A Price to Pay (part 2) - แฟนฟิค the Jungle Book (cats&bear) - มีต่อตอนหน้าค่ะ


Part 1: http://www.twitlonger.com/show/n_1sojlho


บากีราเกิดและเติบโตท่ามกลางหมู่มนุษย์ และท่ามกลางมนุษย์ คือ สถานที่ที่แม่ของมันตาย


มนุษย์ไม่เคยใช้ชีวิตซื้อชีวิตของมัน อย่างที่มันใช้ชีวิตของวัวป่าซื้อชีวิตของเมาคลีจากคมเขี้ยวของเชียร์คาน มนุษย์จับแม่ของมันมา มนุษย์เลี้ยงมัน มนุษย์ให้อาหารมัน มนุษย์ที่ให้อาหารมันไม่ได้รักมัน และมันก็ไม่ได้รักมนุษย์ทุกคนที่มันรู้จัก แต่ก็ไม่ได้เกลียดชังจนอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ มันรู้จักมนุษย์ดีพอ และมันก็รู้ว่ามันไม่ควรใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์


แม่ของมันเป็นเสือดาวดำที่สง่างาม และความงดงามของนางก็นำภัยมาถึงตัว ในขณะที่เสือดาวตัวอื่นถูกฆ่าเพื่อเอาหนังมาเป็นเครื่องประดับที่แสดงความมั่งคั่งและความห้าวหาญของมนุษย์ มนุษย์ไว้ชีวิตแม่ของมัน เพราะสีขนดำขลับอ่อนนุ่มของนาง ซึ่งทำให้นางเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง และในเวลานั้น นางมีมันอยู่ในท้อง


มันเกิดในวังของราชาที่เลี้ยงแม่ของมันเอาไว้ มันจึงไม่เคยเห็นป่า ไม่รู้จักกลิ่นที่แท้จริงของป่า สิ่งที่ใกล้เคียงกับป่ามากที่สุดที่มันรู้จัก คือ อุทยานของราชา แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกันป่าที่แม่ของมันเคยเล่าให้ฟังด้วยความโหยหาอาลัยทุกครั้ง


เมื่อมันยังเล็ก มันเคยเป็นเหมือนลูกแมวขนฟูตัวใหญ่ ขนสีดำยังมีลายสีเหลืองแบบเสือดาวจาง ๆ แซมอยู่ ในเวลานั้น มันเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ความรักจากลูกมนุษย์ สายตาของลูกมนุษย์ที่มองมัน เอาตัวมันไปกอดแน่นอย่างรักใคร่ ใบหน้าเล็ก ๆ ไร้ขนแนบชิดกับศีรษะที่มีขนนุ่ม ๆ ของมัน สิ่งมีชีวิตไร้ขนที่แม่เรียกว่า ‘ลูกมนุษย์’ หัวเราะชอบใจเมื่อมันใช้ลิ้นเลียใบหน้าและมือที่ลูบตัวมันเป็นการตอบแทน แม่ไม่เชื่องนักกับมนุษย์ที่โตแล้ว แต่สายตาของแม่เอ็นดูลูกมนุษย์อยู่ไม่น้อย


บากีรา... บากีรา... ลูกมนุษย์เรียกมันอย่างนี้... แม่ของมันก็เรียกมันว่า บากีรา เช่นเดียวกัน นั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่แม่เห็นพ้องอย่างจริงใจในสิ่งที่มนุษย์ปฏิบัติต่อมัน แม่บอกมันว่า ชื่อนี้เป็นชื่อที่ดี เพราะมีความหมายว่า ‘พยัคฆ์’ และนางต้องการให้มันจดจำและสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า มันคือ ‘เสือ’ ตัวหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม


บากีรา จึงกลายเป็นชื่อของมัน นับแต่นั้นเป็นต้นมา


เมื่อมันยังเล็ก ลูกมนุษย์ชอบเล่นกับมัน ชอบสัมผัสตัวมัน ลูกมนุษย์ชอบมัน มันสัมผัสความอ่อนโยนของเด็กน้อยที่มีต่อสัตว์อย่างมันได้ แต่ความรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้อยู่กับมันตลอดไป เพราะลูกเสือเติบโตเร็วกว่าลูกคน


เมื่อมันพ้นแปดสัปดาห์ ตัวของมันโตขึ้นเรื่อย ๆ ขาและหางของมันยาวขึ้น รูปร่างที่เคยกลมป้อมยืดออกกลายเป็นร่างเพรียว กล้ามเนื้อใต้ขนสีดำเหมือนกำมะหยี่แข็งแกร่งขึ้น มันปีนขึ้นที่สูงได้อย่างง่ายดาย อุ้งเท้านุ่มของมันมีเล็บแหลม และในปากของมันมีฟันสีขาวคมกริบ เสียงร้องแหลมเหมือนแมวไม่หลงเหลือ เสียงของมันเวลาคำรามแผ่วต่ำแต่นุ่มนวล แม่บอกว่าเมื่อมันเติบโตเต็มตัว มันจะเป็นเสือดำเพศผู้ที่สง่างามเช่นเดียวกับพ่อที่มันไม่เคยเห็น แต่ไม่จำเป็นต้องรู้จัก


ตอนนั้นเอง ที่มันถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ลูกมนุษย์ มันถูกสวมปลอกคอและล่ามโซ่ทุกครั้งที่ถูกปล่อยออกมาจากกรง


ลูกมนุษย์มองมันและมันก็มองลูกมนุษย์ที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้มันด้วยสายตาแสดงความไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน และเป็นครั้งแรก ที่มันได้กลิ่นของความกลัวจากตัวของมนุษย์ที่โตแล้ว ซึ่งเป็นกลิ่นที่มันเคยสัมผัสเวลามนุษย์เข้าหาแม่ของมัน ความกลัวและความไม่ไว้ใจที่มนุษย์ถ่ายทอดออกมาให้มันรับรู้ ทำให้มันรู้ตัวว่า มันกลายเป็นตัวอันตรายในสายตาของมนุษย์เช่นเดียวกับแม่ของมันไปเสียแล้ว แม้ว่ามันไม่เคยคิดจะทำร้ายใครเลยก็ตาม


สำหรับมนุษย์ในสถานที่ที่เรียกว่า วังของพระราชา พวกมันเป็นสิ่งประดับบารมีของมนุษย์ที่เป็นเหมือน ‘จ่าฝูง’ ที่ทุกคนต้องเคารพและเชื่อฟังคำสั่ง พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่เหมือนสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข แมว ม้า หรือพวกปศุสัตว์ มนุษย์ชื่นชมรูปร่างและสีขนที่สวยงามของมัน มนุษย์ครอบครองพวกมัน แต่ในขณะเดียวกันก็หวาดกลัวความเป็นสัตว์ป่าของมัน สัญชาตญาณสัตว์ป่าของแม่ยังอยู่ มันไม่เพียงแต่ได้เรียนรู้จากนาง แต่ในบางครั้ง มนุษย์ก็เป็นคนที่ทำให้มันได้เรียนรู้การล่าอย่างที่สัตว์ป่าควรจะทำ


มนุษย์ชอบที่จะเห็นร่างปราดเปรียวของพวกมันวิ่งทะยานเหมือนสายลม และไล่ล่าเหยื่ออย่างนก กระต่าย หรือสัตว์ที่ใหญ่ขึ้นมาอีกเล็กน้อยอย่างแพะ เจ้าสัตว์เล็กเหล่านั้นวิ่งหนีตายกันอย่างตื่นตระหนก แม่สอนให้มันล่า มันล่าอย่างที่แม่สอน แต่เมื่อพวกมันทำสำเร็จ สิ่งที่มันมองเห็นจากสายตาของพวกมนุษย์ คือ ความหวาดหวั่นไม่ใช่ชื่นชมยินดีอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว ทั้งที่พวกมนุษย์เป็นคนกระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวของมันขึ้นมาเอง


