-Chapter 8 King of Killer-




“นายเคยเจอพวกเขามาก่อน นายคิดว่าพวกเขาเป็นไง” บ๊อบถามพลางช่วยผมเก็บจานและกวาดเศษอาหารใส่ถุงขยะ


“จินฮวานก็เป็นเอฟบีไอที่ดีนะ ส่วนใหญ่เขาก็จะจับอาชญากรได้เองยกเว้นแต่คดีที่ยากจริงๆ อืม.. เขาก็ไม่โง่นะ สัญชาตญาณความเป็นเอฟบีไอของเขาก็พอใช้ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ดีพอที่จะรู้เรื่องของเราหรอก ส่วนจุนฮเว ฉันเจอเขาครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ฉันว่า เขาค่อนค่อนข้างจริงจังกับงานแต่บางทีก็อ่านยากแล้วก็มีมุมที่ลึกๆอยู่เหมือนกัน ” ผมบอกบ๊อบบี้ตามที่ผมรู้สึก


“สัญชาตญาณฉันมันบอกอะไรฉันบางอย่างเกี่ยวกับกู จุนฮเว”


“ฉันก็รู้สึก สายตาของเขาน่ะ มีสิ่งที่คล้ายพวกเรานะบ๊อบ”


“ฉันเจอเขาครั้งแรกฉันก็รู้สึกได้ว่าคนนี้ ’ไม่ธรรมดา’ เพียงแต่ว่าเขาจะเลือกเก็บงำความลุ่มลึกเอาไว้และไม่แสดงออกให้ใครเห็น” บ๊อบบี้พูดถูก


“อ่าใช่ ฉันยังสงสัยอยู่ว่าคดีที่ฉันช่วยคราวนั้น ลำพังตัวเขาก็น่าจะช่วยจินฮวานได้ดีเชียวแหละ แต่เขาก็ไม่ทำ แถมยังทำเฉยไม่รู้เบาะแสซะงั้น ฉันเคยเจอเขาช่วงเวลาสั้นๆ ฉันรู้ว่าเขาน่ะ น่าจะมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ที่จริงจุนฮเวควรจะเผยสัญชาตญาณของตัวเองออกมาเต็มที่นะ เก็บเอาไว้มีคงจะอึดอัดแย่” ผมบอก ก่อนที่บ๊อบบี้จะโครงศีรษะเป็นคำตอบว่าเขาเห็นด้วย




ผมนึกถึงสายตาของ กู จุนฮเว ที่สะดุดใจผมตั้งแต่แรกพบ ในดวงตาของเขามีแววประหลาดซ่อนอยู่ เวลาที่ผมมองเขาผมเหมือนได้มองกับกระจก .. แต่ทว่าเขากลับเก็บกดสิ่งที่เร้นอยู่ภายในราวกับพยายามจะสยบตัวตนของเขาให้ได้

ทีแรกผมก็สงสัยเรื่องสัญชาตญาณของจุนฮเวกับจินฮวานอาจบกพร่อง เพราะเขาไม่เคยสงสัยหรือรับรู้อะไรในตัวผมเลย แต่ถ้าคิดให้ดีอีกครั้ง..
จริงๆแล้วนั้น จินฮวานน่ะมีสัญชาตญาณที่อ่อนกว่ามาตรฐานของเอฟบีไอ แต่ไม่ถึงกับมากจนทำอะไรไม่ได้ ส่วนคู่หูของเขาเสแสร้งแกล้งทำว่าสัญชาตญาณของเขาอ่อนพอๆกับจินฮวาน ทำเหมือนกับว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไร นั่นล่ะ ผมจึงจับส่วนลึกๆนั้นของจุนฮเวได้แต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ

นี่ถ้าไม่มานั่งนึกให้ดี ให้ถี่ถ้วนแล้ว ผมคงพลาดจุดสำคัญไปแน่ๆ ให้ตายสิ จุนฮเวช่างเป็นบุคคลที่ร้ายกาจเสียจริง เพราะที่ผ่านมาเขาจงใจละเลยตัวตนของผมตั้งแต่พบหน้าครั้งแรกทั้งที่เขาก็ดูผมออก
ถ้าให้อ่านพฤติกรรมของเขาแล้ว เขาทำให้ผมคิดได้อย่างเดียวว่า..เขาคงผันตัวกลายเป็นบางอย่างที่ล้ำเส้นความเป็นเอฟบีไอเป็นที่เรียบร้อย.. เขาไม่ได้คอยจัดการกับอาชญากรต่อเนื่อง เขาไม่ใช่พวกนักล่าปีศาจเพื่อทวงแค้นให้กับเป้าหมาย หากแต่เขาจะล่าอย่างที่พวกผมนิยมล่า.. เขา’ล่า’เป้าหมายอย่างเดียวกับผม 

ผมหวนนึกถึงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวหนึ่งที่ผมกับบ๊อบบี้ให้ความสนใจ สมองของผมประมวลผลอย่างรวดเร็วด้วยการเชื่อมโยงเนื้อข่าวกับตัวบุคคลผู้เป็นอาชญากร




ปิ๊งป่อง!



ต้องเป็นข่าวนั้นแน่ๆ ข่าวการก่ออาชญากรรมโหดที่นานๆหนผมถึงจะหาอ่านได้
ฉายาที่ใครๆก็กล่าวขาน



‘The KSH’ ฉายาที่ย่อมาจาก The King Sadistic Hunter



เขาทำงานโดยไม่เคยทิ้งร่องรอยการปรากฏตัว ไม่เคยเก็บของที่ระลึกจากเป้าหมาย และเขาล่าแต่มนุษย์เพศชาย
และเป้าหมายที่เขาล่าก็ต้องมีประวัติชอบทารุณทางเพศต่อเด็กชาย อาจเป็นผลสืบเนื่องจากอดีตที่ฝังใจบางประการ อาจจะเป็นเพราะว่าวัยเด็กถูกทารุณกรรมทางเพศในวัยเยาว์


แต่การที่เขาไม่เก็บอะไรเป็นที่ระลึก ใช่ว่าเขาจะจากไปเสียเฉยๆ อย่างอาชญากรที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น The King Sadistic Hunter เขาก็มีสัญลักษณ์เฉพาะตัว


เขาทิ้งสัญลักษณ์ของเขาด้วยการ ถลกหนังใบหน้าของศพ และนำดวงตาติดไปด้วยก่อนจะตอกติดกับผนังด้วยตะปูในลักษณะที่หนังหน้าต้องมีดวงตาติดอยู่ด้วยเสมอ
อวัยวะเพศทั้งพวกถูกนำไปยัดใส่ปากและอยู่ในท่านอนแผ่บนพื้นหรือเตียง

ก่อนจะกลายเป็นซากศพ...

เป้าหมายจะถูกสังหาร ด้วยการตัดแขนช่วงต่ำกว่าข้อศอกและขาช่วงต่ำกว่าหัวเข่าทิ้งไป
ทวารหนักจะถูกกระหน่ำแทงด้วยวัตถุปลายแหลม

ผมสามารถรับรู้ถึงข้อความระบายอารมณ์อันเกิดจากแผลในใจของเขา ผ่านกรรมวิธีของเขาที่กระทำกับเป้าหมาย การที่เขาต้องนำหนังใบหน้าติดกับดวงตาไปตอกผนังและเฝ้ามองซากของเป้าหมายเอง มันหมายถึง ‘ดูตัวแกสิ แกเห็นไหม แกมันก็แค่สวะที่บ้าแต่เรื่องต่ำตม เป็นสวะที่สุดแสนจะทุเรศ น่ารังเกียจ ช่างน่าสมเพศและน่าขยะแขยงสิ้นดี’ อาชญากรทุกคนล้วนบอกระบายแผลในใจจากการกระทำที่ทำกับเป้าหมายทั้งสิ้น


พฤติการณ์สังหาร.. เป้าหมายทุกคนต้องทนทุกข์สาหัสจากการที่ถูกของแหลมคอมแทงซ้ำๆที่ทวารหนัก คงแทบอยากตาย แต่ก็ตายไม่ได้
เป้าถูกตัดแขนตัดขา ดิ้นทุรนทุรายร่างกายเสียเลือดจนตายไปในที่สุด นั่นจึงทำให้สถานที่เกิดเหตุค่อนข้างเลอะเทอะเปรอะเปื้อนด้วยสีแดงฉานของเลือด

