Title : Replay

Author : freyaminnie

Fandom : Kuroko no Basket

Paring : Aomine x Kuroko

Rating : NC-17



25.5



---- Kuroko Tetsuya's PoV ----



ผมรู้สึกได้ถึงริมฝีปากของเขาที่ทาบทับลงบนริมฝีปากของผมเอง มันหยาบแต่กลับแฝงไปด้วยความร้อนแรงจนแทบจะหลอมละลายตัวตนของผมได้ในทุกวินาทีที่เขายังคงจูบผมอยู่


รสจูบที่เรียกร้องแตกต่างจากครั้งแรกที่เราจูบกันด้วย ‘ความไม่ตั้งใจ’ ของเขาอย่างสิ้นเชิง


ลิ้นร้อนที่จาบจ้วงเข้ามาในโพรงปากราวกับจะดึงเอาลมหายใจของผมออกไปเสียจนหมดปอด ผมหายใจไม่ออกแต่ก็ไม่อยากให้เขาจากไปเลยเอื้อมมือไปโอบรอบคอเขาไว้ให้เราแนบจุมพิตกันได้เนิ่นนานมากขึ้น แต่เขาเหมือนจะรู้เลยยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระนานพอที่จะสูดออกซิเจนเข้ามาเพื่อทดแทนส่วนที่ขาดหายไปได้ ก่อนจะเริ่มสานต่อจุมพิตร้อนแรงอีกครั้งอย่างไม่ให้ขาดช่วง


มือใหญ่หยาบกร้านจากการเล่นบาสเก็ตบอลค่อยๆล้วงผ่านสาบเสื้อผู้ป่วยตัวบางเข้าไปสัมผัสกับผิวเนื้อของผม ผมสะดุ้งในครั้งแรกด้วยไม่ทันเตรียมใจแต่ก็ไม่ได้บอกให้เขาหยุด ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาได้ใจ ผมไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดจะไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา แต่ผมก็ปล่อยให้มันดำเนินต่อไป


เพราะผมเองก็ต้องการมันมากพอๆกับเขา







ครั้งแรกที่ผมรู้สึกตัวว่าผมคิดกับอาโอมิเนะคุงเกินกว่าคำว่าเพื่อน ก็คือตอนที่เราสองคนถูกขังอยู่ด้วยกันในโรงยิมคืนนั้น และเขานอนกอดผมไว้ในอ้อมแขนเป็นครั้งแรก


สำหรับเขา ผมอาจจะเป็นแค่หมอนข้างหรือเครื่องทำความอุ่น ผมเองก็อยากจะคิดว่าเราก็แค่ต่างฝ่ายต่างได้รับความอบอุ่นจากกันเพื่อให้ผ่านพ้นคืนนั้นไปได้ แต่เสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวของผมกลับบอกว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น สุดท้ายผมก็แทบจะไม่ได้หลับเลยเกือบทั้งคืน


วันรุ่งขึ้นผมก็พบว่าเขาไม่ได้มาซ้อม แถมยังไม่ได้มาโรงเรียน พอถามข่าวจากโมโมอิซังก็เลยได้รู้ว่าเขาไม่สบาย รู้ตัวอีกทีขาก็พาตัวเองเดินมาถึงห้องที่เขาพักอยู่เสียแล้ว ผมรู้สึกตัวเองงี่เง่ามากจนเกือบจะหันกลับไปหลายครั้ง เพียงแต่ว่าผมรับปากโมโมอิซังไว้แล้วว่าจะเอาข้าวกล่องมาส่งให้คนป่วย แถมที่เขาต้องนอนซมอยู่นี่ก็เป็นความผิดของผมเองที่เราต้องค้างในโรงยิมทั้งคืน ผมก็เลยต้องเข้าไปหาเขาในห้องอย่างช่วยไม่ได้


เขานอนหลับเหมือนเด็กๆเลยไม่มีผิด เรือนผมของเขาชื้นเหงื่อคงเพราะพิษไข้ผมเลยเอาผ้าชุบน้ำมาค่อยๆเช็ดให้จนเขาสบายตัวขึ้น ผมมองใบหน้าเขาที่คิ้วขมวดนิดๆแล้วก็พบว่ามันน่ารักมากเลยทีเดียว เขาพลิกตัวมาหา ผมจึงก้มลงหอมแก้มเขาเบาๆ พอรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปผมก็หน้าร้อนจนคิดว่าตัวเองอาจจะติดไข้ของเขามาเสียแล้ว โชคยังดีที่กว่าเขาจะรู้สึกตัวก็นานหลังจากนั้น นานพอที่ผมจะปรับสีหน้าตนเองให้เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ทันเวลา







ผมพยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและบอกตัวเองว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่เขาเห็นผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เขาในตอนนั้นถูกเรียกว่าเป็นผู้เล่นอัจฉริยะที่สามารถเป็นตัวจริงได้ตั้งแต่ปีหนึ่ง ส่วนผมยังไม่สามารถผ่านการทดสอบเลื่อนเป็นทีมสองได้เลยด้วยซ้ำ ในที่นั้นไม่มีใครสังเกตเห็นผม นอกจากเขา


ในตอนที่ผมจมจ่อมอยู่กับความสิ้นหวังว่าตนเองจะไม่สามารถเล่นบาสเก็ตบอลต่อไปได้แล้วนั้น ก็เป็นเขาที่บอกผมว่าไม่มีความพยายามใดที่ไร้ค่า เขาที่คอยให้กำลังใจจนผมสามารถผ่านพ้นมันมาได้


เพราะเขาที่ทำให้ผมได้พบกับอาคาชิคุง ได้รับความสามารถที่เป็นของตัวเอง ทำให้ผมสามารถขึ้นมายืนในที่ที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด ได้เล่นบาสเก็ตบอลเคียงข้างเขาในที่สุด


วันนั้นหลังจากทดสอบเสร็จ อาคาชิคุงประกาศว่าผมจะได้เลื่อนขึ้นเป็นทีมหนึ่ง ผมดีใจจนพูดไม่ออก อยากจะขอบคุณเขาเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าไม่เพียงพอ ผมไม่รู้ว่าตัวเองดีใจจนร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่


แล้วเขาก็จูบผม ริมฝีปากเราสัมผัสกัน แผ่วเบา จนผมต้องแอบหยิกตัวเองเบาๆทีหลังว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า


เขาดูจะตกใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปยิ่งกว่าผมเสียอีก เขาขอโทษ แล้วลนลานหนีไป ทิ้งผมไว้กับความรู้สึกที่สับสนจนอธิบายไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงจูบผม และผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากรู้หรือเปล่าว่าทำไม


วันรุ่งขึ้นเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันทำให้ผมยิ่งไม่แน่ใจ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจจริงๆก็ได้ ซึ่งความจริงแล้วผมควรจะดีใจที่เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ แต่ผมกลับรู้สึกเจ็บในอกแบบแปลกๆ เพราะผมรู้ว่าตัวเองโลภมากและต้องการเป็นยิ่งกว่านั้น


แต่แล้วตอนที่เราติวหนังสือด้วยกัน มันก็เกิดขึ้นอีก จุมพิตที่แผ่วเบาไม่ต่างจากครั้งแรก เพียงแต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ ผมเลยจูบเขากลับบ้าง วินาทีที่เขาจูบตอบผมนั้นมันทำให้ผมเริ่มมีความหวัง ว่าบางทีสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา มันอาจจะไม่ได้มีแต่ผมที่คิดไปเอง







หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของเราก็กลายเป็นอะไรซักอย่างที่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำนิยามใดได้ ใช่ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน เราเล่นบาสด้วยกันตั้งแต่เช้าจนค่ำ ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจกันและกันอยู่เสมออย่างที่เพื่อนที่ดีพึงกระทำ


แต่ผมก็รู้ว่าเพื่อนสนิทโดยเฉพาะผู้ชายสองคนคงจะไม่จูงมือ นอนกอดกัน หรือว่าจูบกันเหมือนอย่างที่พวกเราทำ แม้ส่วนใหญ่แล้วเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเสมอ เพราะผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ โดยเฉพาะในที่สาธารณะ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธว่ามันก็ทำให้ผมรู้สึกดีพอที่จะโอนอ่อนผ่อนไปตามที่เขาต้องการ หัวใจผมเต้นแรงทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน แม้แต่สัมผัสเล็กน้อยก็ทำให้ผมมีความสุขได้


ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งรู้ตัวว่าผมชอบอาโอมิเนะคุงมาก แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะรู้สึกแบบเดียวกับผมบ้างหรือเปล่า


ผมไม่รู้ว่าเขาจะเคยคิดบ้างไหมว่าที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร และเราเป็นอะไรกัน ผมคิดว่าเขาคงแค่ทำไปตามสัญชาติญาณเสียมากกว่า


อาโอมิเนะคุงเป็นคนซื่อบื้อมาก จนบางทีผมเคยคิดว่าถ้าผ่ากะโหลกเขาออกมาดูอาจจะมีลูกบาสเก็ตบอลอัดอยู่ในนั้นแทนสมองก็เป็นได้






จนกระทั่งคิเสะคุงโผล่มา







ตอนแรกคิเสะคุงก็เหมือนคนอื่นๆที่มองว่าผมไม่มีความสามารถและไม่คู่ควรจะอยู่ในทีม ผมไม่โทษเขาเพราะผมเองก็ชินเสียแล้วกับทัศนคติแบบนั้น แต่แล้วคิเสะคุงก็เปลี่ยนไป


เขาเกาะติดผมแจ ทำตัวเหมือนกับสุนัขตัวใหญ่ๆที่ติดเจ้าของ บางครั้งผมก็รำคาญแต่คิดว่ามันไม่มีพิษภัยอะไร และท่าทางร่าเริงเป็นเด็กๆที่เหมือนกับอาโอมิเนะคุงนั้นก็ทำให้ผมใจอ่อนได้อยู่เสมอ


อีกอย่างความพยายามที่จะเอาชนะอาโอมิเนะคุงของคิเสะคุงก็ทำให้ผมทึ่งได้เสมอ ผมดีใจที่ในที่สุดอาโอมิเนะคุงก็พบคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ คนที่ทำให้เขาสนุกได้ ถึงปากจะบ่นแต่ก็เอาแต่เล่นวันออนวันจนลืมวันลืมคืน จนบางครั้งผมก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน แน่ล่ะ เขาไม่มีทางรู้หรอก ไม่งั้นเขาก็คงไม่ใช่อาโฮ่มิเนะคุงที่ผมรู้จัก


แต่ไม่ว่ายังไง เพียงแค่ได้เห็นเขาเล่นบาสเก็ตบอลด้วยรอยยิ้มอย่างสนุกสนานก็ทำให้หัวใจผมพองโตด้วยความสุขได้แล้ว


หากทว่า สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็คือ ตัวตนของคิเสะคุงจะส่งผลต่อปฏิกิริยาของอาโอมิเนะคุงได้


ผมไม่กล้าเข้าข้างตัวเองว่าเขาหึงผมกับคิเสะคุง แต่ท่าทางของเขาดูเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาเริ่มแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากขึ้น เริ่มแสดงออกในที่สาธารณะมากขึ้น เริ่มที่จะ...เรียกร้องจากผมมากขึ้น


ทุกครั้งที่ผมมองนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น เขามองมาที่ผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนามันทำให้ผมแทบจะเข่าอ่อนจนทรงตัวไม่อยู่ทั้งที่เรายังไม่ทันได้แตะต้องกันเลยด้วยซ้ำ และเมื่อเขาจูบผมด้วยความเร่าร้อนและรุนแรงจนอ่อนยวบไปหมดทั้งตัว ร่างกายผมก็แทบจะยินยอม ไม่สิ ร่ำร้องให้เขาจัดการครอบครองผมอย่างที่เขาต้องการ


เพราะผมเองก็ปรารถนาในตัวเขาไม่แพ้กับที่เขาปรารถนาในตัวผม


เพียงแต่บางส่วนในจิตใจลึกๆของผมก็ยังคงหวาดกลัว ว่าเขาจะเพียงแค่สงสัยใครรู้ ต้องการอยากลอง หรือจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบ ถ้าหากเราสองคนก้าวล้ำเส้นแบ่งของคำว่าพอดีไปโดยที่ยังคลุมเครือกันอยู่แบบนี้ มันอาจจะทำให้ทุกอย่างจบลงก็เป็นได้






