Trans: #Qianxi T Magazine (May 2017 Issue) Interview


อี้หยางเชียนซี : ความล้ำค่าของเขา

ไม่มีคำว่าโด่งดังชั่วข้ามคืน
มีเพียงความสำเร็จอันเกิดจากการฝึกฝนและเรียนรู้
ประโยคนี้เหมาะสมกับอี้หยางเชียนซี เด็กหนุ่มวัย 17 ปีเป็นที่สุด

เป็นเวลาห่างกันถึง 20 ปี เด็กหนุ่ม 3 คนแห่ง TFBOYS ได้เป็นผู้สานต่อจากบอยแบนด์ "小虎队" ถ้าเป็นคำในปัจจุบันคงต้องพูดว่า พวกเขาคือ "สินค้าขาดตลาด" หรือ "Super IP" (Super Intellectual Property) แต่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาเป็นไอดอลที่รุ่นราวคราวเดียวกับแฟนๆ ครั้งหนึ่งพวกเขาได้ถูกกล่าวถึงในรายการโทรทัศน์ว่า แค่เฝ้ามองช่วงเวลาที่เด็กๆ ทั้ง 3 ตามหาฝัน ก็สามารถทำให้เกิดพลังงานในเชิงบวกได้

ช่วงเวลาการเติบโตของ TFBOYS ทำให้เชื่อมโยงถึงคนรุ่นเดียวกันที่มีความคิดความฝันได้เป็นอย่างดี หากมองอีกด้านหนึ่ง ทั้ง 3 คนเปรียบเหมือนตัวแทนของเด็กรุ่นเดียวกันที่มีช่วงเวลาการเจริญเติบโตที่คล้ายคลึงกัน แต่อีกนัยหนึ่งคือ ตอนนี้ TFBOYS สามารถสานฝันของพวกเขาจนสำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นฝันที่วัยรุ่นหลายๆ คนเฝ้าฝัน พวกเขาได้ทำฝันที่วัยรุ่นหลายคนต้องการไขว่คว้าแต่ยังลังเลใจจนสำเร็จลุล่วง

TFBOYS คือเพื่อนรุ่นเดียวกัน และเป็นเหมือนต้นแบบสะท้อนของคนรุ่นเดียวกัน

แสงเจิดจ้าบนเวทีจากการฝึกฝนคืนแล้วคืนเล่าของพวกเขา ซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนบนตัวของอี้หยางเชียนซี ที่เริ่มเรียนความสามารถต่างๆ มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ เข้าร่วมรายการโทรทัศน์และถ่ายทำซีรีส์ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และเดบิวต์เป็น 1 ในสมาชิกของ TFBOYS ตั้งแต่อายุ 13 ปี โดยเป็นตัวแทนการเต้นของวง ผู้ทำลายสถิติการเป็นครูสอนเต้นที่อายุน้อยที่สุด และกลับต้องอดทนกับอาการบาดเจ็บที่เอวอยู่เสมอทั้งที่อายุยังน้อย เขายอมรับว่าเพลง "不完美小孩" นั้นตรงกับความคิดของเขามากที่สุด เพราะเนื้อเพลง "ขณะที่คนทั้งโลกกำลังปรบมือให้ฉัน มีเพียงเธอเท่านั้นคอยห่วงใยตอนฉันเจ็บ" ประโยคครึ่งหนึ่งแต่งขึ้นจากการเปรียบเปรยถึงนามธรรม ส่วนอีกครึ่งคือภาพสะท้อนจากความเป็นจริงของชีวิต

"ถ้าคุณมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่ จะยังคงใช้ช่วงชีวิตวัยรุ่นในเส้นทางแบบนี้อีกไหม" หลังจากฟังคำถาม อี้หยางเชียนซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง "จริงๆ.. ก็ได้นะครับ" เขานั่งตัวตรง ลักยิ้มบนแก้มปรากฏรอยบุ๋มเล็กๆ เวลายิ้ม บทสนทนาสั้นๆ กระชับและรอบคอบ ปลายนิ้วลูบวนไปตามรอยขาดบนกางเกงยีนส์ เหมือนเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจในคำพูดของตัวเอง หลังเวทีนั้น แม้อี้หยางเชียนซีจะพูดน้อย แต่กลิ่นอายรอบตัวเขาแทรกซึมไปด้วยความสุภาพและมีเหตุมีผล

การแสดงออกของเขาในรายการ "Let Go of My Baby" ช่างน่าทึ่ง ผู้ชมต่างพากันกล่าวว่า "ถูกดึงดูดเป็นแฟนคลับโดยไม่รู้ตัว" แม้เขาจะอายุน้อยที่สุดในรายการ แต่เวลาดูแลเด็กๆ กลับแสดงออกถึงความเป็นผู้ใหญ่ เวลาโน้มตัวพูดคุยกับเด็กๆ หรือรูปแบบการสื่อสารจะเน้นเรื่องความมีเหตุมีผล.. รายละเอียดเหล่านี้ของเขาได้ถูกผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาการพัฒนาเด็กเล็กยกย่องชมเชย