The KSH ไม่คำนึงเรื่องความสกปรกบนพื้นนั่นหรอก ความคิดที่จะทำสะอาดก็ไม่เคยอยู่ในหัวของเขาแม้แต่น้อย เขาเจตนาปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ทว่ารอยพื้นรองเท้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานตรวจพบก็ไม่เคยซ้ำแบบสักครั้ง เป็นที่รู้แน่นอนว่าเขาใช้แล้วทิ้งเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

การสืบเสาะของโปรไฟล์เลอร์หรือเอฟบีไอยากยิ่งเข้าไปอีก เพราะผู้กระทำความผิดนั้น เป็นคนเดียวกับผู้รักษากฎหมาย

คู่หูของญาติผมคือ ‘The KSH’

ชะตาของจินฮวานจะเป็นเช่นไร ผมไม่ได้คิดเป็นห่วงอะไรหรอก ก็แค่ขนผองสยองเกล้าแทนเขา ให้ใครอยู่ใกล้ตัวไม่ว่า กลับปล่อยให้อาชญากรอยู่ใกล้ตัว จินฮวานนี่เป็นเอฟบีไอประเภทไหนวะเนี่ย ช่างไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังแขวนชีวิตไว้กับคู่หูที่เป็นอาชญากร
สุดท้ายแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผมก็ไม่สามารถคาดการณ์แทนได้


“แล้วนายคิดว่าไง” ผมย้อนถามบ๊อบ และถ้าตาไม่ฝาดผมก็มั่นใจว่าเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา

“ฉันจัดระดับให้ญาติของนายอยู่แค่ปานกลาง ถ้าเป็นเป็นคนคิดละเอียด สุขุม จับภาษากาย สีหน้าท่าทาง และมองทุกมุมโดยใช้สัญชาตญาณมากกว่านี้เขาจะเป็นเอฟบีไอที่เก่งขึ้นมาก แต่กู จุนฮเว อย่างที่ฉันบอก หมอนั่นไม่ธรรมดา”

ผมพยักหน้า มือสาละวนกับการล้างจานและให้บ๊อบช่วยเรียงใส่ตะแกรงเหล็ก

“จุนฮเวน่ะตรงกันข้ากับญาติของนายเลยด้วยซ้ำ คนอย่างเขามีความสามารถในการเป็นอาชญากรที่ร้ายแรงกว่าฉัน ฉันว่าเขาทำบางเรื่องที่ก้าวข้ามความเป็นเอฟบีไอไปแล้ว และฉันมั่นใจว่าฉันเคยเห็นผลงานของหมอนั่นเมื่อไม่กี่ปีมานี้”
ผมยิ้มกว้างแต่ก็อดฉงนกับการยอมรับความด้อยกว่าของบ๊อบที่มีแต่จุนฮเวไม่ได้

“โอ้โหนายเก่งแฮะ มองคนสองคนแค่ปราดเดียวก็รู้หมดเลย” ผมบอกอย่างชื่นชม แต่อาจจะโอเวอร์แอคติ้งเกินไปหน่อย

“ไม่ต้องมายอ นายแหละที่เกือบมองข้ามอะไรไป” เขาทำเสียงดุขึ้นมาทันที

“ขอโทษน่า ครั้งหน้าจะไม่ไว้ใจอะไรง่ายๆแล้ว” ผมบอกก่อนจะยู่หน้านิดหน่อย ก็คนมันไม่รู้นี่หว่า แต่ก็คิดได้แล้วไหมล่ะ

“นายคิดจะให้อะไรกับพวกเขา” เขาถามต่อถึงข้อมูลที่จินฮวานจะให้ผมช่วยวันนี้

“ข้อมูลลวงอ่ะ ตอนเย็นพวกเขาจะมาเอาข้อมูลที่ฉันสร้างขึ้น” ผมบอกอย่างอารมณ์ดี

“ฉันว่าญาตินายคงจะรับมันไปด้วยความดีใจนะ แต่คนที่อาจจะเป็นปัญหาคือจุน ฮเวนะฮันบิน นายคิดว่าข้อมูลของนายจะผ่านเขาได้หรอ? ”