แต่แล้วจู่ๆเขาก็บอกว่าเขาชอบผม







มันเป็นไปได้ว่าเขาเพียงแค่พูดคำว่าชอบออกมาเพื่อที่จะให้ผมยอมนอนกับเขาเสียที แต่ผมคิดว่าเรื่องแบบนั้นมันคงล้ำลึกเกินกว่าที่เขาจะสามารถคิดได้


บวกกับปฏิกิริยาท่าทางของเขา ซึ่งผมขอบอกว่ามันน่ารักสุดๆ เพราะผมไม่เคยเห็นเขาเขินขนาดนี้มาก่อนเลย เราสองคนหน้าแดงแข่งกันในความมืด ก่อนที่เขาจะระลึกได้ว่าควรจะจูบผมได้เสียที


และตอนนี้เขาก็กำลังกอดผมไว้ในอ้อมแขน ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างนักกีฬาของเขาคร่อมทับอยู่เหนือตัวผม กักขังผมไว้ด้วยลำแขนแข็งแรงทั้งสองข้างไม่ให้ผมขยับหนีไปไหนได้


ริมฝีปากหนาจูบไล่ไปตามลำคอระเรื่อยลงมาจนถึงแผ่นอกอันไร้สิ่งปกปิดใดๆ เขาคงฉวยโอกาสถอดเสื้อทิ้งไปในระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั่น ผมไม่เคยรู้ว่าผู้ชายจะรู้สึกดีได้จากการถูกสัมผัสที่ยอดอกเหมือนกับผู้หญิง แต่เขากลับทำให้ผมสะดุ้งจนเผลอแอ่นตัวขึ้นให้เขาครอบครองได้มากขึ้นอีก


เขาหัวเราะหึกับปฏิกิริยาของผมเมื่อครู่ ผมจึงจ้องหน้าเขาอย่างขุ่นเคือง แต่นั่นยิ่งทำให้เขายิ้มกว้างเข้าไปใหญ่จนผมอยากหาอะไรมาปาใส่ใบหน้าอวดดีของเขาสักที แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นเพราะตอนนี้เขาเริ่มย้ายริมฝีปากนั่นไปยังยอดอกอีกข้างราวกับกลัวว่าจะเกิดความไม่เท่าเทียม


คราวนี้ผมพยายามกัดริมฝีปากไว้ไม่ให้เผลอหลุดเสียงครางออกมา แค่นี้ผมก็เสียเปรียบเขาจะแย่อยู่แล้ว ผมจะไม่ยอมให้เขาได้ใจไปมากกว่านี้หรอก ผมดีใจที่กลั้นเสียงไว้ได้ แต่ปฏิกิริยาความเสียวซ่านที่มันพุ่งไปยังจุดกึ่งกลางลำตัวนี้มันห้ามกันไม่ได้จริงๆ


เขาหัวเราะอีกแล้ว ผมเริ่มอยากจะตั๊นหน้าเขาขึ้นมาจริงๆแล้วนะ เขายิ้มให้สีหน้าบูดๆของผมแล้วก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง มันไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ราวกับจูบนั้นจะร้อนแรงยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ความโกรธเคืองใดๆมลายหายไปหมดภายใต้รสจูบจากเขา นี่ถ้าเขารู้ว่าทำแบบนี้แล้วผมจะยอมยกโทษให้เขาทุกครั้งผมคงแย่แน่


“เท็ตสึ” เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงทุ้มพร่า แถมยังมากระซิบอยู่ข้างหูแบบนี้อีก ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าใบหูของผมคงแดงไปหมดไม่แพ้กับใบหน้า


“อะ..อาโอมิเนะ..คุง” ถ้าผมรู้ว่าเสียงตัวเองจะออกมาสั่นขนาดนั้นผมคงไม่เปิดปากพูดแต่แรก แต่ก็ช้าไปแล้ว ลิ้นร้อนของเขาเลียใบหูผมช้าๆก่อนจะใช้ฟันขบเม้มจนผมต้องครางออกมา มันไม่ได้เจ็บตรงที่เขากัดหรอกแต่ให้ความรู้สึกอย่างอื่นมากกว่า ผมไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าตัวเองมีจุดอ่อนที่ตรงใบหู และตอนนี้เขาก็ดันมารู้อีกเพราะเขายิ่งทำแบบนั้นซ้ำๆจนผมแทบจะบิดเร่าไปมาอย่างควบคุมไม่ได้อยู่ใต้ร่างเขา ปกติเขาไม่ใช่คนฉลาดแท้ๆแต่ทีเรื่องแบบนี้ล่ะก็ไวนัก


