที่เราเดินกลับบ้านด้วยกันวันแรก



และเป็นวันที่หัวใจของเราสองคนต่างเต้นเพื่อใครอีกคน



ที่โรงอาหาร โต๊ะตัวที่สามนับจากทางซ้ายของฝั่งร้านสวัสดิการ ที่ประจำของเราสองคนที่นั่งทานข้าวกลางวันด้วยกัน แบคฮยอนหันหน้าไปทางร้านค้า ชานยอลหันหน้าออกไปข้างนอก แต่ความจริงที่เรารับรู้คือเรากำลังหันหน้าเข้าหากันต่างหาก



ห้องพักนักกีฬาที่แบคฮยอนเคยไปนั่งรอชานยอลอาบน้ำสองครั้งต่อสัปดาห์เพราะอีกคนชอบเล่นกีฬากับเพื่อนช่วงเย็น ล็อคเกอร์ของชานยอลที่แบคฮยอนเอาสติ้กเกอร์ชื่อตัวเองไปแปะเอาไว้หรือจะเป็นผ้าเช็ดตัวสีเหลืองที่พับอยู่ในนั้น ลูกอมรสโคล่าที่ชานยอลชอบกินหรือจะเป็นเยลลี่รูปหมีของแบคฮยอน



ดาดฟ้าตึกม.ปลายปีสอง ที่ที่เราจูบกันครั้งแรก วันนั้นท้องฟ้าสดใสเหมือนวันนี้ มีเมฆก้อนใหญ่ลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่บนนั้น แสงแดดส่องประกายให้ความอบอุ่นกำลังพอดี แต่ถึงมันจะพอดีมากแค่ไหนแต่มันก็ไม่เคยอบอุ่นเท่าอ้อมกอดของชานยอลและสัมผัสอ่อนหวานนุ่มนวลที่อีกฝ่ายมอบให้กันสักครั้ง ความรู้สึกนั้นยังคงเด่นชัดพอๆกับภาพที่ฉายซ้ำเข้ามา ความรู้สึกที่นึกถึงทีไรก็ยิ้มออกมาทุกที



ห้องดนตรีที่เราชอบแอบเข้าไปตีกลองด้วยกัน ชานยอลสอนแบคฮยอนให้รู้ถึงพื้นฐานเบื้องต้นของการตีกลองและแบคฮยอนก็ชอบที่จะเรียนรู้มันเช่นเดียวกับการที่ชานยอลตั้งใจวาดรูปเวลาแบคฮยอนสอน เราต่างคนต่างแลกเปลี่ยนงานอดิเรกกันทำอย่างไม่เบื่อหน่าย เพราถ้าอีกคนชอบอะไร เราก็จะชอบด้วย แบคฮยอนฝึกตีจนสามารถเล่นร่วมวงกับคนอื่นได้ถ้าเป็นคอร์ดง่ายๆ และชานยอลเองก็สามารถสเก็ตช์ภาพตะกร้าผลไม้ยอดฮิตได้เหมือนกัน



เรามีความสุขกับทุกช่วงเวลาชีวิตที่มีกันและกัน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มอบให้กันเสมอมาและจะมอบให้กันตลอดไป



มันก็เป็นแค่ความหวัง.....ที่เราต่างคนต่างคาดหวังว่ามันจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์



เวลาของเราเริ่มเดินไม่ตรงกัน ด้วยความฝันที่แตกต่างและเส้นทางในอนาคตที่ไม่เหมือนกัน เราต่างคนต่างมีหน้าที่ มีภาระ มีกิจกรรมต้องทำเพื่อโอกาสในอนาคตที่เราจะสูญเสียมันไปไม่ได้เด็ดขาด



แบคฮยอนต้องเรียนคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม ฝึกวาดรูปให้หนักขึ้น อ่านหนังสือให้มากเล่มเข้าไว้เพื่อจะได้ไม่พลาดตอนที่โอกาสมาถึง เช่นเดียวกับชานยอลที่เรียนพิเศษอย่างหนักเพื่อหวังที่จะได้โควตาจากภาควิชาที่ตนสนใจมาครอง



เราต่างคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่เรากำลังห่างกันไปเรื่อยๆ เดินออกจากกันไปเรื่อยๆ