“หรือนายจะให้ฉันบอกเขาว่า ‘จุนฮเวนายรู้ใช่ไหมว่าฉันกับบ๊อบบี้เป็นอาชญากรต่อเนื่อง นายรู้แต่นายทำเป็นไม่สนใจ มันหมายความว่าอะไรรู้ไหม มันหมายความว่านายเป็น The KSHไงล่ะ’นายจะให้ฉันพูดแบบนั้นกับเขาหรือไงบ๊อบบี้” ผมพูดพร้อมท่าทางน่าหมั่นไส้ก่อนจะล้างมือและเช็ดลงบนผ้าเช็ดมือ

“สรุปว่าเป็นเขาใช่ไหม The KSH” บ๊อบเอ่ยก่อนยื่นแขนสองข้างให้น้ำไหลผ่านเช่นกัน

ผมเปิดรอยยิ้มกว้างพร้อมกับส่งผ้าเช็ดมือให้เขาต่อ

“เขาไม่สนหรอกว่าข้อมูลที่ฉันให้มันจะผ่านหรือไม่ผ่าน จะจับตัวคนร้ายได้จริงๆหรือเปล่า เขาไม่สนแน่ๆ เขาก็แค่ทำเป็นสนตามหน้าที่ทางอาชีพของเขาเท่านั้นแหละ”

“ญาตินายอยู่กับบุคคลอันตราย แต่ที่แย่คือข้อมูลที่นายสร้างขึ้นมามันจะทำปัญหาแล้วย้อนกลับมาหานายอีก” บ๊อบบี้บอกก่อนจะจ้องมายังหน้าของผม

“ถ้าเกิดเรื่องอย่างที่นายว่า เราก็น่าจะยืมมือของจุนฮเวจัดการจินฮวาน” ผมบอกอย่างไร้อารมณ์

“นายคิดว่าคนอย่างเขาจะยอมให้ใครใช้เป็นเครื่องมือเชียวหรอ และถ้าเขาจะทำ เขาก็น่าจะลงมือตั้งนานแล้ว เขาจะรอทำไมจนป่านนี้”

“ก็ลองเจรจากับเขาดู” ผมเสนอความคิด

“แต่ยังไง ผลสัพธ์มันก็ไม่แน่นอนนี่ใช่ไหม”

“ก็ต้องลองดู” ผมยังดื้อดึงไม่เชื่อบ๊อบบี้

“ฉันไม่เห็นจะอยากยุ่งกับเขา เป็นคนเดียวในโลกเลยล่ะที่ฉันไม่ขอข้องเกี่ยว” ผมเพียงมองหน้าบ๊อบบี้ เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความผมก็เข้าใจ



กู จุนฮเวเป็นพวกที่เป็นอย่างผมก็จริง ทว่าเขาเป็นอะไรที่ค่อนข้างหน้ากลัวและชวนให้สะพรึงแม้จะเป็นปีศาจด้วยกันเอง ผมกับบ๊อบบี้หรือแม้พวกที่เป็นอย่างผมอีกมากมาย ที่พบเจอเขาครั้งหรือสองครั้งก็ต้องทำเป็นใจแข็งเหมือนไม่หวาดผวาเขาให้ได้เห็น มันฝืนตัวเองสุดๆไปเลยเวลาได้พบเจอเขา เขาเป็นปีศาจที่เหนือปีศาจ เหมือนพญาปีศาจที่ทุกคนหวั่นเกรง

คุณอาจจะแปลกใจที่พวกที่เป็นอย่างผมรู้จักการเคารพผู้ที่เหนือกว่า มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะยอมรับความจริงในฝีมือของผู้อื่น ผู้ที่มีฝีมือเป็นเลิศและอำมหิตกว่า