ในที่สุดเขาก็ไปให้พ้นๆจากหูผมได้ซักที ผมผ่อนลมหายใจโล่งอกได้ยังไม่มันทันไรก็ต้องสะดุดห้วงอีกครั้งเมื่อเขาเลื่อนมือลงไปยังจุดที่ชูชันรอรับการสัมผัสอยู่เบื้องล่าง


มือของเขาใหญ่มากจนกอบกุมของผมไว้ได้หมดด้วยมือเดียว และเมื่อมือเขาเริ่มขยับผมก็ต้องยกมือตัวเองขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงครางดังก้องออกไปข้างนอก สะโพกของผมยกขึ้นลอยจนพ้นเตียง และผมรู้ว่ามันไม่ได้เป็นเพราะแรงดึงจากเขา แต่เป็นการกระทำของผมเองต่างหาก


ถึงจุดนี้ผมเริ่มไม่สนใจแล้วว่าท่าทางและเสียงของผมจะน่าอายมากแค่ไหน ผมแอ่นสะโพกเข้าหาเขา รู้สึกดีมากๆราวกับว่าตัวเองจะหลุดลอยออกไปจากโลกนี้ ผมหลับตาลงแล้วปล่อยให้เขาชักนำผมไปจนถึงสุดปลายทาง พร้อมกับชื่อของเขาที่หลุดออกมาจากริมฝีปากเมื่อถึงจุดนั้น


ผมหอบหายใจหนักหน่วง รู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์มานานเป็นปีๆ เขาปล่อยให้ผมใช้เวลาเก็บเกี่ยวออกซิเจน ก่อนจะจูบที่เปลือกตาที่ปิดสนิทของผม ให้ผมค่อยๆปรือตาขึ้นมองนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่ยังคงจ้องมองมาด้วยความปรารถนาเต็มเปี่ยม


“เท็ตสึ.. ฉันขอ..” เขาขออนุญาตอีกครั้ง ผมรู้สึกแปลกใจตั้งแต่ตอนที่เขาขอจูบผมแต่แรกแล้ว บางทีเขาอาจจะเข็ดกับการโดนอิกไนท์พั๊นซ์จนหน้าบวมก็เป็นได้ ผมไม่กล้าบอกเขาว่าที่จริงแล้วผมยังคงหวาดกลัวอยู่นิดๆ แต่ก็พยักหน้าอนุญาตในที่สุด


เขาจูบผมอีกครั้ง อ่อนหวานและนุ่มนวลจนไม่น่าเชื่อว่าต่อจากนี้เรากำลังจะมีอะไรกัน บางทีเขาอาจจะแค่ทำให้ผมตายใจ เพราะไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆขยับนิ้วที่ยังชุ่มไปด้วยของของผมไปยังเบื้องหลัง ก่อนจะแทรกเข้าไปช้าๆพร้อมกับรสจูบที่ดุดันขึ้น


เสียงครางของผมถูกเขากลืนกินไปในริมฝีปากที่ยังเชื่อมกันอยู่หมดจนผมไม่ต้องเสียเวลาเอามือมาปิดกั้นมันอีก หากทว่าครั้งนี้เสียงในลำคอของผมเป็นเพราะความเจ็บอันเกิดจากนิ้วยาวที่แทรกเข้าไปในช่องทางนั้น ผมไม่รู้ว่าร่างกายคนเราถูกสร้างมาเพื่อรองรับการเอาอะไรใส่เข้าไปในจุดที่ว่าหรือเปล่า เพราะเมื่อเขาขยับนิ้วที่สองตามเข้าไปผมก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นอีก


“ผ่อนคลายสิ เท็ตสึ อย่าเกร็ง นายจะเจ็บนะ” เขาพยายามปลอบใจผม พร้อมกับจูบเพื่อดึงความสนใจไปให้พ้นจากตรงนั้น ผมหลับตาลงแล้วพยายามผ่อนคลายตามที่เขาบอก ปล่อยใจไปกับรสจูบที่ร้อนแรงจนแทบจะเผาไหม้ แต่กระนั้นร่างกายก็ยังคงต่อต้านอยู่ดี


