Thémis //แปะแฟนฟิค Les Mis อีกหน่อย คราวนี้ยาวขึ้นอีกนิด


(1)

กงบ์แฟร์เป็น ‘ผู้ชี้ทาง’ ได้ แต่เขารู้ว่า ตนเองเป็น ‘ผู้นำ’ ไม่ได้
เขาใจอ่อนเกินไป เขาไม่เด็ดขาดมากเพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น
เขาปรารถนาที่จะรักษาชีวิตคนไว้มากกว่าทำลายมันลงกับมือ
เขาไม่สามารถพิพากษาว่า ใครควรมีชีวิตอยู่หรือใครควรจะตายได้
หน้าที่อันหนักหนานั้นจึงตกอยู่กับผู้ที่เข้มแข็งและเด็ดขาดกว่าคนอื่น
อองโฌลราส์ คือ คนเดียวที่ยอมแบกรับภาระสาหัสยิ่งกว่าคนอื่นคนนั้น


ในเงื้อมมือของผู้นำการปฏิวัติ คือ ชายที่แต่งตัวซอมซ่อเหมือนคนงานขนของ
ดูไร้พิษสง แต่สิ่งที่เพิ่งกระทำลงไปก่อนที่พวกเขาจะจับได้นั้นเกินกว่าจะให้อภัย
เพราะชายที่เรียกตัวเองว่า ‘เลอ คาบุค’ และปะปนมาเป็นสมาชิกภายในปราการ


เพิ่งจะสังหารชายชราคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านบนถนนแซงต์เดอนีส์ไปอย่างอุกอาจ
ด้วยเหตุผลเแค่ ชายผู้น่าสงสารผู้นั้นหมายเพียงจะปกป้องตนเองและไม่ยอมเปิดประตูให้


เมื่ออ้างตนเป็นคนของคณะปฏิวัติ การสะสางความผิดจึงเป็นหน้าที่ของคณะปฏิวัติ
ผู้นำต้องทำหน้าที่เป็นผู้ไต่สวนและพิพากษา เป็นนักบวชผู้สั่งสอน และเพชฌฆาตผู้สำเร็จโทษ
และในเวลานี้ ชายหนุ่มรูปงามไร้ที่ติแต่เยือกเย็น มั่นคง ไม่ต่างอะไรจากประติมากรรมกรีกผู้นั้น
กำลังทำหน้าที่ของเทวีธีมิส ผู้ไม่เห็นแก่ใครและทรงอำนาจ เพื่อนำความเป็นระเบียบเรียบร้อยกลับคืน


เสียงปืนในมือของอองโฌลราส์แผดลั่น ส่งเลอคาบุคไปพบกับชายที่ถูกเขาฆ่า ด้วยวิธีการเดียวกัน
“โยนมันออกไป” เขาสั่งหลังใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างนั้นให้นอนหงาย ก่อนคนจะโยนออกไปที่ถนนมองด์ตูร์



---------------------------------------------------------




(2)


“ประชาชนทั้งหลาย” อองโฌล์ราส์เอ่ย “สิ่งที่ชายผู้นั้นได้ทำ น่าตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
“และสิ่งที่ผมได้กระทำก็เลวร้าย เขาฆ่าคนก่อนที่ผมจะฆ่าเขา แต่ผมจำเป็นต้องทำ...”


กงบ์แฟร์รู้จักผู้นำของเหล่าสหายแห่งสมาคมอาเบสเซมานานพอที่จะรู้ว่า
คำพูดของอองโฌลราส์ที่ปราศรัยกับพวกเขาและทุกคนในปราการแห่งนี้ออกมาจากใจทั้งสิ้น
และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดขัดอยู่ในคอ และความรู้สึกนั้นก็ติดอยู่ในอก
ในคำว่าหน้าที่และความรับผิดชอบ ในดวงตาที่สบมองดวงตาทุกคู่ที่มองมายังตนเอง คือ ความเศร้า


“ผมทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แม้ว่าจะชิงชังมันอย่างยิ่ง” อองโฌลราส์กล่าวต่อ
“ผมได้พิพากษาตัวเองด้วยเช่นกัน และในวันหนึ่ง พี่น้องจะได้เห็นบทลงโทษที่ผมจะได้รับ”
เขาหยุดพักหายใจ ความเงียบเข้าครอบงำ ในขณะที่ผู้คนที่ได้ฟังล้วนสั่นไหว เพราะใจหาย
‘ผู้ชี้ทาง’ สบตา ‘ผู้นำทาง’ แวบหนึ่ง สูดลมหายใจลึก และตะโกนบอก “เราจะแบกรับชะตานั้นกับนาย”