มนุษย์ชอบมันและมองมันด้วยความชื่นชม แต่ก็หวาดกลัวมัน มนุษย์ต้องการให้มันเชื่อฟัง แต่ไม่เคยไว้ใจเมื่อมันทำสิ่งที่มนุษย์ต้องการ มนุษย์อ่อนแอ ไม่มีเขี้ยวเล็บ แต่มนุษย์ก็หาเครื่องมือที่จะทำให้ตนเองเอาชนะสัตว์ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าอย่างพวกมันได้ และควบคุมพวกมันได้


มนุษย์ไม่ได้ฉลาดมากอย่างที่พวกสัตว์ในป่าเข้าใจ มนุษย์ฟังภาษาของพวกมันไม่ออก และไม่เคยคิดพยายามเข้าใจ ในทางตรงข้าม มนุษย์บังคับให้สัตว์เข้าใจคำพูดของตัวเอง และทำตามในสิ่งที่มนุษย์อยากให้ทำ ซึ่งถ้าหากพวกมันไม่ทำ มนุษย์ก็จะพยายามควบคุมพวกมันด้วยการทำให้เจ็บ และทำให้กลัว จนจำใจต้องเชื่อฟัง


มนุษย์ไม่มีเขี้ยวเล็บ แต่มนุษย์มีมือเท้าและความสามารถในการประดิษฐ์สิ่งของมาช่วยทุ่นแรง หรือติดเขี้ยวเล็บให้กับตนเองด้วยอาวุธที่มีเสียงดังและอานุภาพร้ายแรงอย่างปืนไฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่สัตว์อย่างพวกมันทำไม่ได้ มนุษย์ไม่มีขน มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นในที่มืด แต่มนุษย์มีดอกไม้สีแดง หรือ ไฟ ที่จะสร้างความอบอุ่นและให้แสงสว่าง มนุษย์จึงเอาชนะสัตว์อย่างพวกมันได้


บากีร่าเฝ้ามองมนุษย์ ทำความเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ทำ และเรียนรู้ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน มีการแสดงออกของอารมณ์ให้มนุษย์คนอื่นเข้าใจ ในแบบที่สัตว์อย่างพวกมันทำไม่เป็น และที่ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด เท่าที่มันเคยรู้จัก คือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ปากไม่ตรงกับใจ การแสดงออกอย่างหนึ่งอาจหมายความอีกอย่างหนึ่งก็ได้


มันอาจอยู่ท่ามกลางมนุษย์ต่อไปได้ หากมนุษย์ไม่จับมันแยกออกจากแม่


เสือดาวอย่างพวกมันเป็นสัตว์รักสันโดษและอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามธรรมชาติ แต่สำหรับแม่เสือดาวกับลูก พวกมันใกล้ชิดกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน เล่นด้วยกัน ล่าสัตว์ด้วยกัน และแบ่งสัตว์ที่ล่ามาได้ด้วยกันอยู่นานถึงสองปี ก่อนที่ลูกเสือจะเติบใหญ่ออกไปใช้ชีวิตของตนเอง และแม่เสือพร้อมที่จะมีลูกใหม่


มนุษย์แยกมันจากแม่เร็วเกินไป ทั้งที่อีกไม่กี่เดือน มันจะโตพอที่จะอยู่เองได้ และแม่ของมันก็ไม่ยอมให้มนุษย์ทำอย่างนั้น


แม่ของมันคำรามลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว กางเล็บพร้อมตะปบทุกคนที่เข้ามาใกล้ ไปพร้อมกับร้องเรียกหามัน ซึ่งมนุษย์ล่ามโซ่และลากออกมาจากกรง โดยมันเองก็ขัดขืนด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่รับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น แม่โถมตัวเข้าใส่กรงที่ขังนางเอาไว้ และกัดลูกกรงเย็นเฉียบเพื่อที่จะออกมาหามัน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและตะโกนเรียกหาความช่วยเหลือของเหล่ามนุษย์


