The Murderous Hand 8 (ดร. ฟอล์กเนอร์ & สารวัตรเฟย์ ABO - Shape Shifters AU)


Introduction: http://www.twitlonger.com/show/n_1solcnp
ตอนที่ 1: http://www.twitlonger.com/show/n_1somber
ตอนที่ 2: http://www.twitlonger.com/show/n_1sommkg
ตอนที่ 3: http://www.twitlonger.com/show/n_1son8kg
ตอนที่ 4: http://www.twitlonger.com/show/n_1sonqct
ตอนที่ 5: http://www.twitlonger.com/show/n_1soom58
ตอนที่ 6: http://www.twitlonger.com/show/n_1sou4dk
ตอนที่ 7/1: http://www.twitlonger.com/show/n_1sovl67
ตอนที่ 7/2: http://www.twitlonger.com/show/n_1sovo7j

side story: Tobias : http://www.twitlonger.com/show/n_1sp09fv

----------------------------------------------------------




(8)


ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในเวลาเช้ามืด ตัวเลขบอกเวลาบนนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างเตียงบอกว่า อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่ผมควรเข้าไปสะสางงานเอกสารที่ออฟฟิศ ท้องฟ้าในฤดูหนาวยังคงมืดมิด แสงสว่างจากไฟถนนนอกรั้วบ้านซึ่งส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาเป็นแสงสว่างอย่างเดียวภายในห้องที่ทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของคนข้างตัวได้ถนัดขึ้น


โทเบียส ฟอล์กเนอร์เป็นคนเยือกเย็นและแข็งแกร่ง แต่ในเวลานี้ ร่างสูงเพรียวที่ขดตัวแนบชิดอยู่กับตัวของผมดูเปราะบางและเหนื่อยล้ามากเหลือเกิน ทั้งที่เขากำลังหลับสนิทและควรจะผ่อนคลายมากที่สุด แต่ผมรู้ดีว่า สาเหตุที่ทำให้เขาเป็นเช่นนั้น คือ ฝันร้ายที่ทำให้เขาผวาตื่นขึ้นมากลางดึก


อาการดิ้นรนสุดชีวิตของเขาปลุกผมให้ตื่นขึ้น ก่อนที่เขาจะสะดุ้งเฮือก ลืมตาอยู่ในความมืด แต่สติของเขายังหลุดลอยไม่อยู่กับตัว มือทั้งสองกำผ้าห่มเอาไว้แน่น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาทำให้ผมตัดสินใจดึงตัวของเขาให้ลุกขึ้นนั่ง กอดเขาเอาไว้ ก่อนที่เขาจะทันตอบโต้ พร้อมพึมพำปลอบใจด้วยคำพูดที่ผมเองก็ไม่รู้ว่า ตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง จนกระทั่งอาการหวาดผวาและตื่นตระหนกนั้นบรรเทาลง เขาจึงรับรู้ว่า ผมยังอยู่กับเขา และจะพยายามปกป้องเขาให้ดีที่สุด เช่นเดียวกับตอนที่ผมไม่ยอมให้เซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตัน พยานปากหนึ่งในคดี และเป็นคนที่เคยทำร้ายเขามาก่อนในอดีตเข้าใกล้เขามากเกินกว่าที่เขาต้องการ


เช่นเดียวกับตอนที่ผมตัดสินใจตัดบท และขอนัดพบชายผู้นั้นในวันรุ่งขึ้น สายตาของเขา เมื่อรู้สึกตัวว่า ผมรักษาคำพูดของตัวเองว่าจะไม่ไปไหน มองมายังผมด้วยความขอบคุณ ก่อนที่จะยอมให้ผมนอนกอดเขาเอาไว้อย่างว่าง่าย และซุกใบหน้าเข้ากับไหล่ของผมเหมือนลูกแมวที่แสวงหาความอบอุ่นจากที่ที่มันวางใจว่าปลอดภัย ทำให้ผมเสียใจขึ้นมาครามครันที่นำเขาออกไปเผชิญกับฝันร้ายที่เคยทำร้ายเขาจนเจ็บหนักและฝากรอยแผลติดตัวเขาจนทุกวันนี้ ซึ่งย้อนกลับคืนมาเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของเขาในยามตื่น แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกว่า ตัวเองคิดไม่ผิด ที่เอ่ยปากถามเขาว่า คืนนี้ เขาต้องการให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเขาหรือไม่


ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่ได้พบกัน จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาและผมมากมายขนาดนี้


ผมไม่โทษอัลเฟรด คอร์ตนีย์ ถ้าหากเขาจะมองผมด้วยสายตาไม่วางใจระคนสงสัย เพราะผมเป็นอัลฟ่าแปลกหน้า ที่มารับเพื่อนสนิทของเขาไปจากบ้านในสภาพหนึ่ง และนำกลับมาส่งที่บ้านในสภาพที่ ‘ไม่เหมือนเดิม’ หรือ ‘ย้อนกลับไปสู่จุดเดิมที่เคยข้ามพ้นมาได้แล้ว’ อย่างที่เป็นอยู่ และเขาก็มีสิทธิที่จะเป็นห่วงฝ่ายหลังอย่างเต็มที่ ในฐานะเพื่อนที่คอยประคับประคองจิตใจของอีกฝ่ายมานานนักสิบปี แต่ทว่าเขาเลือกที่จะเคารพสิ่งที่เพื่อนของเขาตัดสินใจ และเผื่อแผ่ความเคารพนั้นมาถึงผมด้วยอีกคนหนึ่ง แม้จะมีความกังวลอยู่ในทีก็ตาม


ระยะเวลาที่เราใช้ในการทำความรู้จักโทเบียส ฟอล์กเนอร์ต่างกัน แต่เราต่างรับรู้ตรงกันว่า เขาต้องการสิ่งใดมากที่สุด


ผมพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุด ระวังไม่ให้ตัวเองรบกวนการนอนของคนข้างตัว แต่อดไม่ได้ที่จะลูบผมของเขาเบา ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา ข้อห่วงใยจากเพื่อนสนิทของเขาที่บอกผม และคำพูดของ ดร. เบนจามิน เวสต์ที่เอ่ยกับผมว่า เขาควรได้รับความรักที่ดีบ้าง


สัมผัสของผมทำให้เขาขยับตัวเล็กน้อย แต่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น แม้ว่าจะทำเสียงบางอย่างในลำคอ ทว่าเสียงนั้นก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความรำคาญ ตรงกันข้าม เป็นเสียงที่แสดงถึงความพอใจและผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม ท่าทางของเขาทำให้ผมค่อยยิ้มออกและโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง


นี่เป็นครั้งแรกในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงนับจากเราพบหน้ากันที่ผมมีโอกาสได้เฝ้ามองเขาอย่างเต็มตา


สวยงามและละมุนละไมเหมือนสตรี เข้มแข็งและเปี่ยมพลังเหมือนบุรุษ ทั้งยังหาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้...


คำบรรยายถึงเฮอร์มาโฟรดิตุส บุตรแห่งอโฟรไดท์ เทวีแห่งความรัก กับเฮอร์เมส เทพแห่งการสื่อสารคงเป็นคำที่ใช้อธิบายถึงตัวเขาได้เหมาะสมและลงตัวที่สุด เพราะความขัดแย้งในตัวเองและน้อยคนที่เป็นเช่นนี้ เขาจึงเป็นเหมือนรูปสลักหินอ่อนของเฮอร์มาโฟรไดต์ ที่เศรษฐีชาวกรีกสั่งประติมากรให้สลักไว้ประดับสวน เพื่อแสดงถึงรสนิยมทางศิลปะและการครอบครองในสิ่งที่ยากจะได้มาครอบครองในความเป็นจริง แต่คนที่อยู่ตรงหน้าของผมในเวลานี้ เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ มีความเป็นอิสระ และไม่มีวันที่ใครจะครอบครองได้ หากเขาไม่ยินยอม


ผมเกลี่ยนิ้วที่เหนือแก้มของเขาอย่างระมัดระวัง ความอ่อนนุ่มและอบอุ่นที่ได้สัมผัสจากใบหน้าและร่างกายที่เหมือนรูปสลักหินอ่อนเป็นสิ่งยืนยันว่าผมไม่ได้ฝันไป กลิ่นหอมของดอกเฮเธอร์จากตัวของเขาชัดเจนและไม่จางหายไปไหน เหมือนกลิ่นประจำตัวของเขาที่ฝากไว้บนหนังสือเล่มนั้นยืนยันว่า คู่แท้ของผมมีตัวตนอยู่จริง


มีอะไรหลายอย่างในตัวเขาที่ทำให้ผมนึกถึงแมรี่ และระลึกได้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องลุกขึ้นมาปลอบใครคนหนึ่งกลางดึก และเฝ้ามองอีกฝ่ายจนแน่ใจได้ว่า หลับสนิท