เขาขยับนิ้วหมุนวนไปมาอยู่สักพักแล้วก็ดึงออก ผมปิดตาแล้วกอดเขาไว้แน่น รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมรู้ว่าเขาต้องการผมเหมือนกับที่ผมต้องการเขา แต่ผมก็หยุดความกลัวไว้ไม่ได้


หากทว่าเขากลับไม่ได้ทำอะไรต่อจากนั้น ไม่ได้...สอดแทรก..เข้ามาเหมือนที่ผมคิดว่าเขาจะทำ เขาเรียกชื่อผมแผ่วเบาเหมือนดังมาจากที่ห่างไกล บางทีอาจจะเพราะผมกำลังพยายามปิดกั้นตัวเองจากความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นอยู่ เขาค่อยๆจุมพิตหน้าปาก เปลือกตา ข้างแก้ม และริมฝีปากผมช้าๆ แผ่วเบา


“เท็ตสึ” เขาเรียกชื่อผมอีก ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน ประคองใบหน้าผมไว้จนผมค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วพบว่าเขากำลังจ้องมองมาที่ผมด้วยนัยน์ตาที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาเช่นเดิม หากแต่สีหน้ากลับฉายชัดถึงความเป็นห่วง


“ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดว่านายจะกลัวขนาดนี้ ขอโทษ ขอโทษจริงๆ” ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งจะรู้สึกว่าตัวผมสั่นไปหมด เขาก้มลงจุมพิตรอยน้ำตาที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่ามันไหลออกมาเช่นกัน


“อาโอมิเนะคุง.. ผมขอโทษครับ.. ผม..” ผมพูดเสียงอ่อย ผมไม่ได้ตั้งใจจะกลัวเขาเลยจริงๆนะ ผมกำลังจะอธิบายแต่เขาก็เอาปลายนิ้วสะกดริมฝีปากผมไว้เสียก่อน เขาส่ายหน้าน้อยๆให้ผมที่ยังคงร้องไห้แล้วประคองผมลุกขึ้นนั่งบนตักเขาที่ยังคงมีอะไรบางอย่างรอคอยการปลดปล่อยอยู่


“ชู่วว ไม่เป็นไร ฉันขอโทษที่ฝืนใจนาย” เขายิ้มให้ผม ปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนจนผมรู้สึกผิด


“ผมแค่...ไม่พร้อม เราจะลองกันอีกรอบก็ได้นะ..ครับ” ผมพูดไปทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะซ้ำรอยเดิมอีกหรือเปล่า แต่ผมทนเห็นใบหน้าผิดหวังของเขาไม่ได้จริงๆ


คราวนี้เขามองหน้าผมอย่างชั่งใจ ผมพยายามแสดงสีหน้าเชื่อมั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เขากลับหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น มีอะไรน่าตลกตรงไหนหรือไงกันนะ


“ก็ได้..” เขาตอบ ครึ่งหนึ่งผมก็ดีใจที่เขายังไม่ถึงกับเกลียดผมแต่อีกครึ่งผมก็ยังกลัวคำตอบนั้นอยู่ ผมทำใจดีสู้เสือแล้วมองหน้าเขา รอให้เขาเริ่ม แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการดึงมือของผมลงไปเบื้องล่างให้สัมผัสกับสิ่งที่ยังแข็งเกร็งอยู่ตรงหว่างขา


ผมก้มลงมองตาม ตอนนั้นเองที่ผมได้มองส่วนนั้นของเขาแบบเต็มๆตา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมือของเขาถึงสามารถกอบกุมของผมไว้ได้หมด แบบนี้ต่อให้เขาสอดนิ้วเข้าไปได้ถึงสามนิ้วโดยที่ผมไม่เจ็บก็ตาม แต่ไม่มีทางที่เจ้าสิ่งนั้นจะใส่เข้าไปในร่างกายผมได้แน่ๆ


“ไม่ต้องกลัวนะ เราจะเปลี่ยนวิธีกัน” เขากระซิบข้างหูราวกับจะรู้ว่าผมกำลังหวั่นกลัวแค่ไหน เขาจับมืออีกข้างของผมลงไปให้อยู่ด้วยกัน กอบกุมส่วนอ่อนไหวของเราทั้งคู่ไว้ในมือของผม ซึ่งดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับมือใหญ่ของเขาที่วางทับมาอีกที