เสียงของแม่ที่ร้องเรียกมันอย่างทุกข์ทรมานสลับกับเสียงร้องที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดทำให้มันไม่อาจอยู่เฉย บากีราร้องรับ และพยายามวิ่งกลับไปยังที่ที่แม่ของมันอยู่ แต่มนุษย์ที่ควบคุมมันก็กระชากโซ่ที่คล้องกับปลอกคอของมันกลับ จนมันล้มคว่ำ แต่เสือหนุ่มไม่สนใจอะไรอีกแล้ว มันร้องคำราม ทั้งดึง ทั้งสะบัด หมุดที่ตอกยึดปลอกคอเอาไว้และสายโซ่บาดครูดลำคอและใต้คางของมันทุกครั้งที่พยายามกระชากตัวเองให้หลุดออกจากพันธนาการ


มนุษย์พยายามฉุดรั้งมันไว้ด้วยการผูกโซ่ไว้กับที่ และทุกครั้งที่มันกระโจนไปหาแม่ สายโซ่นั้นก็จะรั้งตัวมันเอาไว้จนหายใจไม่ออก และดึงให้มันตกลงกระแทกพื้น แต่มันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่มันสนใจมีแต่แม่ของมันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันไม่รับรู้และไม่ใส่ใจว่า เลือดจากบาดแผลที่ลำคอและใต้คางของมันไหลออกมามากเท่าไร และในครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันและแม่จะหมดแรง ปลอกคอของมันก็ขาด แต่มันอ่อนล้าและเจ็บร้าวไปทั้งร่าง ได้แต่ยินยอมให้มนุษย์จับมันกลับเข้าไปในกรงดังเดิม


มนุษย์อาจชนะ แต่อย่างน้อย พวกมันก็ไม่ได้แพ้เสียทีเดียว เพราะท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็ไม่ได้ใส่ปลอกคอให้มันอีก และปล่อยให้มันกับแม่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง แต่แม่ที่อ่อนแอมาตั้งแต่ถูกจับมาอยู่ในสถานที่ของมนุษย์ก็ยิ่งอ่อนแอกว่าเก่า


จากเหตุการณ์ในวันนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเข้าใกล้พวกมันอีก พวกมนุษย์ให้อาหารมันด้วยการใส่ถาดเหล็กมีด้ามยาวสอดเข้ามาให้ในกรง แต่แม่ไม่กินอาหาร ไม่กินน้ำ เอาแต่นอนนิ่ง จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่ของมันหลับและไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แม้ว่ามันจะเลียจมูกที่แห้งผาก ถูหน้าผากของมันกับหน้าผากของแม่ ทิ้งตัวลงนอนเบียดกับขนสีดำอ่อนนุ่มบนร่างแน่นิ่งของแม่ แต่ดวงตาสีอำพันของแม่ก็ไม่ยอมลืมขึ้นมามองมัน


ไม่ว่ามันจะพยายามมากเพียงใด แม่ก็ไม่ตอบสนอง เช่นเดียวกับสัตว์เล็ก ๆ ที่มนุษย์เอามาให้พวกมันล่า มันจึงแน่ใจว่า แม่ของมันตายแล้ว ทิ้งให้มันอยู่ตามลำพังท่ามกลางหมู่มนุษย์


ความตายของแม่ และปฏิกิริยาที่มนุษย์แสดงออกต่อมัน ทำให้ความรู้สึกว่า มันไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อไปแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ และภาพของป่าที่แม่เคยบรรยายให้ฟังด้วยความสุขเจือเศร้าแจ่มชัดขึ้นในความทรงจำของมันยิ่งขึ้นทุกขณะ


เหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้มันตื่นรู้ว่า มันมีพละกำลังมากแค่ไหน มีเขี้ยวเล็บที่มันสามารถใช้เป็นอาวุธได้รุนแรงแค่ไหน และมันก็รู้ว่า เหตุใดมนุษย์จึงกลัวมัน