“ฉันก็อยากจะเลี่ยงเขา แต่ก็นะ ฉันต้องเจรจาอยู่ดี” ผมบอกตามความเป็นจริง

“ฉันจะภาวนาให้เขาฟังเราละกัน” ถ้อยคำคล้ายชวนหัวเราะ แต่ไร้อารมณ์ขันสิ้นเชิง











จินฮวานกับคู่หูใช้เวลาพูดคุยกับชุดคดีสืบสวนคดีที่พยายามล่าตัว Nudists กับ From Hell ด้วยการร่วมมือกันเป็นทีมงานชุดใหญ่ตั้งแต่ช่วงเช้าจรดกลางวัน พวกเขาก็ยังคงอยู่ที่สำนักงานเอฟบีไอเพื่อสอบถามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านคดีที่รับผิดชอบ ซึ่งไม่อาจรู้ผู้ที่กระทำความผิดได้เสียที โดยที่จินฮวานกับจุนฮเวยังไม่รู้ว่ากำลังมีใครบางคนจับตามองอยู่อีกอาคารหนึ่ง

มินโฮยังคงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในร้านกาแฟด้านตรงข้ามกับตึกใหญ่ที่เขียนระบุชัดว่าเป็นที่ทำงานของบรรดาเข้าหน้าที่เอฟบีไอ
เขาเลือกหันด้านข้างให้และใช้การเหลือมองเป็นระยะๆ กาแฟบนโต๊ะพร่องไปครึ่งแก้วแล้ว เขากวาดตาดูลูกค้าสี่คนอย่างสังเกต สองคนเป็นวัยรุ่นอีกคนสวมสูทที่ชี้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในตึกใหญ่นั่น และเขากำลังจับตามองญาติของฮันบินและคู่หูของเขา
เขาก้มอ่านข่าวสารในมือต่อ สมองก็พิจารณาถึงคนที่เขากำลังสะกดรอยตามด้วยความระมัดระวัง เขารู้สึกได้ถึงกระแสอะไรบางอย่าง

เอฟบีไอคนหนึ่งไม่เก่งนักในสายตาเขา หน้าตาหวานๆ ตัวเล็กๆนั่นก็ไม่เหมาะกับงานด้านนี้เอาเสียเลย และดูท่าว่าหมอนั่นจะเป็นญาติของฮันบินเพราะเค้าโครงหน้านั่นมีส่วนคล้ายฮันบินอยู่หน่อย
แต่คนอีกหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกัน ผู้ชายผมเข้ม ตาคม ใบหน้าชัดเจน หน้านิ่ง สุขุม เยือกเย็น
เหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงเร้นอยู่ในตัว เขาเก็บซ่อนสิ่งที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปเกือบมิดชิด เป็นการแสดงออกที่ยากต่อการแยกแยะ ระหว่างมนุษย์ทั่วไปกับบางสิ่งที่เป็นเหมือนเขา
คนคนนั้นตั้งใจทำตัวให้กลมกลืนและทำได้ดีเสียด้วย แต่อะไรก็ตามที่เจ้าตัวเก็บมันเอาไว้มันกลับส่งเสียงกระซิบราวอยากให้เขาได้จับเสียงเย็นเยือกนั่นได้

ช่างเป็นเจ้าหน้าที่ที่ร้ายกาจ ปีศาจที่แฝงกายเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างเยี่ยมยอด
ว่าแต่เจ้านี่ต้องการจับเขาจริงหรือ

“ขอโทษนะครับ ผมอยากเข้าห้องน้ำ” เขาสิ่งยิ้มละลายใจให้พนักงานสาว
หล่อนยิ้มอย่างขวยเขินก่อนจะบอกทาง เขาเดินหายไปหลังร้านพลางหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าออกมาก


ตื๊ดดดด......

ตื๊ดดดด......


“โอ้ะ ไม่นึกว่าจะเป็นนายนะบ๊อบบี้ นายคงไม่ถือนะถ้าฉันเรียกนายชื่อนี้ แต่ฮันบินไปไหนล่ะ ฉันอยากคุยด้วย อยากได้ยินเสียง” เขาใช้เสียงกวนๆและ ยิ้มให้กับปลายสายอย่างขำขัน

“คุยกับฉันก็ได้” ปลายสายบอกอย่างใจเย็น

“ฉันอยากคุยกับคู่สวาทในอนาคต”

“ชีวิตของนายมันหมดอนาคตไปตั้งแต่หาเรื่องใส่ตัวแล้ว” ปลายสายหัวเราะอย่างรื่นรมย์

“หึ ควบคุมอารมณ์เก่งนี่บ๊อบบี้ หวังว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ทุกสถานการณ์นะ” เขาบอกอย่างมีนัย

