[OS] #dmbjdaily (Shadow) Paint it Black [AU]




[ผิงเสีย/เสียผิง อะไรไม่รู้แล้ว]

^ ถ้าอธิบายมันจะสปอยล์...


---


‘ณ เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่ออู๋เสีย ผู้สืบทอดรุ่นที่สามของตระกูลนักปั้นแห่งหังโจว อาจารย์อู๋ในวัยยี่สิบแปดเริ่มเดินทางในเส้นทางปั้นดินมาได้เพียงสองปี นับว่าเป็นช่วงเวลาสั้นมากๆ คำถามคืออะไรทำให้ชื่อของเขาก้าวขึ้นมาเป็นแถวหน้าๆของวงการนี้

หลังการเดินทางไปท่องเที่ยวแถบซานตง อาจารย์อู๋เอาชีวิตรอดจากการผจญภัยที่ไม่คาดคิดมาได้ พร้อมค้นพบแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งาน เขาเร่งเดินทางกลับบ้านเกิด จากนั้นก็เริ่มต้นขั้นตอนผสมดินปั้นด้วยตัวเองและรังสรรค์งานปั้นอันน่าทึ่งชิ้นแรกขึ้นมา


[แนบรูปถ่าย แจกันดินเผาสีขาวนวล วาดลวดลายสีแดงคล้ำเป็นรูปกิเลนย่ำผ่านทะเลเพลิง]


จะเรียกว่าแหกกฎสำนักก็ว่าได้ แต่ผลงานชิ้นแรกของทายาทคนเดียวกลับไม่ใช่เครื่องลายครามที่เป็นสายเด่นของสำนัก อาจารย์อู๋บอกกับเราว่าระหว่างเดินทาง เขาได้ค้นพบรงควัตถุพิเศษที่ให้สีแปลกตานี้ เมื่อนำมาผสมกับดินปั้นชั้นดีของช่างสกุลอู๋ ก็ให้สีสันอันน่าหลงใหล

ทว่าอาจารย์อู๋ยังไม่หยุดความท้าทายต่อเส้นทางสายนักปั้นไว้แค่นั้น หลังจากเปิดตัวอย่างครึกโครมด้วยผลงานชิ้นแรก อาจารย์อู๋ได้ตามรอยคำบอกเล่าของเพื่อนสมัยเด็ก ออกเดินทางไปยังสถานที่ลี้ลับแห่งหนึ่งในเนินเขาฉินหลิ่ง การเดินทางครั้งนั้นเกิดเหตุสะท้านขวัญเกินจะบอกเล่า อาจารย์อู๋รอดกลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอม พร้อมกับการค้นพบดินที่ให้สีสันพิเศษ


[แนบรูปถ่าย จานเคลือบสีขาวน้ำนม วาดเป็นลวดลายต้นไม้ประหลาดแตกกิ่งสาขาซับซ้อน]


จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไปสองปีอาจารย์อู๋ยังคงสร้างสรรค์งานปั้นอันน่าทึ่งออกมาเรื่อยๆ ทั้งยังไม่หยุดยั้งในการพัฒนาตัวเอง ศิลปินส่วนใหญ่ต้องอาศัยการปิดตัวตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่อลับพรสวรรค์ให้แหลมคม แต่อาจารย์อู๋กลับชมชอบในการออกเดินทาง หลงรักในการไขปริศนาที่ค้นพบระหว่างทาง ทำให้ไม่นานมานี้เกิดกระแสต่อต้านงานของเขาในกลุ่มนักปั้นหัวเก่าว่าเป็นขบถของวงการ แต่อาจารย์อู๋กลับยิ้มรับอย่างไม่ติดใจเอาความ เขากล่าวว่า


"ก่อนปู่ของผมจะสิ้น ท่านมักพูดเสมอว่างานศิลปะของผมมีบรรยากาศอันลี้ลับอย่างหนึ่ง เป็นจิตวิญญาณที่ค่อยๆก่อประสานจากการพบปะผู้คน จึงเปิดกว้าง เคลื่อนไหว ไม่ปิดกั้น ผมภูมิใจในผลงานของผมตอนนี้และไม่คิดจะเปลี่ยนแนวทาง"


และนี่ก็เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยส่วนหนึ่งสั้นๆเท่านั้น ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้อาจารย์อู๋มีกำหนดการจะออกหนังสือ "บันทึกการเดินทางของนักปั้นดิน" ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยและการค้นพบสิ่งแปลกใหม่ในเส้นทางเปื้อนดินของเขาตลอดสองปีที่ผ่านมานี้…’


...