เราเริ่มทะเลาะกันหลังจากที่ไม่เคยแม้แต่จะขึ้นเสียงใส่กันมาก่อน เพียงแค่เพราะอีกคนพยายามแทบตายเพื่อที่จะว่าง แต่อีกคนกลับไม่ว่างที่จะมาเจอกัน ทั้งที่ความจริงเราก็แค่ทำอะไรแบบที่เราเคยทำ นั่งอ่านหนังสือด้วยกันเราก็ทำได้ แต่เรากลับเลือกที่จะทะเลาะกันและทำเป็นไม่สนใจเพราะคิดว่ากาลเวลาจะช่วยให้มันดีขึ้น



จนเมื่อวันนั้นมาถึง วันที่เราสองคนต่างรู้ดีแก่ใจว่าทุกอย่างมันกำลังจะจบลงแล้ว



ท้องฟ้าในวันนั้นก็เหมือนกับวันนี้ เหมือนในวันแรกที่เราจูบกัน และก็เหมือนกับในวันที่เราสองคนต่างเอ่ยปากขอจบความสัมพันธ์ทั้งที่น้ำตาของเราไหลลงมาทั้งคู่



ความรักก็แบบนี้ แม้ว่าเราจะคิดว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป แต่แล้วมันก็จะจบลงในช่วงเวลาหนึ่ง แม้ว่าเราจะไม่อยากให้มันจบลงไปก็ตาม แม้ว่าเราจะไม่อยากพบเจอกับคำว่าการแยกทาง แต่มันคงต้องเป็นเวลาสำหรับความจริงที่ว่าเราไม่อาจเดินไปพร้อมกันได้อีกแล้ว



เราสองคนกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เราต่างมั่นใจกับสิ่งที่ทำและดำเนินชีวิตเพื่อไขว่คว้าความฝันของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วในวันที่ความฝันแปรเปลี่ยนเป็นความสำเร็จ สิ่งที่วนเวียนอยู่ในความคิดของเรามีเพียงแค่ความว่างเปล่า เราใช้คำว่าเราทำได้แล้วมากดมันให้ลึกลงไปจนคิดว่ามันจะไม่มีวันแทรกขึ้นมาอยู่ในใจได้อีก แต่ยิ่งเวลาเดินผ่านไปเท่าไหร่ เราต่างตระหนักได้ว่าความฝันของเรามันไม่ใช่สิ่งที่เราสูญเสียมันไปไม่ได้



แต่กว่าจะคิดได้....เราก็สูญเสียสิ่งที่สูญเสียไม่ได้ไปแล้ว



เราเลิกกันทำไม ?



ทำไมเราถึงต้องเลิกกัน ?



ประโยคคำถามที่ไม่เคยตอบมันได้เลยสักครั้งวนเวียนอยู่ในใจของเราตลอดสองปีที่ผ่านมา



และมันกลับมาอีกครั้งเมื่อเราต่างรับรู้ได้ว่าการมีอีกคนอยู่เคียงข้างมันเป็นความรู้สึกที่ดีมากขนาดไหน



แบคฮยอนปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาที่หางตา



“ ....ถ้าย้อนกลับไปได้ในวันที่ท้องฟ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ เราจะไม่มีวันพูดคำนั้นออกมาเลยนะ “


‘ ฉันว่าเราพอเถอะ ชานยอล ‘



“ ฉันก็เหมือนกัน.... “



‘ เราคงไปด้วยกันไม่ได้แล้วจริงๆ แบคฮยอน ‘



“ เราคิดว่าเราทำถูกแล้ว คิดว่าความฝันต่างหากที่เราต้องคว้าเอาไว้ แต่วันที่เราเห็นชื่อตัวเองในประกาศผลสอบ เรากลับคิดว่าถ้าชานยอลอยู่ตรงนี้ ถ้าชานยอลบอกว่าดีใจด้วย บอกว่าเราเก่งมาก ตอนนั้นเราคงภูมิใจในตัวเองจริงๆ.....”