เขาค่อยๆเริ่มขยับอีกครั้ง ผมรู้ได้ในตอนนั้นว่าเขาจะไม่ใส่เข้ามาซึ่งมันทำให้ผมโล่งใจแต่ก็เสียดายอย่างบอกไม่ถูก มือและสะโพกของเราเคลื่อนไหวไปพร้อมกันกับที่ส่วนตื่นตัวนั้นเสียดสีกันไปมาจนร้อนรุ่ม สีผิวของเราที่ตัดกันทำให้ผมรู้ว่าส่วนไหนคือผมและส่วนไหนคือเขาได้อย่างชัดเจน และการที่เราแนบชิดกันเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกเขินอายจนแทบจะระเบิดออกมา


ผมกดน้ำหนักตัวเองลงบนตักเขา มันทำให้รู้สึกดีมาก เนื่องจากมือเราไม่ว่างผมจึงกอดเขาไม่ได้ หากทว่าริมฝีปากเราก็ยังสามารถจูบกันได้อยู่และมันก็เพิ่มดีกรีความร้อนแรงให้เกือบจะทะลุปรอท ผมขยับสะโพกเร็วขึ้นตามแรงปรารถนา และดูจากการขยับมือของเขาผมเชื่อว่าเขาเองก็คงทนได้อีกไม่นานเช่นกัน


ผมถึงก่อนเขาไม่กี่วินาที ผมไม่รู้ว่าเสียงลมหายใจหรือเสียงหัวใจเต้นของใครที่ดังกว่ากันแน่เพราะมันทำให้ผมหูอื้อไปหมด รู้สึกราวกับเพิ่งถูกทิ้งลงมาจากดาดฟ้าโรงเรียนก่อนจะถูกสลิงดึงขึ้นไปใหม่อีกรอบ ผมหมดแรงทิ้งกายลงบนแผ่นอกกว้างๆของเขาอย่างไม่กลัวเลอะ


หลังจากที่ลมหายใจของเราเริ่มเข้าที่ เขาก็เริ่มสำรวจความเสียหาย ตอนนี้ตัวผมกับเขาก็เลยเต็มไปด้วยคราบน้ำขาวๆเปรอะไปทั่ว โชคยังดีที่เขาถอดเสื้อผ้าผมออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่งั้นผมคงต้องเคลียร์กับคุณพยาบาลยาวว่าทำไมเสื้อตัวเองถึงได้เปื้อนคราบอะไรต่อมิอะไรที่ผมไม่สามารถอธิบายได้เต็มไปหมด


“เท็ตสึ ลุกไหวมั้ย?” เขาถาม แต่ผมส่ายหน้า รู้สึกเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะทำอะไรทั้งสิ้น เขาหัวเราะแล้วจูบผมเบาๆก่อนจะยกผมออกจากตักแล้วบอกให้นั่งรอบนเตียงเฉยๆ พอเขาผละจากไปผมก็รู้สึกหนาวขึ้นมาจนอยากจะซุกกลับเข้าไปในผ้าห่มทันที


เขาให้ผมรอไม่ถึงนาทีก็กลับมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำเพื่อเช็ดทำความสะอาดร่างกาย สัมผัสของผ้าชุดน้ำเย็นๆทำให้ผมตัวสั่นอีกรอบจนต้องรีบคว้าชุดผู้ป่วยที่กระจัดกระจายอยู่รอบเตียงมาใส่ก่อนจะเป็นหวัดไปเสียก่อน ผมยังไม่อยากจะอยู่โรงพยาบาลต่ออีกคืนหรอกนะ


พอกำจัดหลักฐานเสร็จเขาก็ปีนขึ้นมานอนบนเตียง รวบเอาผมไปกอดเป็นหมอนข้างเหมือนปกติ แต่ครั้งนี้ผมจะยอมยกโทษให้เขาก็ได้เพราะร่างกายเขาก็อบอุ่นชวนเคลิ้มจนผมแทบจะฝืนลืมตาไว้ไม่อยู่


ไม่นานผมก็ผลอยหลับไปในอ้อมแขนเขา หวังว่าผมจะไม่เผลอยิ้มออกมาตอนหลับเพราะฝันถึงเขาหรอกนะ







END 25.5



Reply · Report Post