ผมวางนิตยสารในมือลง ถึงจะบอกว่าเป็นช่างปั้นที่เปิดกว้างต่อผู้คน แต่นานๆครั้งเท่านั้นที่ผมจะออกไปให้สัมภาษณ์กับสื่อสักแขนงหนึ่ง คราวนี้หัวข้อเกี่ยวเนื่องกับบันทึกที่กำลังจะวางตลาดพอได้รับคำเชิญจึงตอบรับไปอย่างไม่ลังเล


รงควัตถุพิเศษงั้นเหรอ ดินชนิดพิเศษงั้นเหรอ


ขณะเดินลึกเข้าไปจนถึงประตูทางเข้าของห้องทำงานใต้ดิน ผมนึกทวนถึงบทความดังกล่าวแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ ถ้าเหล่าสาวกผู้คลั่งไคล้เครื่องปั้นได้รับรู้ความจริงว่า ส่วนผสมมหัศจรรย์ที่พวกนั้นพากันชื่นชมนักหนา แท้จริงแล้วคืออะไรล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะทำหน้าแบบไหนกัน


ปลดล็อกระบบนิรภัยที่เรียงรายอยู่ทั้งหมดเก้าชั้นออกได้ ก็ผลักบานประตูโลหะเข้าไปก่อนจะปิดกลับแล้วล็อกไว้อีกครั้ง ทางเดินแคบมืดที่ทอดยาว มีแสงจากโคมไฟติดผนังให้ความสว่างเป็นช่วงๆ หากเป็นคนปกติคงให้ขวัญผวากับสภาพเหมือนเดินลงสู่ก้นบึ้งนรกนี้ แต่กับผมที่ใช้ทางเดินสายนี้สัญจรเป็นปกติวิสัย ความมืดมิดที่มองเห็นอยู่นี่ เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่รอคอยอยู่ปลายทาง

สุดทางเดินมีห้องหินอยู่สามห้อง มีเพียงห้องตรงกลางที่แสงไฟสว่างอยู่ อีกสองห้องเห็นเป็นโพรงมืดๆ พอเดินเข้าไปใกล้เข้าก็แว่วเสียงปะทุของสะเก็ดไฟ


ไปอีกห้องคงกินเวลานาน แวะห้องนี้ก็ก่อนก็แล้วกัน

ผมเดินตรงไปยังห้องเป้าหมาย จงใจลงฝีเท้าเพื่อให้คนในนั้นรู้ตัว ไม่ได้ลงมาห้องนี้หลายวัน หวังเหมิงลูกศิษย์คนเดียวของผม วันนี้จะยังขยันเฝ้าเตาอยู่มั้ยนะ


ละห้องในสุดเอาไว้ก่อน ห้องตรงกลางเป็นห้องทำงานหลังของผม ถัดไปอีกห้องเป็นโกดังเก็บวัตถุดิบ เดิมทีเป็นผมที่ดูแลในส่วนเหล่านี้ทั้งหมด แต่ตั้งแต่ได้ตัวหวังเหมิงมา อะไรๆก็ง่ายดายขึ้นมาก นอกจากเตรียมส่วนผสมและปั้นดินให้ขึ้นรูปแล้ว ขั้นตอนการนำเข้าเตาเผาล้วนปล่อยให้ศิษย์คนนี้จัดการ กว่าจะได้ลงมือเองอีกครั้งก็ขั้นตอนวาดลายและเคลือบน้ำยา