“ ฉันก็คิด...คิดว่าถ้าฉันทำมันได้สำเร็จ ฉันคงจะมีความสุขและไม่ต้องกังวลอะไรให้มากมายนักกับอนาคต แต่พอฉันทำได้ฉันกลับไม่มีความสุข ทั้งที่มันควรจะเป็นแบบนั้นแต่มันไม่ใช่เลย “



แต่ถึงเราจะคิดแบบนั้น วันที่เราจบการศึกษา วันสุดท้ายที่จะได้ยืนอยู่ในรั้วโรงเรียนเดียวกัน เราก็กลับเลือกที่จะเดินแยกกันไปคนละทาง



เพราะเราต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง ทั้งที่เราเป็นแค่คนขี้ขลาดสองคนที่หมดแรงและไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากันเท่านั้นเอง



“ แต่ว่าเรา...ก็ย้อนมันกลับไปไม่ได้แล้วใช่มั้ยล่ะ “



แบคฮยอนกำลังเสียใจมากที่สุดในชีวิต



“ เราพูดมันไปแล้ว เราจบมันไปแล้ว เราเลิกกันไปแล้วใช่ไหมชานยอล “



ความจริง เป็นสิ่งที่แยกเราออกมาจากความทรงจำที่แสนงดงามนั่นตลอดเวลา


แต่ความจริงก็เป็นสิ่งที่คอยเตือนสติเรา ไม่ให้ทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง



“ ใช่...มันย้อนกลับไปไม่ได้ “ ชานยอลเลื่อนมือของตัวเองไปจับมือของคนที่นอนอยู่เคียงข้างกันเหมือนครานั้นที่เรามานอนมองท้องฟ้ายามเย็นด้วยกัน “ แต่ฉันอยากจะขอ...ขอให้เวลาที่กำลังจะเดินต่อไปในชีวิตของนายมีฉันอยู่ในนั้นได้ไหม...แบคฮยอน “


“ ... “


“ เวลาจะสอนให้เราเรียนรู้ความผิดพลาดในชีวิต ฉันคิดว่าสองปีที่ผ่านมามันมากพอแล้วล่ะที่มันจะสอนฉันให้รู้ว่าชีวิตที่ไม่มีนายมันเป็นยังไง “


“ ... “


“ ฉันจะไม่ขอให้นายกลับไป แต่จะขอให้เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม “



น้ำตาของภาพในวันวานกำลังไหลลงมาโดยที่เราไม่สามารถหยุดมันเอาไว้ได้



“ ฉันรักนายนะ บยอนแบคฮยอน “



ที่ต้นไม้ต้นนี้ ในวันที่ท้องฟ้าเป็นแบบนี้....



‘ เป็นแฟนกันนะ บยอนแบคฮยอน ‘

‘ อื้อ ! ‘ แบคฮยอนก้มหน้าลงอย่างเขินอายก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ‘ เป็นแฟนกันนะ ปาร์คชานยอล ‘

‘ อื้ม ! ‘



และที่ต้นไม้ต้นเดิม ในวันนี้ที่ท้องฟ้าสว่างสดใสเหมือนในวันนั้น



“ รู้ใช่ไหมว่าเวลาสอนเราว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้ง เราจะไม่มีวันปล่อยชานยอลไปอีก “ แบคฮยอนกำมือของชานยอลแน่น “ เราจะไม่มีวันปล่อยมือชานยอลไปอีกแล้ว “


“ ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยนายไปเหมือนกัน “


“ แต่ถ้าเรา....”


“ ฉันรู้ว่าวันนั้นมันไม่มีทางมาถึงอีกแล้วล่ะ แบคฮยอน “



ใช่....แบคฮยอนก็เชื่อว่าวันนั้นมันจะไม่มีวันเดินทางมาถึงอีกแล้ว



เวลาไม่ได้ช่วยให้เราลบมันออกไปจากใจ แต่มันช่วยให้เราได้เรียนรู้ถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่นเดียวกับความจริงที่เดินทางมาคู่กับวันเวลา ความจริงที่ช่วยให้เรารู้ว่า ถ้าหากวันนึงเราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เราจะไม่มีวันปล่อยให้มันผ่านไปโดยเด็ดขาด



“ ฉันก็รักนาย ปาร์คชานยอล “


จนกว่าเวลา...จะแยกเราจากกัน





Reply · Report Post