แมรี่กับผมเคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากด้วยกัน แต่ความทุกข์จากการสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของเธอนั้น เป็นความทุกข์ที่ผมไม่อาจเข้าถึงหรือบอกเธอได้ว่า ผมเข้าใจเธออย่างลึกซึ้ง หรือสิ่งที่ ดร. ฟอล์กเนอร์เผชิญอยู่ในเวลานี้ ก็เป็นสิ่งที่อัลฟ่าอย่างผมไม่มีทางรู้ซึ้งถึงความกดดันที่โอเมก้าอย่างเขาต้องแบกรับเอาไว้เช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่ผมสามารถทำได้ในทั้งสองสถานการณ์ที่ทั้งเหมือนและแตกต่าง คือ ผมจะไม่ทิ้งพวกเขาในเวลาที่พวกเขาต้องการใครสักคน แม้ว่าจะไม่สามารถแบ่งเบาความรู้สึกที่อธิบายกับใครไม่ได้มาไว้กับผมก็ตาม


หากสิ่งที่แมรี่กับ ดร. ฟอล์กเนอร์ต้องการความเข้าใจ ตัวผมเองก็ต้องการได้รับรู้ว่า ตนเองเป็นคนที่พวกเขาวางใจด้วยเช่นกัน ไม่มีอะไรที่มากหรือน้อยไปกว่านั้นอีกแล้ว


เรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดวันที่ผ่านมา ทำให้ผมเริ่มทบทวนความรู้สึกของตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่ดึงดูด ดร. ฟอล์กเนอร์กับผมเข้าหากัน และในที่สุด ผมเองก็คิดได้


ไม่ใช่เพราะเขามีบางอย่างที่เหมือนกันแมรี่ และมีคุณสมบัติอย่างเดียวกับคุณสมบัติที่ทำให้ผมหลงรักเธอตั้งแต่ได้พูดคุยกันครั้งแรก และไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่แท้ หรือ ทรูเมท ที่ธรรมชาติกำหนดมาให้ต้องคู่กัน แต่เป็นตัวตนของเขาที่ไม่เหมือนใคร ไม่สามารถใช้เขาแทนที่ใคร และไม่มีใครที่สามารถทดแทนเขาได้


ต่อให้เขาไม่ใช่โอเมก้า แต่เป็นเบต้า หรือแม้กระทั่งอัลฟ่าเช่นเดียวกันกับผม และไม่ใช่ทรูเมทของผม ผมก็ยังจะทำในสิ่งที่ผมทำอยู่อย่างนี้เช่นเดิม ผมจะเป็นมิตรที่ดีของเขาเสมอไป ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะใดหรือวางผมไว้ในสถานะใดก็ตาม


ผมไม่รู้ว่า ตัวเองมองคนที่หลับอยู่ข้างตัวอยู่นานเท่าใด


ร่วมสิบปีแล้ว ที่แมรี่จากไป และผมไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้น เพื่อพบว่า มีใครอีกคนหนึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ บนเตียงเดียวกัน อยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าการปลดปล่อยความต้องการชั่วครั้งชั่วคราวแล้วจากกันโดยไม่คิดจะสานต่อ และแค่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ระยะที่มือเอื้อมถึง ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น ก็เพียงพอแล้ว


ความรู้สึกของการมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนคู่คิดที่รู้เท่าทันของผมไปในเวลาเดียวกัน ทั้งที่เริ่มคุ้นชินกับการอยู่ตัวคนเดียวและมีชีวิตอยู่เพื่องานของตัวเองเท่านั้น ทำให้ในอกของผมเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกเดียวกับครั้งที่ผมยืนมองเขาปิดประตูหน้าบ้านเพื่อที่จะออกไปทำงานด้วยกัน แต่คราวนี้ ความรู้สึกนั้นชัดเจนและหนักแน่นยิ่งขึ้นหลายเท่า


“สารวัตรครับ”


เสียงกระซิบเรียกของเขาปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ และปลายนิ้วของเขาที่แตะอยู่บริเวณสันจมูกและใต้ดวงตาทำให้ผมรู้ตัวว่า น้ำตาของตัวเองไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว


เขาไม่ได้เอ่ยถามถึงสาเหตุ แต่หากเขาถาม ผมก็พร้อมจะตอบ ทว่าเราต่างรู้ว่า ยังไม่ใช่เวลานี้


“ผมทำให้ตื่นหรือเปล่า” ผมเอ่ยถาม ปล่อยให้เขาสัมผัสใบหน้าของผม ก่อนจะกุมมือข้างนั้นของเขาแล้วดึงให้เลื่อนมาแนบกับริมฝีปาก จูบเขาที่กลางฝ่ามือ แทนคำขอบคุณที่เป็นห่วง