“อะ..เจ้านาย” พอได้ยินเสียงฝีเท้าผม หวังเหมิงที่กำลังเติมฟืนชุดใหม่เพื่อปรับระดับไฟให้สม่ำเสมอก็พลันกระเด้งตัวขึ้นจากหน้าเตา ยังขี้ตกใจไม่เปลี่ยน

“บอกให้เรียกอาจารย์ไง!” ผมตวาดเสียงแข็ง ถึงจะเป็นศิษย์คนเดียว แต่ใช่ว่าผมจะลดความเข้มงวดลงหรอกนะ

"ตะ...แต่..แต่..เจ้า..นาย ผมไม่คู่ควร" หวังเหมิงกลืนน้ำลายดังอึก เอ่ยพลางถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว เสียงตรวนเหล็กดังกระทบกันตามการเคลื่อนไหว ก้องสะท้อนในความเงียบงัน เจ้าเด็กตรงหน้ามองสิ่งที่พันธการตนไว้ก็ตัวสั่น

"ครับ..อาจารย์"

"อืม.." ผมเหยียดสายตามอง หวังเหมิงเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้น ยังต้องฝึกอีกมาก "เย็นมากแล้ว อย่าลืมให้อาหารเสี่ยวฮัวกับเสี่ยวเฮยด้วย"


ผมกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังเดินออกไปยังห้องหินที่อยู่ลึกเข้าไปด้านซ้ายสุด


โคมผนังถูกจุดสว่างขึ้นด้วยระบบจับความเคลื่อนไหว เป็นเทคโนโลยีศิวิไลซ์ขัดกับสภาพอันมืดอับของห้องใต้ดินแห่งนี้นัก
เพราะรู้ว่ากลไกกับดักอะไรก็ไม่อาจขวางกั้นใครบางคนได้ ผมจริงสรรหาวิธีใหม่ ซึ่งภายหลังกลายเป็นความบันเทิงประจำวัน


"ว่าไง เสี่ยวเกอ.."

ผมยิ้ม มองเจ้าของร่างที่ถูกแขวนห้อยอยู่กับขื่อคาด้านหน้า แสงไฟสลัวรางสาดต้องร่างขาวซีดที่แทบจะเปล่าเปลือย ของเหลวสีแดงหลั่งรดจากบาดแผลลงสู่ภาชนะรองรับ


จางฉี่หลิง เมินโหยวผิง เสี่ยวเกอ คนๆเดียวกันนี้นี่แหละคือแรงบันดาลใจที่ผมได้ค้นพบหลังประสบเหตุเฉียดตายที่ซานตง เขาช่วยชีวิตผมไว้จนบาดเจ็บสาหัส โลหิตสีชาดที่ไหลอาบบนท่อนแขนขาว ดึงความคิดและสำนึกถูกผิดทั้งหมดไปจากผม

หลังกลับออกมา ผมใช้เส้นสายพาเขามารักษาตัวที่บ้านพักในหังโจว อาศัยความใกล้ชิดค่อยๆเปิดใจคนๆนี้

เพื่อที่จะหักหลังในตอนท้าย...


เส้นลวดแบบพิเศษ บาดรัดลงไปในผิวเนื้อ บีบเค้นให้หยาดโลหิตคาวหลั่งไหลลงมาไม่หยุด ผมสูดกลิ่นสนิมเหล็กที่อาบอวลอยู่ทั่วห้อง อา..รู้สึกปลอดโปร่งดีจัง

"ไหน ดูซิ วันนี้นายคิดหนีไปกี่ครั้ง" ผมขยับเข้าไปใกล้ หยิบไฟฉายมือถือส่องกวาดดูตามแขนขาที่ถูกรัดด้วยเส้นลวด