การแสดงออกที่เป็นธรรมชาติแบบไม่จงใจของอี้หยางเชียนซีนั้น ได้มาจากการเลี้ยงดูและเล่นกับน้องชาย ทำให้เขามีบุคลิกภาพที่สุขุมรอบคอบอย่างในปัจจุบันนี้ ซึ่งทั้งหมดจะต้องยกความดีความชอบให้แก่น้องชายที่อายุน้อยกว่า 12 ปีของเขาอย่างขาดไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อถูกถามถึงคนที่มีผลกระทบต่ออี้หยางเชียนซีมากที่สุด เขาตอบอย่างไม่ลังเลใจเลยว่า นั่นคือหนานหนาน น้องชายของตัวเอง "ผู้ใหญ่ที่บ้านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าน้องชายเหมือนผมตอนเด็กๆ เปี๊ยบ มันน่าประหลาดใจมาก เหมือนผมกำลังมองดูตัวเองตอนเด็กเลย"

สำหรับช่วงเวลาวัยเด็กและวัยรุ่นนั้น อี้หยางเชียนซีตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ตอนยังเด็กผมคิดว่าต้องฝึกความสามารถให้เยอะๆ เข้าไว้ แล้วมันจะสร้างโอกาสให้ผมในตอนโตได้" นั่นแทบจะเป็น "Template" ที่ผู้ปกครองชาวจีนทุกคนใช้อบรมลูกหลาน ที่ต่างไปคือ อี้หยางเชียนซีฝึกฝนอย่างต่อเนื่องไม่เคยล้มเลิก เขาจึงมีประสบการณ์มากกว่าคนรุ่นเดียวกันหลายเท่านัก ในบ้านเกิดที่ Hunan นั้น คำว่า "烊" (หยาง) หมายถึงการยินดีต้อนรับ เด็กหนุ่มแห่งบ้านตระกูลอี้ที่ถูกเฝ้ารอให้เกิดมาในรุ่น Millennium (千禧年 (เชียนฉีเหนียน) หรือปี 2000) จากชื่อที่เป็นเอกลักษณ์นี้เองทำให้มองเห็นความคาดหวังที่คนทางบ้านฝากฝังไว้ในตัวเด็กหนุ่มแห่งปี Millennium คนนี้ได้

เมื่อครั้งยังเด็ก ครอบครัวของเขาไม่ถึงกับร่ำรวย แต่คุณแม่จะคอยไปเป็นเพื่อนเวลาเข้าเรียนพิเศษ พวกเขาจะนั่งรถเมล์เที่ยวแรกไปห้องซ้อมในทุกๆ วัน และกลับถึงบ้านประมาณ 3-4 ทุ่มในรถเมล์เที่ยวสุดท้ายเสมอ ช่วงที่เรียนเต้น เนื่องจากคุณแม่ไม่เข้าใจจังหวะการเต้น เขาจึงต้องจดไว้ในสมุดของตัวเอง เขียนเครื่องหมายการทำมือต่างๆ ไว้อย่างละเอียด เวลาเรียนเต้นต้องยืดขา เวลาเต้นไม่ดีก็จะต้องโดนลงโทษด้วยการยืดขาเช่นกัน นี่คือ 1 ในความทรงจำอันเจ็บปวดของอี้หยางเชียนซี คุณแม่ของเขาเคยพูดในรายการโทรทัศน์ว่า "มีไม่กี่คนนักที่จะเจอและข้ามผ่านสิ่งที่ฉันกับลูกเคยเป็นมาก่อน มันลำบากจริงๆ"

แม้จะผ่านมานานแล้ว แต่รุ่นพี่ในสถาบันสอนเต้นต่างจำได้ดีว่าเคยมีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ใสซื่อคนหนึ่ง ที่ทุ่มเทแรงกายฝึกอย่างหนักมาด้วยกัน ตอนนั้นครูสอนเต้นเคยถามเขาว่าโตขึ้นอยากทำอะไร และเขาตอบไปว่า อยากจะเป็นครูสอนเต้น คนที่ได้ยินต่างก็หัวเราะ เพราะเวลานั้นไม่มีใครคิดจะจริงจังกับคำพูดของเด็ก แต่อี้หยางเชียนซีกลับเก็บความฝันนี้ไว้ในใจ และ 10 ปีที่ทุ่มเทการฝึกซ้อมอย่างหนัก ครูสอนเต้นทุกคนต่างก็เอ่ยชื่นชม "เขาเป็นเด็กหัวไว บางครั้งผมก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะสอนเขาแล้ว เขาเป็นอัจฉริยะเรื่องเต้นจริงๆ"