“หมายความว่าไง”

“ฉันตามญาติฮันบินกับคู่หูมาถึงสำนักงานฯ นายคิดว่าไง”

“พวกเขาพูดเรื่องคดี?” น้ำเสียงยังคงราบเรียบ

“อ่าห้ะ ใช่ พวกเขากำลังประชุมเกี่ยวกับคดี”

“แล้วบอกพวกฉันทำไม”

“ฉันตั้งใจจะบอกฮันบินต่างหากแต่ไหนๆนายเป็นคนรับสายฉันเลยอยากสงเคราะห์ข่าวสารเล็กๆน้อยๆ”

“ฉันต้องขอบใจนายหรือเปล่า”

“ไม่จำเป็น”

“ฉันก็ไม่ซาบซึ้งนักหรอก” ปลายสายบอกย่างไม่ยี่หระ

“งั้นก็เอาตัวเองให้รอดและอย่าลืมปกป้องคนของนายให้ดี อย่าให้ฉันชิงเขาไปจากนาย”

“หึ งั้นตาฉันจะสงเคราะห์นายบ้าง”

“เรื่องอะไรล่ะพวก ว่ามาสิ” เขายังคงพูดอย่างอารมณ์ดี

“คู่หูของญาติฮันบิน หมอนั่นอันตรายกว่าหน้าที่ที่หมอนั่นรับผิดชอบซะอีก”

“อ่า ฉันพอรู้”

“เขาคือ The KSH” คนฟังเงียบเสียงอย่างนิ่งอึ้ง

“เขาน่ะหรอ” น้ำเสียงดูตื่นตระหนกเล็กน้อย

“นายคิดจะทำอะไรบ้างไหมล่ะ” ปลายสายน้ำเสียงอารมณ์ดีขึ้นอีกครั้ง

“จริงฉันก็อยากจะเรียนรู้การทำงานและฝีมือของเขานะ แต่ฉันไม่โง่พอที่จะเสี่ยงกับปีศาจที่เหนือกว่าหรอก ไม่คุ้มกับสิ่งที่ฉันต้องการ”

“อืม ฮันบินจัดการทำคุณลักษณะสามัญเบี่ยงเบนให้นายแล้ว”

“น่ารักจริงๆ” มินโฮกรอกเสียงยั่วยุปลายสาย

“ไม่ยักรู้ว่านายเป็นประเภทหลงตัวเอง” มินโฮเลิกคิ้วสูง ก่อนที่ปลายสายจะตัดจบและตัดสายไปทันที

ที่เขาบอกน่ะบอกฮันบินเว้ยที่น่ารัก! ไม่ได้ชมตัวเอง








จินฮวานไม่รับรู้ตัวตนอาชญากรที่สวนผ่านไปเมื่อครู่ แตกต่างจากจุนฮเวที่สามารถรู้ได้ทันที หนำซ้ำยังรู้ว่าเป็นอาชญากรต่อเนื่องที่คู่หูเขาต้องการตัว1ใน10อันดับต้นๆซะด้วยซ้ำ

ชื่อของจุนฮเวอยู่อันดับท้ายๆเพราะผลงานที่ไม่มากพอจะแข่งกับพวกนั้น เขาเพิ่งเริ่มลงมือเมื่อไม่นานและปลดปล่อยตัวตนที่เกินสะกดให้อยู่อย่างเงียบสงบช้ากว่าอาชญากรรายอื่นๆ แต่การที่ติดในรายชื่อ1ใน10 มันไม่ได้หมายความว่าฝีมือเขาอ่อนด้อยกว่าคนอื่นแต่อย่างใด

เขาไม่ได้รู้แค่คนที่เดินผ่านเขาไปเป็นอาชญากรเท่านั้น แต่เขายังรู้ว่าญาติของจินฮวานกับคนที่อยู่ด้วยก็เป็นอาชญากรเช่นกัน

สองคนนั้นเป็นอะไร ประเภทไหน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับอะไร มันง่ายสำหรับเขาที่จะมองออกเพราะสิ่งที่อยู่ข้างในเขานั้น มันย่อมจะมองผู้ที่เป็นอย่างเดียวกันออก