กับดักอันนี้อาศัยการคำนวณมาแล้วเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่เหยื่อบนลวดรังแมงมุมขยับตัว แม้เบาเพียงใด ก็จะเกิดการหดรัดของเอ็นลวดเข้าทุกทิศทุกทาง หลายแรงรวมกันกลายเป็นทั้งโซ่ตรวนพันธนาการและอาวุธลงทัณฑ์ ยิ่งหนียิ่งถูกบาดรัด มีแต่ต้องอยู่นิ่งๆเท่านั้น


อ้อ..ถ้าจะคิดแลกชีวิตหรือยอมพิการก็พอมีทางหลุดพ้นได้เหมือนกัน แต่หมอนั่นไม่ทำหรอก


"อู๋เสีย.." ท่าทางวันนี้จะเสียเลือดจนเบลอ น้ำเสียงเลยไม่กระด้างเท่าที่เคย "นายหยุดเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย"

"ไม่เอาน่า นายอยากให้ฉันหยุดจริงๆเหรอ นายยอมได้เหรอ..ถ้าฉันจะใช้เลือดคนอื่นวาดลงบนผลงาน" ผมปรับระดับเอ็นลวด ดึงให้ร่างจางฉี่หลิงเลื่อนต่ำลงมา


"เสี่ยวเกอ เพราะมีนายฉันถึงยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นฉันหมดหวังกับงานปั้นแล้ว คิดไปซานตงก็เพื่อจะหลบไปฆ่าตัวเองในที่ๆไม่มีใครรู้ แต่..ฉันก็ได้พบนาย" ผมรั้งร่างที่อ่อนยวบไร้แรงต้านลงซบกับไหล่

"ฉันออกเดินทางอีกกี่ครั้งๆ ก็ไม่เจอวัตถุดิบใหม่ที่จะให้สีแดงชาดแทนกันได้เลย เลือดของนายเป็นความหวังสุดท้ายแล้ว ทำร้ายนายฉันก็เจ็บปวดยิ่งกว่า แต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว"


ร่างที่กอดอยู่อุ่นวาบขึ้น ไม่ใช่เพราะอุณหภูมิ แต่เป็นเพราะแรงต่อต้านที่ส่งสะเทือนถึงกันจนสร้างบาดแผลใหม่ทั่วตัว


ผมถอนหายใจ ปล่อยมือจากคนรักที่เลือดไหลโซมกาย มองร่างที่หล่นห้อยอย่างไร้เรี่ยวแรงบนเอ็นลวดที่ขึงซ้อนไว้ เส้นสายพาดเกี่ยวปัดป่าย แทบมองหาจุดเริ่มและจุดจบไม่เจอ


...


"อู๋เสีย..นายหยุดเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย"

ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมาเยือนตนที่ห้องจองจำ จางฉี่หลิงจะเอ่ยด้วยประโยคเดิมซ้ำๆ


เขาถูกหักหลัง ถูกทำร้าย ถูกกรีดให้ใจเป็นแผลแล้วกรีดทับลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า จากคนแรกที่รู้สึกรัก จากคนแรกที่ทำให้คนที่ไม่มีอดีตและอนาคตอย่างตนเปิดใจ


แต่ทุกครั้งที่หวนคิดถึงวันแรกที่พบกัน นึกถึงอู๋เสียที่สว่างไสวคนนั้น ชายหนุ่มก็ยอมให้อภัย ยอมยกโทษให้ทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งหลอกตัวเอง

สักวันอู๋เสียคนนั้นจะกลับมา..


จางฉี่หลิงยิ้มให้กับภาพเงาในความทรงจำ ใช้มันหล่อเลี้ยงไม่ให้ความนึกคิดแหลกสลาย

ขณะรอให้การลงทัณฑ์ครั้งใหม่มาถึง...



---
END
---


ความตั้งใจตอนแรกไม่ใช่แบบนี้ Orz

อยากเขียนอะไรเกี่ยวกับความมืดในใจ
แต่มันก็ออกมาอืม..อืม..ช่างเถอะ ยังไงก็มีเสี่ยวเกอถูกจับขึงเหมือนกัน--แค่ก


76 days left

กาต่ายไม่มีเวลาแล้ว!!




Reply · Report Post