แต่ไม่มีอัจฉริยะโดยปราศจากการฝึกฝน อี้หยางเชียนซีเป็นเด็กที่ชอบใช้ความสำเร็จมาพิสูจน์ตัวเอง เขาใช้เวลาว่างไปกับการซ้อมเต้นในห้องคนเดียว ท่าก้มหลัง ยืดขา แม้แต่การเคลื่อนไหว จะต้องทำให้สมบูรณ์แบบทุกครั้ง เขาเคยขาหักมาก่อนจากการเรียนเต้น แขนและเอวก็บาดเจ็บมาไม่น้อย แต่ก็ยังคงมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ เมื่ออายุ 13 ปี เด็กคนนี้ก็ได้ทำความฝันให้เป็นจริง เขากลายเป็นครูสอนเต้นที่อายุน้อยที่สุดของสถาบัน และเมื่ออายุ 15 ปี เขาก็เริ่มออกแบบท่าเต้นด้วยตนเอง เพราะเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็กทำให้ประสาทสัมผัสของเขาได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ทุกจังหวะการก้าวของเขาบนเวทีจึงโดดเด่นน่าจับตามอง

ความเปล่งประกายของเขาไม่ได้มีเพียงแค่ "นักเต้นของวง" เท่านั้น เขายังเคยแสดงความสามารถในการเขียนพู่กันจีนมาหลายครั้ง ผลงานของเขา "挥斥方遒" ถูกนำไปจัดแสดงในสถานทูตเดนมาร์กประจำประเทศจีน เขาเริ่มเรียนการเขียนพู่กันจีนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 3 เริ่มจากเขียนด้วยปากกาธรรมดาก่อน ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็นพู่กันจีน ทุกวันหลังจากทำการบ้านเสร็จแล้ว เขายังฝึกซ้อมการเขียนพู่กันจีนต่อเสมอ ถึงแม้ว่าจะลำบากขนาดไหน แต่เด็กหนุ่มผู้แข็งแกร่งคนนี้ไม่เคยบ่น เขายังคงสามารถหาความสุขจากความลำบากได้ทุกครั้ง "บ้านที่ผมเคยอยู่สมัยเด็กๆ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ชั้นล่างจากบ้านผม 1 ชั้น เธอซ้อมเปียโนทุกวัน เวลาที่ผมฝึกเขียนพู่กันจีนจะได้ยินเสียงเปียโนที่เธอเล่นตลอดเวลาเหมือนไม่เคยหยุดพัก ก็เลยรู้สึกว่าผมเองก็ต้องมุ่งมั่นฝึกฝนต่อเช่นกัน"

เขายังเคยรู้สึกอิจฉาเด็กคนอื่นที่รุ่นราวคราวเดียวกัน "พอสุดสัปดาห์ก็จะไปเล่นได้ ไม่ต้องเข้าเรียน" แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำ เขาก็รู้สึกว่า "จริงๆ ที่เป็นอยู่ก็ไม่เลวนะ" ด้วยความแตกต่างระหว่างคนรุ่นเดียวกัน เขาเปรียบเหมือนมีหัวใจดวงโตที่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เขาเคยเข้าร่วมการแข่งขัน อัดรายการโทรทัศน์ ถ่ายทำซีรีส์ จนกระทั่งเดบิวต์เป็นไอดอลตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เขาก้าวไปบนเส้นทางที่ "แตกต่าง" กับคนอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาออกไปทำงานก็มักจะเอาการบ้านติดไปด้วย และจะทบทวนบทเรียนโดยใช้เวลาว่างจากการซ้อมเต้นและถ่ายทำต่างๆ

หลังจากเดบิวต์ เสียงดนตรีบอกเวลาพักของโรงเรียนเขาได้เปลี่ยนมาเป็นเพลงของ TFBOYS แทน เวลาอยู่ในโรงเรียนอี้หยางเชียนซีก็เหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป เขายังรู้สึกขอบคุณเสมอที่ได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นและคุณครูที่ดี "ความแตกต่าง" ที่เกิดขึ้น ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อชีวิตในรั้วโรงเรียนของเขาเลย

กล่าวมาถึงตอนนี้ อี้หยางเชียนซีกลับรู้สึกเขินอยู่ไม่น้อย คงเหมือนกับวัยรุ่นคนอื่นๆ ที่วาดฝันถึงอนาคต เขาเคยคาดหวังว่าจะได้เข้าเรียนที่ Tsinghua University หรือ Peking University แต่ตอนนี้เขายอมรับกับความเป็นจริงว่า "ผมเริ่มเข้าใจแล้ว ก็คงจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เกี่ยวกับศิลปะ เพื่อจะเดินในเส้นทางนี้ต่อไป"