ด้วยหน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องกับสายอาชญากรรมช่วยนั้นช่วยให้การเก็บร่องรอยของเขาละเอียดถี่ถ้วน ไม่มีการพลาดพลั้ง เขามั่นใจว่าเขาจะรอดตัวไปได้อีกนาน การเป็นคนวงในมันยังส่งผลให้เขาสะดวกต่อการเลียบเคียงข้อมูลความคืบหน้าของคดีหรือการสอบสวน จุนฮเวได้รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคดีที่เขาเป็นผู้ก่อ ตราบเท่าที่ไม่มีใครรู้ เขาก็ลอยนวลและทำงานอดิเรกต่อได้อย่างสบาย

เขาตระหนักดีว่าไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองได้เพราะยิ่งลงมือก็เหมือนจะยิ่งเสพติด มันเหมือนยาที่ออกฤทธิ์ส่งผลต่อความสนุกสนานและให้ความสุขที่สุดแสนวิเศษ

ถ้าพยายามเลิกก็จะเกิดอาการเหมือนคนขาดยาเป็นความทรมานที่ทุรนทุรายอย่างมาก เขายอมรับว่าเสพติดการฆ่า เพราะมันช่างดึงดูด เย้ายวนใจของเขายิ่งนัก เขาคิดว่าคงจะมีแค่ความตายเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เขาเลิกกระทำสิ่งที่เลวร้ายได้

หากถามว่าเหตุใดของจึงทำเช่นนี้ คำตอบคือ.. ประสบการณ์วัยเยาว์ที่ฝังแน่นและสร้างบาดแผลในใจอย่างมาก ซึ่งทั้งหมดมันหล่อหลอมให้เกิดปีศาจอย่างเขา ปีศาจที่เหนือปีศาจ












6.47 P.M.


ถึงเวลาที่ผมต้องพูดกับคู่หูของจินฮวานเสียทีและการที่มินโฮอุตส่าห์บอกข่าวก็นับว่าเป็นการแสดงน้ำใจในฐานะผู้ที่เป็นพวกเดียวกัน แต่ผมไม่ได้ตื้นตันใจหรือซาบซึ้งความหวังดีของเขาหรอก
วันนี้บ๊อบบี้มีเรียนตอนค่ำเขาออกไปได้สักพักแล้ว
ผมตัดสินใจใช้โทรศัพท์สาพารณะเพื่อความปลอดภัยหวาดระแวงเกินเหตุหรือก็อาจจะ แต่ก็กันไว้ก่อนดีกว่ามานั่งแก้ไขปัญหาที่อาจจะตามมา การโทรศัพท์หาคนที่เป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอและโดยเฉพาะที่เขาเป็นอะไรที่เหมือนผม ผมจึงต้องทำทุกอย่างอย่างระมัดระวัง

ตื๊ดดดดดด....

ตื๊ดดดดดด....


“ฉัน.. ฮันบิน นายอย่างเพิ่งบอกอะไรจินฮวานล่ะ ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย ฉันไม่อยากให้จินฮวานรู้” ผมรีบบอกอย่างแฝงนัย และคิดว่าเขาต้องเข้าใจ

“ได้”

ผมได้ยินเสียงจุนฮเวบอกขอตัว เขาอ้างว่าแฟนเก่าโทรหาและอยากคุยเป็นการส่วนตัว
แฟนเก่า.... คิดได้ง่ายๆเลยเนอะ เขาปล่อยให้ผมถือสายรอเพียงครู่เดียว

“นายจะพูดอะไร” เขาถามเสียงราบเรียบ

“ฉันกับบ๊อบมีเรื่องที่ต้องสะสางกับ Skinner ฉันอยากขอความร่วมมือนายให้ช่วยเบนความสนใจของจินฮวานไปก่อน ให้เขาไปห่างๆๆพวกฉัน ยิ่งเร็วยิ่งดี ฉันทำคุณลักษณะสามัญเตรียมพร้อมไว้แล้ว” ผมบอกตรงๆ และอาจส่งผลดีมากกว่าการโกหก