ดร. ฟอล์กเนอร์ส่ายหน้า และยิ้มให้แทนคำตอบ “เมื่อคืนนี้ ผมเป็นคนทำให้สารวัตรตื่นมากกว่านะครับ แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่า ผมหลับสนิทที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา โดยที่ไม่ต้องกินเมลาโทนิน หรือพึ่งยานอนหลับ”


“จริงเหรอ”


เป็นคำถามติดปากแต่ไม่ได้ตั้งใจจะแสดงนัยว่า ไม่เชื่อ แต่ดูเหมือนว่า เขาจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ทันที และสบตากับผม ด้วยแววตาที่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากดวงตาสีเขียวคู่นั้นมัวหม่นเพราะความเจ็บปวดจากอดีตมาตั้งแต่บ่ายวันวาน


“จริงสิครับ” เขาตอบ ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ และดูจะคลี่กว้างยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป “ขอบคุณนะครับ สารวัตร”


น้ำเสียงเป็นมิตรและความรู้สึกที่เขาแสดงออกผ่านสีหน้าทำให้ผมอดยิ้มตามเขาไปไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผมคู่ควรกับคำขอบคุณ แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วงอย่างวานนี้อีกต่อไปแล้ว ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะการได้เผชิญหน้ากับคนในอดีต และผ่านการทดสอบที่ลำบากยากเย็นนั้นมาได้ด้วยก็เป็นได้ แม้จะเป็นก้าวแรก ทว่าเป็นก้าวสำคัญที่จะนำเขาออกจากกรงที่ขังเขาเอาไว้มานานนับปี แต่ยังต้องใช้เวลาอีกมาก กว่าที่ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ


“วันนี้ คุณหมอจะไปที่ภาควิชาหรือเปล่า ให้ผมไปส่งไหม” ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดึงชายเสื้อยืดแขนยาวสำหรับใส่นอนที่เลิกขึ้นลง ในขณะที่เขาขยี้ตา ลุกขึ้นนั่ง เสยผมที่ยุ่งเหยิงให้เป็นทรงมากขึ้น และหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม


“ไม่เป็นไรครับ ผมขับไปเองดีกว่า เพราะผมต้องไปเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญที่ศาล ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จเมื่อไหร่” ดร. ฟอล์กเนอร์บอก “ถ้าเลิกเร็ว ผมจะไปที่ภาควิชา เคลียร์รายงานการชันสูตรที่ค้างไว้ กับค้นข้อมูลเกี่ยวกับภาพเดอะแฮนด์ออฟกลอรี่ปลอม ๆ ของเจมส์ พ็อตต์สักหน่อย น่าจะได้อะไรที่ชัดเจนขึ้น”


คำพูดนั้นของเขาทำให้ผมที่กำลังจะลุกขึ้น หย่อนตัวลงนั่งบนเตียงเหมือนเดิม พร้อมหันไปทางเขา “คุณหมอคิดอะไรออกแล้วงั้นหรือครับ”


โทเบียส ฟอล์กเนอร์พยักหน้า แต่ท่าทางของเขายังดูครุ่นคิด และบอกผมว่า อย่าเพิ่งคาดหวังมากนัก “มีอะไรที่ติดใจอยู่นิดหน่อยน่ะครับ ถ้าได้คำตอบแล้วจะรีบส่งอีเมล์ให้... สารวัตรเองเถอะครับ ไปพบเซอร์เอ็ดเวิร์ดก็ระวังตัวด้วย”


“ขอบคุณครับ แต่แน่ใจนะ คุณหมอว่า โอเคจริง ๆ กับการไปศาล” ผมถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง เพราะการพิจารณาคดีในศาล โดยเฉพาะในคดีอาญา ผู้เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ล้วนมีแต่อัลฟ่า ซึ่งผมไม่แน่ใจนักว่า การปล่อยให้เขาอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นหลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้จิตใจที่เข้มแข็งของเขาสั่นไหวจะทำให้เขารับมือกับมันเท่าที่เคยทำได้ทุกครั้งหรือไม่ แม้ว่า ผมจะเชื่อความสามารถในการควบคุมตัวเองของเขาก็ตาม


ดร. ฟอล์กเนอร์มองผมครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าและยิ้มให้ผมแทนคำตอบ แต่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า ในรอยยิ้มของเขาคราวนี้ มีนัยบางอย่างของคนรู้ทันอยู่ด้วย


“ถ้าเป็นห่วงมาก จะทำ scent mark ไว้ก็ได้นะครับ...”





(จบตอนที่ 8)




To be continue......



//ตอนนี้ตัดกลับมาเบา ๆ บ้าง อีก 2-3 ตอนก็จะจบแล้วละค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^

Reply · Report Post