ช่วงอายุเพียง 17 ปี ในฐานะ "ไอดอลวัยรุ่น" แต่ความสามารถและการแสดงออกกลับเกินอายุและสถานะไปไกล เขาเคยแนะนำหนังสือ "设计诗" ของ Zhu Yunchun ดีไซเนอร์เจ้าของผลงานในรายการโทรทัศน์ ทำให้หนังสือดังกล่าวมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะนักอ่านในยุคหลัง '00s หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นผลงานออกแบบ และไม่ใช่บทกวีเชิงกลอน เรียกว่าไม่สามารถจัดเข้าพวกได้ แต่อี้หยางเชียนซีกลับชอบหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก เขาพบว่ามันมีจินตนาการและความสนุกแอบแฝงอยู่ ถึงกับโพสต์ Weibo เขียนผลงานเลียนแบบหนังสือเล่มนี้ สร้างความประหลาดใจให้แก่ Zhu Yunchun เจ้าของหนังสืออยู่ไม่น้อย

ความสามารถทางสุนทรียภาพเช่นนี้น่าจะเกิดจากประสบการณ์ในวัยเด็ก ขณะที่เรียนเขียนพู่กันจีนเขายังเคยเรียนการวาดภาพด้วยพู่กันจีนร่วมด้วย แต่ฝึกได้ไม่นาน เขาก็พบว่า "ไม่เหมาะกับตัวเองสักนิด" แต่ความชอบในการวาดภาพของเขายังคงสืบเนื่องถึงปัจจุบัน จากภาพการ์ตูนต่างๆ ที่วาดออกมา ทำให้บรรดาผู้ใหญ่มองเห็นความเป็นเด็กในตัวเขา ขณะที่แฟนๆ มองเห็นความสามารถพิเศษ และมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญสามารถมองเห็นพื้นฐานที่ดีได้จากภาพดังกล่าว ยังไงก็ตาม ทั้งหมดนั้นก็คือผลลัพท์จากการฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่เด็ก

ในขณะที่ตอบคำถาม อี้หยางเชียนซียังคงชินกับการใช้คำว่า "ก็ได้นะครับ" แม้กระทั่งเผชิญหน้ากับคำถามอย่าง "ตัวละครตัวไหนที่อยากลองแลกการใช้ชีวิตดูบ้าง" เขาเพียงส่ายหัวนิดๆ พร้อมกับใช้คำพูดติดปากตอบคำถาม แต่ในที่สุดก็เพิ่มว่า "邋遢大王 (The Dirty King) ครับ อยากลองคิดแบบโกรธๆ และไม่ใช้สมองดูบ้าง" ถึงแม้เขาจะได้รับประสบการณ์แตกต่างกับคนรุ่นเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ตัวตนของอี้หยางเชียนซีที่เติบโตมากับการ์ตูนในตำนานเหล่านี้ก็ไม่ต่างกับเด็กคนอื่น พอถามว่า "ไม่ใช้สมอง" กับ "คิดแบบโกรธๆ" ชอบแบบไหนมากกว่ากัน เขาก็แสดงสีหน้าความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มที่กำลังลำบากใจในการตัดสินใจเลือก

ทุกเรื่องที่เขากระทำมักจะมาพร้อมความมุ่งมั่นแน่วแน่อยู่เสมอ "ไม่ว่าจะทำอะไร ผมจะทำมันอย่างเต็มความสามารถ จะไม่ทำให้ตัวเองต้องผิดหวัง และไม่ทำให้คนที่รักผมต้องผิดหวังเช่นกัน" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เคยเล่าถึงความยากลำบาก หรืองานที่ต้องทำในปัจจุบัน รวมถึงเส้นทางในอนาคต สำหรับอี้หยางเชียนซีแล้วล้วนไม่ได้มาด้วยวิธีง่ายๆ

บุคคลท่านหนึ่งที่รู้จักกันเป็นอย่างดีกล่าวถึงเขาว่า "เด็กคนนี้มีบุคลิกของความมุ่งมั่นอยู่ภายใน ใจเย็น มีสมาธิ ไม่ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ต่างๆ สุขุมเคร่งขรึม ภายในตัวเขามีดุลยภาพที่มั่นคง สงบนิ่ง ล้ำค่ามากกว่าความสามารถอื่นๆ" ดังที่นักจิตวิทยา Carl Gustav Jung เคยกล่าวไว้ว่า ตัวตนส่วนที่ตนเองไม่เข้าใจ จะกลายเป็นชะตากรรมของเขาในอนาคต


@tfjacksonyi
Original : http://www.tstyle.com.cn/article/1285

Reply · Report Post