“ทำไมฉันต้องฟังนายไม่ทราบ” น้ำเสียงนั่นฟังดูเหนือกว่าอย่างชัดเจน

“จริงอยู่ที่ฉันไม่มีผลประโยชน์จะให้นาย แต่ก็ขอให้ช่วย”

“ลองเสนอข้อแลกเปลี่ยนหน่อยเป็นไร”

“ฉันจะให้สิ่งที่ฉันกับบ๊อบบี้สามารถให้ได้” ผมเอ่ยอย่างจนตรอก

“งั้นฉันต้องการกำจัดพวกนาย” น้ำเสียงของเขาเย็นชา เยือกเย็นอย่างไม่มีท่าทีที่จะเล่น

“มันอยู่ที่นายจะมีความสามารถขนาดไหน” ผมพูดด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่ผมรู้ว่าเขาสามารถทำอย่างที่เขาพูดได้แน่ๆ ในเวลาที่รวดเร็วเสียด้วย

“จะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่มีอารมณ์อยากจัดการนายสองคนหรอก ที่ฉันสนคือสถานการณ์ของพวกนายสามคน ฉันอยากเป็นคนดูเรื่องสนุกๆ อยู่วงนอก เรื่องจำพวกนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยๆ ได้เห็นทีก็ไม่เลว” น้ำเสียงของจุนฮเวราบเรียบในตอนแรกก่อนจะดูตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องของผม

“ตกลงนายจะช่วย?”

“ฉันจะถ่วงเวลาให้สักระยะ แต่นายต้องรู้ว่าฉันจะไม่ทำสิ่งที่มากกว่านี้อีกแล้ว”

“ฉันกับบ๊อบบี้จะรีบปิดคดีของพวกนายให้เร็วที่สุด”

“รักษาคำพูดล่ะ เพราะสุดท้ายคนที่จะเดือดร้อนก็ไม่พ้นนายกับแฟนนายหรอก”
ความร้อนพุ่งวาบบนใบหน้าของผม ความสัมพันธ์ของผมกับบ๊อบบี้มีคนรู้มากขึ้นทุกที

“ฉันรู้น่า!” ผมบอกเสียงห้วน

“จริงสิ ฉันว่าSkinner อยู่ในร้านเดียวกับฉันนี่แหละ เขาคงระแวงเจ้าหน้าที่เอฟบีไอขึ้นมาและดูท่า.. เขาคงเห็นฉัน”
ผมไม่ได้ปริปากพูดอะไร

“ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากโดดร่วมวงกับนายสามคนนะ น่าเร้าใจดี แต่เสียดายฉันมีหน้าที่ค้ำคอจนแทบไม่มีเวลาว่าง”

“เหอะ ต่างคนต่างอยู่เถอะ กู จุนฮเว นายไปสนใจแค่จินฮวานของนายก็พอแล้ว” หลุดปากจนได้

“ฮ่าๆ รู้หรอว่าฉันคิดอะไรกับญาติของนาย แต่น้ำเสียงเมื่อกี้นี้ฟังดูนายกลัวฉันนะ พวกนายทุกคนกลัวฉัน” น้ำเสียงเย็นเยียบติดเหี้ยมเกรียมของเขาทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ

“ก็นายมันสุดยอดอาชญากร ราชาของอาชญากรนี่” ผมยอมรับความจริง เขาหัวเราะเบาๆ

“คิดจะประจบน่ะไม่ได้ผล ฉันไม่ใช่พวกบ้ายอ”

“จะคิดอย่างนั้นก็ตามใจ”

“ฮ่าๆ ฮันดีใจที่ได้ชมละครแห่งการสังหารของพวกนาย จินฮวานรอนานแล้ว ไปล่ะ บาย”
จุนฮเวตัดสายมือถือไปแล้ว แต่ผมยังคงถือหูค้าอย่างขัดใจและนึกอยากมีเรื่องกับเขาด้วย เจ็บใจจริงๆ
แต่เดี๋ยวนะ.. อาชญากรกับเอฟบีไอเนี่ยนะ นี่จุนฮเวเขาคิดอะไรอยู่
คู่รักต่างขั้วอย่างกับสวรรค์กับนรก.. น่าขนลุก

Reply · Report Post