มันเกิดท่ามกลางเหล่ามนุษย์ แต่ที่อาศัยและที่ตายของมันไม่ควรอยู่ท่ามกลางมนุษย์ แต่เป็นผืนป่ากว้างใหญ่ที่มันไม่เคยพบเห็นหรือสัมผัส ทว่ามันรู้และเชื่อมั่นว่า มันเป็นของที่นั่น และป่าคือที่ที่มันควรอยู่


มันคือ บากีรา มันคือสัตว์ป่า ไม่ใช่ของเล่นของมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะหนีออกไปให้ได้


และในที่สุด มันก็ทำได้....



------------------------------------------------------------------




ท่ามกลางผืนหญ้าสีทองที่โบกสะบัดเพราะแรงลม บากีราลุกขึ้นอย่างยากลำบาก บาดแผลจากการต่อสู้เจ็บแปลบขึ้นมาทันทีที่มันขยับ เจ้าของร่างสีเหลืองสลับดำผละจากมันไปทันทีที่นกแร้งส่งเสียงบอกให้รู้ว่า เมาคลีวิ่งไปในทิศทางไหน และออกกวดไล่ลูกมนุษย์เต็มฝีเท้า


หากเชียร์คานคิดจะฆ่ามันจริง คงทำไปนานแล้ว แต่ในเวลานี้ ความสนใจของเชียร์คานอยู่ที่ลูกมนุษย์อย่างเมาคลี


เสือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเสือตัวใดในป่าอย่างเชียร์คาน ไม่ใช่เสือโง่ แต่ความแค้นบังตาที่มืดบอดไปข้างหนึ่งของมัน ทำให้เชียร์คานเลิกสนใจกฎแห่งป่าและพร้อมจะละเมิดกติกาที่บรรดาสัตว์ทั้งหลายมีร่วมกันเมื่อมีโอกาส เพื่อฆ่าเมาคลีให้ได้


บากีราครางเสียงต่ำในลำคอ แผลจากเล็บของเชียร์คานสร้างความลำบากให้มันไม่ใช่น้อย ต่อให้กัดฟันอดทนวิ่งตามไป มันจะกลายเป็นอุปสรรคในการหนีของเมาคลีมากกว่าจะเป็นประโยชน์


เหนือท้องฟ้า มันเห็นนกแร้งที่เป็นสมุนของเสือร้ายบินตรงไปทางทิศใต้ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นทิศทางที่นายของพวกมันและเมาคลีกำลังมุ่งไป ถ้าหากเมาคลีรอดไปได้ ก็จะเจอสิ่งมีชีวิตเฉือยชา แต่มันเชื่อว่า จะช่วยเหลือเมาคลีได้ อย่างที่เคยเสนอตัวออกหน้าช่วยรับรองลูกมนุษย์น้อยคนนี้มาแต่ต้นและเป็นคนสั่งสอนกฎแห่งป่าให้ ในขณะที่รัคชาเลี้ยงดู ให้ความรัก และมันสอนทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดให้


เชียร์คานมีแร้งและฝูงหมาในเป็นหูและตาให้ บากีราเองก็มี ‘หูและตา’ ของมันอยู่ในป่าด้วยเช่นกัน และนั่นเป็นเหตุผลที่มันกล้าที่จะต่อกรกับเชียร์คานได้ ในขณะที่สัตว์อื่น ยกเว้นช้างซึ่งเป็นเจ้าแห่งป่า ไม่กล้า


มันต้องหาที่สำหรับซ่อนตัว รอให้บาดแผลทุเลา พักฟื้นจนกำลังกลับคืนมาสักวันหนึ่ง จึงค่อยออกตามรอยเมาคลีอีกครั้ง