วินาทีหนึ่ง แววตาของอองโฌลราส์วูบไหว ก่อนเอ่ยสนองรับคำมั่นนั้น และหันไปกล่าวกับฝูงชนอีกครั้ง
มือของฌอง ปรูแวต์ที่กุมมือของกงบ์แฟร์เอาไว้เงียบ ๆ บีบแน่นขึ้นแทนคำสนับสนุนอย่างจริงจังเช่นกัน
ในเวลานี้ เฌออองผู้อ่อนโยน เฝ้ามองสหายของตน พูดอะไรไม่ออกและพยายามบังคับตนเองไม่ให้สั่น


พวกเขาเห็นความศรัทธา ชื่นชม เคารพ และเกรงกลัวของ ‘ประชาชน’ ที่มีต่อ ‘ผู้นำ’ ของเขาอย่างแจ่มชัด
พวกเขามั่นใจได้ว่า จากนี้ ผู้คนที่เข้าร่วมกับพวกเขาจะรัก และพร้อมเผชิญเรื่องดีและร้ายด้วยกันจนสุดทาง




หลังจากทุกอย่างจบลง และสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ... ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ กงบ์แฟร์อดกังวลไม่ได้




------------------------------------------------------------





(3)


อองโฌลราส์เป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว แต่ผู้นำที่เด็ดเดี่ยวก็ยังคงเป็นมนุษย์
ในฐานะของมนุษย์ การสังหารมนุษย์อีกคนหนึ่ง หรือแค่เห็นคนตายต่อหน้า
ไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจกันได้ง่าย ๆ เว้นเสียแต่ว่า คนทำไร้หัวใจ หรือไร้ความรู้สึก
แต่กงบ์แฟร์รู้ว่า สหายแห่งคาเฟ่มูแซงของเขาคนนี้ ไม่ใช่บุคคลประเภทที่ว่านั้น


ถึงอองโฌลราส์จะปลีกตัวหลบไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งน้อยครั้งนักที่เขาจะทำอย่างนี้
และแม้กงบ์แฟร์จะรู้ว่า อีกฝ่ายต้องการที่จะอยู่ตามลำพังสักพัก เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้


ในขณะที่เดินตามไปห่าง ๆ นักเรียนแพทย์หนุ่มก็รู้สึกว่า มีใครคนหนึ่งติดตามเขามา
กลิ่นไวน์ที่คุ้นเคยบ่งบอกได้ทันทีว่า อีกฝ่ายเป็นใครโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องหันไปมอง
จากนั้น กรองแตร์ก็ขอทาง และเดินแซงเขาขึ้นไป ก่อนที่เขาจะทันออกปากทัดทานเอาไว้


อองโฌลราส์ดูเหมือนมองเห็นบุคคลที่คอยกวนใจตนเองแล้ว แต่น่าแปลกที่เขายังเฉย
ในขณะที่กรองแตร์เองก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ทรุดตัวลงนั่งเหนือกองกระสอบอีกมุมหนึ่ง
และเริ่มต้นดื่มไวน์จากขวดที่ถือติดมือมาด้วยต่ออย่างเงียบ ๆ และแสร้งทำเป็นไม่เห็นอีกฝ่าย
ที่ยืนมองเขาอยู่ ก่อนนั่งลงบนลังไม้ที่กองอยู่อย่างอ่อนล้า และจมหายไปในภวังค์ของตนเอง


ริมฝีปากของกงบ์แฟร์ค่อยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ กับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
เขาหันหลังกลับออกไปจากจุดที่ยืนอยู่อย่างระมัดระวัง.... เขารู้ว่า ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเขาก็ได้



เพราะรอยยิ้มที่จุดประกายขึ้นบนใบหน้าของอองโฌลราส์เมื่อครู่นั้นมีคำตอบให้เขาทั้งหมดแล้ว



======================== (END) =============================




ป.ล. 1 ตอนนี้มาจากตอน Le Cabuc อยู่ในเล่ม 4 ของ Les Misérables ฉบับของวิคตอร์ อูโก และเป็นตอนที่ไม่ได้อยู่ใน Musical นะคะ

ป.ล. 2 ชื่อตอนนี้ มาจากคำที่อูโกเปรียบเทียบอองว่าเหมือนกับรูปปั้นของเทพีธีมิสในปกรณัมกรีก (avait en ce moment je ne sais quoi de la Thémis antique) ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งธรรมชาติและความเป็นระเบียบเรียบร้อย (order) แต่คนมักจะคิดว่าเป็นเทพีแห่งความยุติธรรม เพราะศาลหรือทางนิติศาสตร์ใช้เป็นสัญลักษณ์ แต่เทพีแห่งความยุติธรรมตัวจริง คือ ไดคี (Dike) เป็นธิดาของธีมิสกับซูสอีกทีค่ะ

ป.ล. 3 อองโฌลราส์โหดมาก แต่เราเข้าใจนายนะ /ตบบ่า ><

Reply · Report Post