ถ้าเมาคลีตาย ไม่เพียงแต่เชียร์คานจะได้แก้แค้นมนุษย์ที่ใช้ดอกไม้สีแดงทำร้ายมัน แต่มันยังได้แก้แค้นบากีราที่ใช้ไหวพริบหาช่องว่างของกฎแห่งป่า ซื้อชีวิตของเด็กน้อยไปจากมันอย่างไม่ไว้หน้าท่ามกลางฝูงหมาป่าแห่งซีโอนี


ความห่วงใยในสวัสดิภาพของเมาคลีเข้าเกาะกุมจิตใจของมัน แม้ลึก ๆ แล้ว มันจะเชื่อว่า เด็กน้อยที่มันพร่ำสอนอย่างตั้งใจ อย่างที่แม่ของมันสอนมันมาแต่เด็ก จะสามารถเอาตัวรอดไปจนถึงจุดนัดหมายได้ แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่รบกวนจิตใจเท่ากับคำถามที่เชียร์คานฝากไว้พร้อมรอยเล็บลึกถึงเนื้อ และเรียกเลือดของมันให้หยดแต้มทุ่งหญ้าที่กลายเป็นสนามประลองได้


มันค่อนข้างแน่ใจว่า เชียร์คานไม่เคยล่วงรู้ความลับเรื่องที่มันเคยอยู่กับมนุษย์ ไม่มีสัตว์ตัวไหน แม้แต่บาลู หมีเฒ่าที่ช่วยรับรองเมาคลีให้เข้าฝูงเป็นตัวแรก และรู้จักมันดีกว่าใครในผืนป่าซิโอนีแห่งนี้ แต่คำถามนั้น ก็ทำให้มันสะท้านอยู่ในใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


เชียร์คานถามมันว่า มันซื้อชีวิตเมาคลีเอาไว้ เพราะมนุษย์เคยซื้อชีวิตมันอย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือ มนุษย์ไม่เคยช่วยชีวิตมัน แต่มันก็เลือกที่จะช่วยชีวิตลูกมนุษย์อย่างเมาคลี


บาดแผลจากปลอกคอและโซ่ที่มันเคยสวมใส่ยังคงปรากฏอยู่ภายใต้ขนสีดำของมัน และเป็นเครื่องเตือนใจถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนของมันและมนุษย์


พวกมันเป็นเสือเหมือนกัน และมีบาดแผลจากการกระทำของมนุษย์ติดตัวเช่นกัน ทว่าเส้นทางที่มันเลือกเป็นคนละสาย


มันเลือกเมาคลี มันเลือกที่จะเข้าข้างสัตว์น้อยไร้ขน ที่อาจเติบโตไปเป็นภัยคุกคามของสรรพสัตว์อย่างที่มันเคยเห็น แต่มันไม่เคยคิดเลยว่า เพราะเหตุใด มันจึงทำเช่นนั้น จนกระทั่งเชียร์คานถาม


อย่างไรก็ตาม มันไม่เสียใจและไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจในการตัดสินใจของตัวเอง แต่มันก็รู้ว่า นับจากนี้ไป เชียร์คานจะเห็นมันเป็นศัตรู ไม่ใช่แค่คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อในฐานะเสือด้วยกันอีกต่อไป


เชียร์คานเป็นเสือตัวแรกที่มันรู้จัก และ ‘เคยเป็น’ เสือตัวสุดท้ายที่มันอยากต่อกรด้วย


นับแต่นี้ จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว



To be continued...

----------------------------------------------------


//ตั้งใจตอนแรกว่าจะสักสองตอนจบ แต่ไปๆ มาๆ ไหนๆ ก็เขียนแล้ว เอาให้ได้ความครบถ้วนไปเลยก็แล้วกัน คราวหน้าเป็นตอนจบจริงๆ ละ บาลีนอนกินน้ำผึ้งอยู่ ยังไม่มีบทตอนนี้ แต่ตอนหน้ามีแล้ว ฮา

//ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่า ไม่คิดว่าจะเขียนฟิคซูออกมาได้ไกลขนาดนี้จริงๆ ><

Reply · Report Post